เตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจได้

2389 คำ
[Navy’s Part] ไม่มีอะไรสะใจได้เท่ากับการได้เห็นซอมบี้พวกนั้นโดนยำเละอีกแล้ว ผมสะใจไม่น้อยที่เห็นพวกซอมบี้ที่ล้อมหน้าล้อมหลังรถถังที่ผมนั่งมาแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางเมื่อถูกปืนใหญ่จากรถถังสาดใส่ไม่ยั้งจนร่างกระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี เลือดสีแดงคล้ำสาดใส่กระจกซึ่งเป็นทางเดียวที่จะทำให้คนด้านในรถถังมองเห็นได้เสียมิด จนพลขับที่อยู่หน้าสุดร้องออกมาเสียดัง ไม่ใช่เพราะว่าเขาขยะแขยงกับสิ่งที่ได้เห็น แต่เป็นเพราะหัวเสียที่เลือดพวกนั้นทำให้วิสัยทัศน์ในการขับรถถังของเขาไม่สะดวกต่างหาก ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาบ่นสักเท่าไหร่นัก นอกจากเพ่งมองภาพโกดังเก่า ๆ ของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยไหนบุกเข้าไป จะไม่มีโอกาสได้รอดชีวิตออกมา ยกเว้นซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยของผม... ใช่ครับ ผมเป็นซอมบี้ฮันเตอร์ ทหารที่แปรสภาพมาเป็นมือปราบซอมบี้หลังจากที่ไวรัสซีระบาดไปทั่วโลก แต่ผมไม่ได้เป็นซอมบี้ฮันเตอร์เต็มตัวหรอกนะ เรียกว่าเป็นซอมบี้ฮันเตอร์ฝึกหัดดีกว่า เพราะหน่วยที่ผมประจำการอยู่มีชื่อว่า ‘ซอมบี้ฮันเตอร์กองร้อยสำรอง’ ซึ่งเป็นกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์ที่ทางกองทัพจะเกณฑ์เอาเยาวชนมาฝึกให้พร้อมทำภารกิจของกองทัพ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นกำลังสำรองของกองทัพโดยแบ่งออกเป็นกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์สำรองรุ่นเล็ก สำหรับเยาวชนอายุ 15-19 ปี พวกนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกลาดตระเวน นอกจากฝึกในเขตเท่านั้น และอีกกลุ่มหนึ่งคือกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์สำรองรุ่นใหญ่ สำหรับเยาวชนอายุ 20-24 ปี ซอมบี้ฮันเตอร์ประเภทนี้มีการเริ่มออกลาดตระเวน พออายุครบกำหนด 25 ปีเต็ม ก็จะถูกโอนย้ายไปยังกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์ที่เป็นกำลังหลักแทน การเป็นซอมบี้ฮันเตอร์นั้นล้วนมาจากความสมัครใจทั้งสิ้น และแน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สมัครใจมาร่วมฝึกเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่พ่อกับแม่ของผมซึ่งเป็นผู้อพยพมาจากประเทศไทยมายังอเมริกาด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนพ่อที่เป็นนายพลประจำกองทัพสหรัฐ ทำไมพ่อผมถึงได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตอย่างนั้นน่ะเหรอ? นั่นก็เพราะพ่อผมเป็นอดีตเพื่อนนักเรียนของนายพลคนนั้น ก่อนพ่อผมจะแยกย้ายกลับมาประจำการที่กองทัพเรือในประเทศไทยหลังเรียนจบ และการที่มีพ่อเป็นทหารเรือ มันจึงเป็นที่มาของชื่อผม... นาวี แต่ต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าพ่อผมไม่ได้หนีทัพ ที่พวกเราอพยพมายังอเมริกาเป็นเพราะว่าเมื่อสามปีก่อน ไวรัสซีได้ระบาดไปเข้าไปทั่วทวีปเอเชียหลังจากระบาดไปทั่วทวีปแอฟริกาจนเกินจะควบคุม ประเทศไทยที่เป็นบ้านเกิดของผมแทบจะเป็นพื้นที่แรก ๆ ที่มีผู้ติดเชื้อเกือบทั้งประเทศ พอประเทศไทยถูกประกาศให้กลายเป็นพื้นที่สีแดง พ่อผมจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากนายพลเอดิสันให้ลักลอบพาพวกเราเข้าอเมริกา