ร็อบบ์โบกมือเป็นสัญญาณให้พวกเรากระจายไปคนละทิศของโกดัง เพื่อให้มั่นใจก่อนว่านอกจากพวกเราแล้ว ไม่มีซอมบี้หน้าไหนโผล่มาให้เป็นเซอร์ไพรส์อีก ผมเล็งปืนในมือพลางหมุนตัวไปมาช้า ๆ อยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งร็อบบ์ส่งสัญญาณให้ยกเลิกการเฝ้าระวังเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ผมจึงลดปืนลง แล้วเดินเข้าไปรวมตัวกับพวกเขา
“พวกเรามาที่นี่เป็นหน่วยแรกจริง ๆ ด้วย” แอนนาเบลพูดขึ้นพลางปาดนิ้วมือลงไปบนขอบลังสินค้าไม้ใบหนึ่งที่ถูกฝุ่นจับเกรอะกรัง ขณะที่แพทริกกำลังเปิดลังสินค้าขึ้น แล้วผิวปากยาวเมื่อเห็นของโปรดของตัวเองในนั้น
“ฉันชอบยี่ห้อนี้ ขนกลับไปให้หมดเลยดีมั้ยร็อบบ์”
“นายคิดว่ารถถังนี่จะเอาของพวกนี้กลับไปได้หมดหรือไง ไว้บอกพ่อฉันแล้วระดมพลมาขนอีกทีก็ได้น่า”
“ขืนบอกพ่อนาย รับรองได้เลยว่าฉันคงไม่ได้ลิ้มรสบุหรี่พวกนี้แน่” แพทริกเบ้หน้า เขารู้ดีว่าถ้าบอกพ่อของร็อบบ์ให้รู้ว่าพวกเราเจออะไรเมื่อไหร่ ของพวกนี้ก็จะถูกขนเข้าเป็นเสบียงของกองร้อยหลักหมด ไม่เหลือมาให้กองร้อยของพวกเราหรอก ถ้าเหลือก็น้อยนิดจนแทบเรียกได้ว่าเหลือเดน
“เราขนไปหมดไม่ไหวหรอกน่า นายก็ขนไปเท่าที่นายขนไหวแล้วกัน ที่เหลือค่อยให้พ่อฉันพาคนมาขน” ร็อบบ์ว่าอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาแพทริกบ่นพึมพำไปตามประสา
พวกเราสาละวนกับการเปิดกล่องสินค้าพวกนี้ลังแล้วลังเล่าจนกระทั่งโกดังนี้ไม่มีอะไรให้เราได้รื้ออีก กล่องสินค้าทุกกล่องล้วนมีแต่บุหรี่และไฟแช็ก ดูเหมือนจะเป็นของไร้ประโยชน์ แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันหวานหอมสำหรับร็อบบ์กับแพทริก พวกเขาพากันไปนั่งพักและจุดบุหรี่สูบกันมวนแล้วมวนเล่าอย่างหรรษาโดยมีแอนนาเบลยืนบ่นอยู่ใกล้ ๆ ว่าเหม็น
เช่นเดียวกันกับผมที่ไม่ค่อยจะถูกกับกลิ่นควันบุหรี่เท่าไหร่นัก กลิ่นมันชวนให้ผมปวดหัว แต่ผมไม่ไปยืนพล่ามไร้สาระอย่างเธอ ทว่าเดินเข้ามาด้านในโกดังเพื่อหนีกลิ่นบุหรี่แทน หากแต่แทนที่เดินเข้ามาแล้ว กลิ่นที่ลอยโชยอยู่ด้านหน้าจะหายไป กลับยังมีกลิ่นบุหรี่จาง ๆ ลอยเข้าจมูกผมเนือง ๆ จนผมต้องย่นคิ้วลง
ก็กลิ่นบุหรี่ที่พวกร็อบบ์สูบมันไม่น่าจะลอยมาไกลได้ถึงขนาดนี้นี่นา
หากมีเพียงแค่กลิ่นอย่างเดียว ผมคงจะไม่เอะใจอะไรนัก หางตาของผมดันเหลือบเห็นก้นบุหรี่เกลื่อนกลาดหล่นอยู่บนพื้นในซอกลังตรงหน้าอีกด้วย ผมจึงรีบสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วก้มลงหยิบก้นบุหรี่อันหนึ่งขึ้นมาพินิจดู
“นี่มัน...”