ในตอนนั้น อเมริกายังไม่ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัส เพราะรัฐบาลอเมริกาสั่งปิดประเทศทันทีที่ทวีปแอฟริกาและเอเชียถูกเขมือบโดยไวรัสนรกนั่น ชนิดที่ว่าคนนอกไม่ได้เข้า คนในไม่ได้ออก อีกทั้งยังมีการเตรียมความพร้อมโดยการจัดตั้งเขตควบคุมโรคขึ้น ในตอนนั้นมันถูกจัดให้เป็นพื้นที่การฝึกของเหล่าทหารในกองทัพที่ถูกเรียกด้วยชื่อเฉพาะกิจว่าซอมบี้ฮันเตอร์ ภารกิจหลัก ๆ ของซอมบี้ฮันเตอร์ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดเหมือนทุกวันนี้ ยังเป็นแค่การรับมือกับผู้ติดเชื้อที่กลายเป็นซอมบี้ไปแล้วเท่านั้น พร้อมกับมีการเปิดรับทหารอาสาสมัครจากบุคคลธรรมดาและเยาวชนโดยไม่จำกัดเพศ สัญชาติ และเชื้อชาติ นั่นเองที่เป็นที่มาของกองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์กองร้อยสำรอง ตอนแรกที่ผมสมัครเข้าไป ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปฆ่าซอมบี้ที่ไหน แค่เห็นว่านายพลเอดิสันชวน และพ่อเองก็สนับสนุน ผมเลยเข้าฝึกตั้งแต่ที่มาอยู่อเมริกาได้ไม่กี่อาทิตย์ จนตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาสามปีแล้ว แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมกลายเป็นคนบ้าระห่ำก็น่าจะเป็นตอนที่พ่อกับแม่ของผมถูกซอมบี้พวกนั้นฆ่าเอาตอนที่ไวรัสซีเริ่มระบาดในอเมริกาเมื่อครึ่งปีที่แล้ว มีเพียงผมคนเดียวที่รอด เพราะในตอนนั้น ผมได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเขตควบคุมโรค หมายเลข 16 เป็นที่เรียบร้อย ไม่ได้อยู่นอกเขตเหมือนกับพ่อและแม่ จากเหตุการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น ผมจึงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อล้างแค้นให้พวกท่านภายใต้การดูแลของนายพลเอดิสันที่รับอุปการะผมเป็นลูกชายอีกคนของเขา ครับ ลูกชายอีกคน หมายความว่าเขามีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่แล้วคนหนึ่ง และลูกชายของเขาก็นั่งอยู่ข้าง ผมในตอนนี้... ร็อบบ์ วิลล์สัน หัวหน้าหน่วยซอมบี้ฮันเตอร์ของผม และหัวหน้ากองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์สำรองรุ่นใหญ่ “เคลื่อนเข้าไปข้างในเลย” ร็อบบ์ออกคำสั่งหลังจากที่พลยิงประจำรถถังจัดการพังประตูโกดังแห่งนี้ได้สำเร็จ พลขับเคลื่อนรถถังเข้าไปจอดอยู่ด้านใน พวกเรากวาดตามองลังสินค้าไม้ที่เรียงรายอยู่ในโกดังแห่งนี้ราวกับเจอโอเอซิส เพราะนั่นหมายความว่านอกจากเราจะเป็นหน่วยแรกที่สามารถทะลวงมาถึงด่านในสุดได้แล้ว ยังจะได้ของติดไม้ติดมือกลับไปเป็นรางวัลอีกด้วย “บุหรี่... นี่มันขุมทรัพย์ชัด ๆ ” แพทริกครางฮือทันทีที่เขาเหลือบเห็นตัวหนังสือบนป้ายของลังสินค้าพวกนั้น “ขุมทรัพย์ของนายคนเดียวน่ะสิ” แอนนาเบลว่าค่อนขอดเมื่อเห็นเพื่อนร่วมหน่วยทำท่าหวานปาก “ใครว่าของฉันคนเดียว ของแฟนเธอด้วย” พอถูกแขวะ แพทริกก็หันไปพยักหน้าให้ร็อบบ์ที่หยักยิ้มน้อย ๆ อยู่ ผมขออธิบายก่อนว่าใครเป็นใคร คนพวกนี้เป็นซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยเดียวกับผม ประกอบไปด้วย ร็อบบ์ ลูกชายของนายพลเอดิสัน แพทริก เพื่อนสนิทของร็อบบ์ที่วันนี้รับหน้าที่เป็นพลขับ และแอนนาเบล แฟนของร็อบบ์และพลยิง ปิดท้ายด้วยผม น้องชายบุญธรรมของร็อบบ์และพลรถ ส่วนที่ผมบอกว่าพวกเขาเป็นซอมบี้ฮันเตอร์หน่วยเดียวกับผม ผมขออธิบายง่าย ๆ แล้วกันว่า ในกองร้อยของซอมบี้ฮันเตอร์จะมีการแบ่งเป็นหน่วย หน่วยละห้าคน เพื่อให้ซอมบี้ฮันเตอร์ทุกคนได้ดูแลกันอย่างใกล้ชิดในขณะที่ออกทำภารกิจ แต่ถึงจะแบ่งหน่วย ก็ไม่มีหน่วยไหนได้บุกไปลุยเดี่ยว ๆ ในการลาดตระเวน ทางกองทัพมีกฎอย่างชัดเจนว่าทุกครั้งที่ออกลาดตระเวนจะต้องมีซอมบี้ฮันเตอร์อย่างน้อยสิบหน่วยและลาดตระเวนได้ไม่เกินรัศมียี่สิบกิโลเมตรจากเขตควบคุมโรคสำหรับกองร้อยสำรองรุ่นใหญ่ เมื่อถูกย้ายไปอยู่กองร้อยหลักถึงจะออกลาดตระเวนได้ไม่จำกัดระยะทาง แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับแผนการของกองทัพด้วย จะทำโดยพลการไม่ได้ แน่นอนว่าวันนี้ พวกผมแหกกฎข้อนี้ แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อคนที่นำพวกเราแหกกฎเป็นถึงลูกชายผู้นำทัพ ต่อให้โดนลงโทษ ก็เชื่อได้เลยว่าไม่หนักหนาสาหัสสักเท่าไหร่ เพราะพวกเราก็โดนลงโทษกันบ่อยแล้ว ยกเว้นแต่ว่าครั้งนี้เราคงจะโดนทำโทษหนักสักหน่อย ด้วยพวกเราไม่เพียงแต่จะแหกกฎในการลาดตระเวน เรายังขโมยรถถังและอาวุธมาใช้ แถมลาดตระเวนมาไกลเกินกว่ารัศมีที่กำหนดอีก จุดประสงค์ในการแหกกฎก็ไม่มีอะไรมาก แค่ร็อบบ์อยากจะทำให้ซอมบี้ฮันเตอร์นายอื่น ๆ เห็นว่าเขาก็เก่งกาจไม่แพ้ใคร เพราะเขาค่อนข้างโดนปรามาสไว้เยอะว่าการที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ากองร้อยซอมบี้ฮันเตอร์กองร้อยสำรองรุ่นใหญ่ได้เป็นเพราะบารมีของพ่อ ไม่ใช่เพราะฝีมือของเขา และการบุกเข้ามาที่นี่ได้ ไม่ได้รับคำชมว่าเก่งก็แย่แล้ว ก็ที่นี่มันเป็นด่านยากที่สุดเท่าที่อยู่ในพื้นที่เขตควบคุมโรค หมายเลข 16 ที่พวกเราประจำการอยู่เลย แม้ว่าตลอดทางในการบุกเข้ามาที่นี่จะหมดระเบิดและลูกปืนรถถังไปหลายสิบลูกก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ที่เราผ่านฉลุยเข้ามาได้เป็นเพราะแผนการของเขาที่วางมาเป็นอย่างดีโดยที่ไม่ทำให้พวกเราสึกหรอแม้แต่น้อย ไม่ใช่เป็นเพราะแสงยานุภาพของอาวุธพวกนั้นเพียงอย่างเดียว จริง ๆ ผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการทำตัวแหกคอกของเขาหรอกเท่าไหร่นัก ผมออกจะค้านด้วยซ้ำ แต่พอถูกร็อบบ์ขอร้อง ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ทุกที ที่ผมยอมใจอ่อน เป็นเพราะในครั้งที่ผมสูญเสียพ่อแม่ไปใหม่ ๆ เขาเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผม ดูแลและเข้าใจความรู้สึกของผม นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้ยอมเขา “เอาเถอะ ในเมื่อพวกนายเจอขุมทรัพย์ ก็เตรียมตัวไปโกยได้แล้วสาว ๆ ” แอนนาเบลพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแฟนหนุ่มของเธอก็ผสมโรงกับแพทริกด้วย ผมคว้าปีนบาซูก้า[1]ขึ้นมาเตรียมพร้อมพาดบ่าทันทีที่รถถังจอดสนิทและประตูทางด้านบนออก หากแต่ไม่ทันจะได้ขยับออกจากที่นั่งประจำตำแหน่ง มือใหญ่ของร็อบบ์ก็เอื้อมมาแตะบ่าของผมเสียก่อน “นายไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้พวกมันเละเป็นซีเรียลแช่นมค้างคืนขนาดไหน ไม่ต้องถึงขนาดใช้บาซูก้าหรอกน่า” ผมหันไปมองหน้าเขา เขายิ้มให้ผมแล้วแตะบาซูก้าในอ้อมแขนของผมลงต่ำ “ใจเย็น ๆ วันนี้เอาแค่อาก้า[2]ก็พอ” พอเขาพูดขึ้นมาอีก ผมก็ยอมลดปืนบาซูก้าที่อยู่ในมือลงอย่างว่าง่าย หันไปคว้าปืนอาก้าประจำกายขึ้นมาแทน แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลองใช้ปืนชนิดนี้ในพื้นที่จริงตามที่หวังก็ตาม