ผมพึมพำพลางปราดสายตาพินิจดูก้นบุหรี่อันอื่น ๆ ที่มีทั้งเก่าและใหม่ปนกัน อันเก่านี่ผมพอจะเข้าใจได้ว่ามันอาจจะเป็นของที่หลงเหลือมาจากเมื่อปีที่แล้วก่อนจะเกิดปรากฎการณ์ไวรัสระบาด แต่อันใหม่ที่ยังมีควันลอยฉุยอยู่และเปียกคราบน้ำลายนิด ๆ นี่สิที่ทำให้ผมสงสัย
ในเมื่อพวกผมเข้ามาที่นี่เป็นกลุ่มแรก แล้วก้นบุหรี่ที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการสูบมาไม่นานนี่เป็นของใคร?
สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ผมรีบยืนขึ้น ประคองปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมทันที
“ใครอยู่ในนี้ ออกมาซะ!”
เสียงของผมทำให้คนอื่น ๆ หันมามอง พวกเขาเองก็รีบคว้าปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมเช่นกัน ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมพวกเราอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากลังสินค้าใบหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก ผมรู้ได้ทันทีว่าต้องมีบางอย่างอยู่ในนั้น เท่านั้นก็หันไปมองยังทุกคนเป็นสัญญาณว่าผมจะเดินเข้าไป
ร็อบบ์ชูนิ้วโป้งขึ้นมาเป็นสัญญาณให้เดินหน้า พลางพูดโดยไม่มีเสียงว่าให้ระวังตัวด้วย ผมพยักหน้ารับเขาเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้
ไม่รู้ทำไมยิ่งผมก้าวเข้าไปใกล้ เสียงกุกกักที่ดังมาจากลังนั้นก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมชะงักฝีเท้าหยุด เว้นระยะห่างจากลังนั้นเล็กน้อย พยายามมองสิ่งที่อยู่ข้างใน พอจะเห็นคร่าวๆ ว่ามันเป็นวัตถุขนาดใหญ่ที่มีรูปทรงคล้ายกับมนุษย์กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ แต่ก็ไม่แน่ใจนักด้วยในบริเวณนั้นค่อนข้างอับแสง จนต้องหรี่ตามองแล้วเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ออกมาซะ ถ้ายังไม่อยากโดนเป่าหัว” ผมขู่ แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นไม่มีทีท่าว่าจะออกมาเลยแม้แต่น้อย นอกจากสั่นระริกไปมาจนลังสินค้านั่นส่งเสียงดังขึ้นไปอีก
ที่แท้ เสียงที่ผมได้ยินก็มาจากการสั่นของคนที่อยู่ในนั้นสินะ
“บอกให้ออกมา!”
พอเห็นว่าไม่มีการตอบสนองต่อคำสั่ง ผมก็เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย ในใจคิดแล้วว่าถ้าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นคนก็จะต้องรีบออกมาเมื่อได้ยินเสียง เพราะคนปกติยังเข้าใจสิ่งที่ผมพูด แต่ถ้าเป็นซอมบี้ ต่อให้พูดจนหูแทบฉีก พวกมันก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
“ฉันให้โอกาสแค่นับสาม... หนึ่ง...” ผมทำใจเย็น ค่อย ๆ นับหนึ่งถึงสาม หากแต่ปลายนิ้วประทับลงบนไกปืนเป็นที่เรียบร้อย
“สอง...” และยิ่งผมนับสอง มันก็สั่นมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว หากแต่ยังไม่ออกมา นิ้วมือผมเลื่อนไปแตะไกปืนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะนับออกมาครั้งสุดท้าย “สาม!”
“อย่ายิง ๆ !”
พอนับสาม ร่างใหญ่ของใครบางคนก็โผล่พรวดขึ้นมาจากลังนั่น พร้อมกับร้องเสียงหลง ยกมือห้ามผมที่เกือบจะเหนี่ยวไกใส่เป็นพัลวัน
“อย่ายิงครับ ...อย่ายิงนะ ผมไม่ใช่ซอมบี้” เขาว่าละล่ำละลัก สีหน้าตื่นตระหนกและเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดพรายบนหน้าของชายผมสีดำตัวใหญ่ทำเอาผมย่นคิ้วยู่ ทว่าผมก็ยังไม่ละปลายกระบอกปืนออก พลางกดเสียงต่ำถาม
“นายเป็นใคร”
เขาทำท่าอึกอัก ส่อแววพิรุธออกมาให้เห็นชัดเจน ก่อนที่เขาจะรีบพูดออกมา
“บะ...ไบรอัน บรู๊ค! ผมชื่อไบรอัน บรู๊ค เป็นซอมบี้ฮันเตอร์เหมือนกับพวกคุณ!”
“ซอมบี้ฮันเตอร์เหรอ นี่เราไม่ได้มาที่นี่เป็นหน่วยแรกหรือเนี่ย”
เสียงนี้ไม่ใช่ของผม เป็นของแอนนาเบลที่ลดปืนลง แล้วเดินเข้ามาหา
คนอื่น ๆ เองก็เดินตามเข้ามา ก่อนที่ร็อบบ์จะจัดการกดกระบอกปืนที่ผมจ่อผู้ชายที่ชื่อว่าไบรอัน บรู๊ค อะไรนี่ลง แล้วหันไปถามเขา
“ไม่คุ้นหน้าเลย นายมาจากเขตอื่นสินะ”
คนถูกถามพยักหน้าเร็ว ๆ ผมเพิ่งจะสังเกตในตอนนี้เองว่าเขาใส่เครื่องแบบของซอมบี้ฮันเตอร์เหมือนกันกับผม เพียงแต่มันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจนแทบดูไม่รู้ว่ามันเป็นสีเดียวกันกับเครื่องแบบที่ผมใส่
ผมลดปืนในมือลง เดินเข้าไปกระชากเสื้อบนต้นแขนเขาขึ้นมาดูอาร์มซึ่งเป็นตราเครื่องหมายของเขตที่เขาสังกัด
“เขตควบคุมโรค หมายเลข 13”
พอสิ้นเสียงผม สมาชิกในหน่วยผมก็พากันเลิกคิ้วสูง โดยเฉพาะร็อบบ์ที่ดูจะแปลกใจกว่าเพื่อน
“มาไกลนี่ นึกยังไงถึงมาไกลขนาดนี้”
จริง ๆ ก็ไม่ได้ไกลอย่างที่ร็อบบ์ว่าหรอก เขตควบคุมโรค หมายเลข 13 เองก็อยู่ในลอสแอนเจลิส แต่ค่อนข้างจะไกลจากเขตควบคุมโรคที่เราประจำการอยู่เท่านั้นเอง ทว่าถ้านับระยะทางจากเขตนั้นมายังพื้นที่ตรงนี้แล้ว เรียกว่ายังอยู่ในรัศมียี่สิบกิโลเมตรและใกล้กว่าระยะทางที่พวกเรามาอยู่เยอะ
“พะ...พวกเราออกลาดตระเวนน่ะ แล้วก็หลงทางจนมาติดอยู่ในนี้” ไบรอันตอบตะกุกตะกัก ให้ร็อบบ์ได้ถามต่อ
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”
“โดนซอมบี้พวกนั้นกินหมดแล้ว”
ร็อบบ์ย่นคิ้วพลัน “แล้วเหลือนายคนเดียวเนี่ยนะ”
ไบรอันพยักหน้ารับอย่างหวาด ๆ
“นายออกลาดตระเวนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ร็อบบ์ถามขึ้นอีกครั้ง
“มะ...เมื่อสองวันก่อน”
“พอภารกิจล้มเหลว นายก็ขังตัวเองอยู่ในนี้เหรอ”
พอเขาพยักหน้ารับอีกรอบ ร็อบบ์ก็หัวเราะร่วน
“นายโชคดีชะมัดเลยที่นอกจากจะไม่โดนซอมบี้พวกนั้นกิน ไม่เป็นลมตายเพราะไม่มีอะไรให้กิน แถมยังได้เจอพวกเราอีก”
ไบรอันยิ้มแหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะมีสีหน้าตระหนกอีกครั้งเมื่อแอนนาเบลมองเขาอย่างจับผิด
“หลงทางจนเข้ามาถึงที่นี่ได้น่ะนะ” แอนนาเบลว่าอย่างไม่เชื่อ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมมีความเห็นเหมือนกันกับเธอ
ไบรอันพยักหน้ารับอย่างหวาด ๆ อีกครั้ง
“ไม่อยากจะเชื่อ พวกนายเข้ามาที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วมาด้วยรถอะไร ใช้อาวุธอะไร ออกลาดตระเวนกี่หน่วย หลงทางประสาอะไร” แอนนาเบลถามอีกยาวเหยียด แต่ไม่ทันที่ไบรอันจะได้ตอบ ร็อบบ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อย่าเพิ่งถามจับผิดเลยน่า หมอนี่ยังตกใจอยู่ไม่เห็นเหรอ”
พอร็อบบ์ว่าอย่างนี้ ก็ไม่มีใครซักต่อ แอนนาเบลยักไหล่เล็กน้อย พลันว่าลอย ๆ
“ก็ฉันสงสัยนี่ แสดงว่าหน่วยของหมอนี่ต้องเจ๋งพอตัว ไม่งั้นไม่มีทางหลงเข้ามาถึงที่นี่ได้หรอก”
แพทริกพยักหน้ารับเป็นลูกคู่ ผมเดาได้เลยว่าร็อบบ์คงไม่อยากจะได้ยินข้อเปรียบเทียบนี้สักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังวางท่าทีนิ่งเฉย แล้วเหยียดยิ้มขึ้น
“จะเจ๋งกว่าหรือไม่ก็ช่างเถอะ ที่รู้ ๆ คือนอกจากพวกเราจะบุกด่านที่ว่าหินได้แล้ว เรายังเจอทั้งของหวาน ทั้งผู้รอดชีวิต กลับไปคราวนี้คงไม่โดนทัณฑ์บนแล้วมั้ง”
แอนนาเบลกับแพทริกร้องเฮขึ้นมาทันใด ผมเองก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไปเสียสนิทเลย ก่อนจะอดดีใจกับความสำเร็จแรกของหน่วยเราไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นผลดีสำหรับร็อบบ์ที่จะทำให้เขาได้ลบคำปรามาสเสียที
“งั้นเราก็ต้องพาหมอนี่กลับไปด้วยสินะ” แพทริกว่าขึ้น
ร็อบบ์พยักหน้ารับแทบจะในทันใด ทว่าคนที่ไม่พยักหน้ารับตามกลับเป็นผู้รอดชีวิตที่เราเพิ่งจะเจอเมื่อกี้
“มะ...ไม่ต้องหรอกครับ ไว้ผมหาทางกลับไปเองดีกว่า รบกวนพวกคุณเปล่า ๆ ”
“ละเมออยู่หรือไง คิดเหรอว่ามือเปล่า แถมตัวคนเดียวอย่างนายจะบุกดงซอมบี้ด้านนอกกลับไปที่เขตของตัวเองได้” แอนนาเบลหันไปย่นคิ้วใส่ทันที
“กะ...ก็ผมมาถึงที่นี่เองได้ ผมก็น่าจะหาทางกลับเองได้”
“ถ้านายคิดว่าสามารถเดินออกไป โดยไม่ถูกซอมบี้นรกพวกนั้นรุมกินสมองได้ ก็เอาเลย” แอนนาเบลว่าเสียงเขียว ให้เขาได้หน้าเสีย ก่อนที่ร็อบบ์จะหัวเราะแล้วเข้ามาตบบ่าเขาเบา ๆ
“อย่างที่แอนนาเบลว่านั่นแหละ นายกลับออกไปเองไม่ได้หรอก ไปกับพวกเราแหละดีแล้วเพื่อความปลอดภัยของนาย แล้วก็เพื่อยืนยันผลงานของพวกเราด้วย แต่ถ้านายไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อก็ไม่เป็นไรนะ แล้วแต่นายเลย”
น้ำเสียงละมุนของร็อบบ์ทำให้เขาครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนร็อบบ์จะถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ว่าไง จะไปกับพวกเราหรือว่าจะเน่าตายในนี้ พ่อหนุ่มกางเกงแดง”
ในตอนนี้เองที่ทำให้ทุกคนมองไปยังช่วงล่างของผู้รอดชีวิตที่สวมกางเกงขาสั้นรัดรูปสีแดงสด ก่อนที่แอนนาเบลกับแพทริกจะหัวเราะออกมาลั่น
“กางเกงบ้าอะไรของนายน่ะ อย่าบอกนะว่าตอนวิ่งหนีตายมาที่นี่ ถูกซอมบี้มันลากกางเกงไปกิน” แพทริกล้อเลียน
พอไบรอันพยักหน้ารับ ผมก็อดหัวเราะในลำคอขึ้นมาบ้างไม่ได้ คนบ้าอะไร วิ่งหนีจนกางเกงหลุดทั้งท่อน
“เฮ้ อย่าล้อเลียนน่า” ร็อบบ์รีบห้ามปรามก่อนที่ไบรอันจะกลายเป็นตัวตลกไปมากกว่านี้ ทั้งที่เขาเองก็หลุดหัวเราะออกมาไม่ต่างกัน
ผมสังเกตเห็นด้วยแหละว่าใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบดำ ๆ ของไบรอันแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อถูกล้อเลียน
ร็อบบ์หัวเราะได้ครู่หนึ่งก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะเข้าเรื่องอีกครั้ง
“เอาล่ะไบรอัน ตกลงเอาเป็นว่านายมากับพวกเรานะ”
“ถึงขั้นเห็นกางเกงตัวเก่งของผมขนาดนี้แล้ว ผมก็คงจะปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะ” ไบรอันพยักหน้าอย่างขอไปที
“ดีมาก ตัดสินใจง่าย ๆ อย่างนี้ก็ดี งั้นเราจะได้ขนของแล้วก็ไปกันเลย แพทริก นายไปขนให้มากที่สุดเท่าที่นายขนไหว แอนนาเบลกับเนวิลล์ไปคอยคุ้มกันด้านหน้าโกดังจนกว่าแพทริกจะขนของเสร็จ ส่วนนายมากับฉัน” ว่าจบ ทุกคนก็แยกย้าย
ไบรอันเดินตามหลังร็อบบ์อย่างว่าง่าย ก่อนที่ร็อบบ์จะชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วหันไปพูดอีกครั้ง
“นายอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบครับ” ไบรอันว่า ให้ผมที่กำลังจะตามแอนนาเบลไปเหลือบมองเขาเล็กน้อย
“เท่ากับเนวิลล์เลยนี่ ฉันกำลังจะยี่สิบห้า แพทริกกับแอนนาเบลก็เหมือนกัน เราอายุใกล้เคียงกัน นายไม่ต้องใช้คำพูดสุภาพกับฉันก็ได้ พูดปกติเถอะ”
ไบรอันพยักหน้ารับ แต่ก็ยังไม่วายใช้คำพูดสุภาพอีกครั้ง
“ครับ”
ผมลอบส่ายหน้ากับความซื่อบื้อของเขา ขณะที่ร็อบบ์หยักยิ้ม แล้วออกเดินไปยังรถถังอีกครั้ง พาผู้รอดชีวิตของเราไปนั่งรอจนกว่าพวกเราจะปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น