ท่าทางเสียดายเหมือนเด็กที่เห็นเค้กแต่ไม่ได้กินของผมซึ่งปรากฎขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทำให้แอนนาเบลซึ่งมองอยู่หัวเราะร่วนออกมา “ไม่ยักจะรู้ว่าชาวเอเชียจะเป็นพวกเลือดร้อน” น้ำเสียงของเธอบ่งบอกให้รู้ทันทีว่าเธอกำลังเหน็บแนมอยู่ ผมเหลือบมองเธอเล็กน้อย ไม่อยากจะใส่ใจมากนัก ด้วยรู้ดีว่าแอนนาเบลเป็นพวกปากไม่ค่อยดี บางครั้งก็เผลอพูดเล่นในทำนองเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติอยู่บ่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว แม้แต่แพทริกซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอก็ยังโดนเลย นี่ผมยังไม่ได้บอกล่ะสินะว่าแพทริกเป็นหนุ่มผิวสี? “เห็นหน้านิ่ง ๆ อย่างนี้ โหดชะมัดเลยเนวิลล์” แพทริกหัวเราะแทรกขึ้นมา ขณะที่มือกำลังสาละวนกับการบรรจุกระสุนลงในรังเพลิงปืนไรเฟิล[3] ส่วนเนวิลล์ที่เขาเรียกเมื่อครู่ มันคือชื่อของผมในภาษาอังกฤษ เหตุผลที่ผมต้องมีชื่อภาษาอังกฤษก็เพราะพวกเขาบอกว่ารู้สึกแปลก ๆ ที่จะต้องเรียกผมว่า ‘กองทัพเรือ’ ซึ่งเป็นความหมายในภาษาอังกฤษจากชื่อจริงของผม ผมไม่ตอบอะไร นอกจากบรรจุกระสุนลงในรังเพลิงบ้าง ขณะที่ร็อบบ์ที่เพิ่งจะบรรจุกระสุนเสร็จยกมือขึ้นวางบนศีรษะผมแล้วขยับเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น “เตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจได้” พูดจบ เขาก็เป็นคนแรกที่คว้าปืนและกระโดดออกนอกตัวรถไป ตามด้วยแอนนาเบลและแพทริก ตบท้ายด้วยผมที่ตามออกมา [1] ปืนบาซูก้า (Bazooka) คือ ปืนยิงรถถัง หรือเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง เป็นผลงานของพลเอก Leslie A.Skinner และร้อยโท Edward G.Uhl ที่ได้นำระเบิดมาพัฒนาใช้กับเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังที่ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยเรียกอาวุธชนิดนี้ว่า Rocket Launcher M1A1 ซึ่งมีลำกล้องกว้าง 2.36 นิ้ว และยาว 54 นิ้ว หัวรบบรรจุดินโพรงหนัก 1.59 กก. ระยะหวังผล 150 หลา ทำการยิงด้วยการประทับบ่า ใช้การจุดชนวนด้วยระบบ Magneto โดยใช้แบตเตอรีขนาด 1.5 วัตต์ จำนวน 2 ก้อน จากนั้นจึงได้มีการพัฒนารุ่นต่างๆ ต่อมาอีกหลายรุ่นกระทั่งถึงปัจจุบัน [2] ปืนอาก้า (AK-47) เป็นปืนเล็กยาวจู่โจม ใช้ลูกกระสุนขนาด 7.62 มิลลิเมตร ทำงานด้วยระบบแก๊สและเลือกการยิงได้ ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดย มิคาอิล คาลาชนิคอฟ ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2492 และถูกใช้โดยสมาชิกส่วนมากจากสนธิสัญญาวอร์ซอ ปืนชนิดนี้สร้างความเสียหายได้มาก เนื่องจากกระสุนจะบดขนี้และสร้างสะเก็ดเข้าไปในเนื้อเยื่อ ใช้งานง่าย จึงทำให้เป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้ก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธในปัจจุบัน [3] ปืนไรเฟิล (Rifle) หรือปืนเล็กยาว เป็นอาวุธปืนที่มีขนาดยาว ถูกออกแบบมาเพื่อการยิงทำลายเป้าหมายที่อยู่ในระยะไกลโดยเฉพาะ โดยจะมีพานท้ายสำหรับใช้ประทับร่องไหล่ เพื่อช่วยในการเล็งหาเป้าหมาย ภายในลำกล้องมีการเซาะให้เป็นสันและร่องเกลียวที่ผนังลำกล้อง นิยมใช้เป็นอาวุธของทหารในสงคราม การล่าสัตว์ และกีฬายิงปืน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม