หม่าอวิ๋นเซียงอึกอักไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ถึงแม้นางจะไม่ใช่เด็กกำพร้าแต่ก็เหมือนกับเป็นกำพร้าอยู่ดี มีบิดามารดาก็เหมือนไม่มี ผู้ที่เลี้ยงดูนางมามีเพียงแม่นมถางเท่านั้น
“ข้ามิได้กำพร้า เพียงแต่ท่านพ่อมีงานมากมายต้องทำ ส่วนท่านแม่ก็เลี้ยงน้องชายตัวน้อยของข้า พวกเขาจึงให้ท่านน้าผู้หนึ่งดูแลข้าเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ไม่ได้กำพร้าก็ดีแล้ว” ถึงแม้ใบหน้าเล็กจะยิ้มแย้มทว่าแววตาของนางกลับดูอ้างว้างพิกล มือหนาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ “ตำราพันอักษร รับไว้สิ เป็นรางวัลที่เจ้าตั้งใจเรียน”
หม่าอวิ๋นเซียงรับของมาอย่างรวดเร็ว นางเปิดหนังสืออย่างระมัดระวังด้วยเกรงว่าจะทำยับ ประกายตาตื่นเต้นจนปิดไม่มิด “ให้ข้าจริงๆ น่ะหรือ ท่านให้ข้าจริงนะ”
“ต้องดีใจถึงขนาดนั้นเชียว” เขาแค่ให้ตำราเล่มหนึ่งเท่านั้นแต่นางกลับดีใจจนกระโดดโลดเต้น สมกับเป็นเด็กน้อยเสียจริง
“ดีใจสิเจ้าคะ ดีใจมากๆ เลยด้วย ท่านไม่รู้หรอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับของจากผู้อื่น นอกจากผู้ที่เลี้ยงดูข้าและพี่อาเจียวแล้วก็ไม่เคยมีใครให้อะไรข้าเลย พวกเขาต่างรังเกียจข้า” นางเก็บคำว่าแม้แต่บิดามารดาก็ไม่เคยให้ไว้ในใจ ดวงหน้าเล็กเผยยิ้มกว้าง มองอีกฝ่ายอย่างซาบซึ้ง ในใจยกตำแหน่งพี่ชายคนสำคัญให้คนตรงหน้าไปเสียแล้ว
“เสี่ยวเกอเกอ ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าจะเก็บรักษาตำราเล่มนี้เท่าชีวิตเลย ท่านดีกับข้ามากจริงๆ ”
“เฮ้อ! ข้าเพิ่งบอกเจ้าไปหยกๆ ว่าไม่ให้เชื่อใจใครง่ายๆ แต่ยังไม่ทันไรเจ้ากลับลืมเสียแล้ว” จ้าวจื่อเทียนเอ่ยอย่างอ่อนใจ จะไปคาดหวังอะไรกับเด็กน้อยผู้นี้กัน นางช่างอ่อนต่อโลกยิ่งนักจึงยังไม่รู้ถึงความโหดร้ายของผู้คน คงไม่แปลกกระมังที่จะไว้ใจคนง่ายดายถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะติดใจในวาจาของนางยามเอ่ยถึงเรื่องของตัวเองอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่คิดถามไถ่ อย่างไรเสียต่อไปนี้เขากับนางคงไม่มีวันได้พบพานกันอีก
“ข้าจำคำสอนของท่านได้ แต่เสี่ยวเกอเกอมิใช่คนเลวนี่เจ้าคะ ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางหลอกลวงข้าแน่นอน” หม่าอวิ๋นเซียงคิดอย่างนั้นจริง นางคิดว่าหากเขาเป็นคนไม่ดีคงแย่งชิงกระพรวนไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ไม่มาเสียเวลาทำดีกับนางแบบนี้หรอก แม้ท่าทางของเขาในบางครั้งจะดูเคร่งขรึมน่ากลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยดุด่านางจริงจังเลยสักครั้ง เขาใจดีกับคนแปลกหน้าถึงเพียงนี้แล้วจะให้นางคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีไปได้อย่างไร
“เอาเถิด ข้าคงไปบังคับความคิดของเจ้าไม่ได้ ตำราเล่มนี้ข้าคัดลอกขึ้นมาใหม่ เขียนคำอธิบายไว้ชัดเจน หากเจ้าศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองก็คงไม่ยากจนเกินไป” จ้าวจื่อเทียนคร้านที่จะอธิบายให้เด็กน้อยฟัง เรื่องเช่นนี้คงต้องให้นางได้เผชิญกับมันเองจึงจะเข้าใจ เขาได้แต่หวังว่านางจะไม่ต้องพบเจอการหักหลังเหมือนอย่างที่ตนเคยประสบพบเจอมา มือหนาหยิบบางอย่างออกจากชายแขนเสื้อแล้วยื่นไปให้คนเบื้องหน้า
“เก็บไว้ หากวันใดเจ้าไม่มีที่ไปหรือต้องการความช่วยเหลือ ก็นำของสิ่งนี้ไปที่อารามจิ้นผิงนอกเมืองทางเหนือ มอบมันให้แก่แม่ชีซือกวนแล้วเจ้าจะได้รับความช่วยเหลือ จำไว้ หากมีเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตเจ้าต้องรีบไปที่นั่น”
“ท่านให้ของสิ่งนี้แก่ข้าทำไม หรือว่าท่านจะไปแล้ว” นางถามอย่างร้อนรน
เด็กหนุ่มทอดถอนใจแผ่วเบาให้กับความตื่นตระหนกจนเกินเหตุของคนตรงหน้า “ข้าบอกแล้วว่าหากจะจากไปก็จะบอกกล่าวเจ้าก่อนล่วงหน้า ที่ข้ามอบแหวนวงนี้ให้เพราะว่าไหนๆ วันนี้ก็พกติดตัวมาแล้วจึงมอบมันให้เจ้าเสียเลย อันที่จริงข้าตั้งใจว่าจะให้เจ้าอยู่แล้วในฐานะศิษย์คนแรกของข้าอย่างไรเล่า”
จ้าวจื่อเทียนรีบหาข้ออ้างมาให้คนตัวเล็กรับของไป ตลอดหลายวันมานี้หลังจากที่ได้พูดคุยและรู้จักกับอีกฝ่าย เขารู้สึกราวกับว่าตนมีทั้งน้องสาวและสหายต่างวัยในเวลาเดียวกัน เมื่ออยู่ใกล้นางเขาไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก ไม่ต้องกลัวว่านางจะทำร้ายเขายามพลั้งเผลอ ทว่าการจะให้ผู้อื่นรู้ว่านางกับเขารู้จักกันคงไม่เป็นผลดีสักเท่าใดนัก หากวันหนึ่งนางต้องเดือดร้อนเพราะเขาอย่างน้อยแหวนหยกวงนี้น่าจะช่วยได้
หม่าอวิ๋นเซียงรับแหวนหยกขาวมันแพะสลักลายอินทรีเวหาไว้อย่างประณีตงดงามมาไว้ในมือ มองมันอย่างครุ่นคิด “ข้าจะเก็บไว้อย่างดีเจ้าค่ะ”
นางยิ้มให้เขาจนตาหยี เหตุผลที่รับแหวนวงนี้ไว้มิใช่เพราะจะนำไปขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่เขามอบให้ต่างหาก
“เสี่ยวเกอเกอ หากท่านไปจากเมืองหลวงแล้วจะไปอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ” เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางสงสัยมาตลอดในช่วงหลายวันนี้ รู้ดีว่าวันหนึ่งเขาต้องจากไปแต่นางก็อยากรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน หากจากกันครั้งนี้แล้วตนยังจะมีโอกาสได้พบเขาอีกหรือไม่
จ้าวจื่อเทียนเหม่อมองออกไปนอกห้อง แววตาเรียบเฉยเย็นชาขึ้นมาโดยพลัน “ที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลจากที่นี่เป็นพันลี้”
“พันลี้นี่ไกลมากหรือไม่” หม่าอวิ๋นเซียงถามอย่างใคร่รู้ นอกจากสวนในจวนที่แอบเข้าไปบ่อยๆ กับจวนร้างแห่งนี้แล้ว นางก็ไม่เคยรู้เรื่องภายนอกเลย
...พันลี้นี่ไกลเพียงใดกันนะ?
“ไกลจนเจ้าคาดไม่ถึงเชียวล่ะ” จ้าวจื่อเทียนหลุดยิ้มขบขันยามเห็นใบหน้ายุ่งเหยิงของคนตัวเล็ก นางคงกำลังคิดตามคำพูดของเขาเป็นแน่ “เอาล่ะ นี่ก็ใกล้ยามเซินแล้วเจ้ากลับเข้าจวนไปได้แล้วกระมัง หากกลับช้าประเดี๋ยวจะโดนดุเอาได้”
“เจ้าค่ะ” ร่างเล็กรับคำอย่างว่าง่าย ลุกขึ้นคำนับลาเขาแล้วเดินจากไป แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าผ่านธรณีประตูออกไป นางหันกลับมาหาเขาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างด้วยความจริงใจ ประกายตามาดหมายขึ้นมา “เสี่ยวเกอเกอ หากพรุ่งนี้ข้าอ่านออกได้ถึงร้อยตัวอักษร ท่านก็อย่าลืมบอกชื่อของท่านตามสัญญาด้วยเล่า”
กล่าวจบก็ไม่รอฟังคำตอบจากคนตัวโต นางอุ้มเสี่ยวเมาวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ตำราที่เขามอบให้ก็เก็บใส่อกเสื้อไว้เป็นอย่างดี
จ้าวจื่อเทียนหลุดขำเบาๆ ตลอดสามปีมานี้เขาไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะเลยสักครั้ง จนแทบจะลืมไปแล้วว่าการหัวเราะเป็นเช่นไร ทว่าตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับเด็กคนนี้นางกลับทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาบ่อยครั้ง ความไร้เดียงสา ไร้เล่ห์เหลี่ยมและไร้พิษภัยของนางทำให้เขาผ่อนคลายได้อย่างไม่รู้ตัว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตอนแรกเขาไม่คิดทำร้ายนางกระมัง
ร่างสูงเร้นกายออกจากจวนร้างไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่กลับถึงที่พักก็ต้องประหลาดใจยามเห็นผู้ซึ่งเคยเอ่ยวาจาว่าจะไม่มาพบตนอีก หากยังจัดการคนชั่วที่ทำร้ายสหายรักของพวกเขาไม่ได้ กลับเป็นฝ่ายมารออยู่ในห้องพักของเขาเสียอย่างนั้น จ้าวจื่อเทียนค้อมกายลงเตรียมจะทำความเคารพแต่ผู้มาเยือนกลับบอกปัดเสียก่อน
“ไม่ต้องมากพิธี ที่ข้ายอมมาพบเจ้าในคราวนี้ก็เพื่อแจ้งข่าวเท่านั้น” บุรุษในอาภรณ์สีดำปรายตามองเล็กน้อย
“เชิญท่านกล่าวมาได้เลย” จ้าวจื่อเทียนไม่นำพาต่อน้ำเสียงเย็นเยียบและท่าทางเย็นชานั้น เขาชินเสียแล้วกับการถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีคนผู้นี้ก็ยังโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเขา
“ท่านผู้นั้นต้องการให้เจ้าออกจากเมืองหลวงไปให้เร็วที่สุด อีกไม่ช้าทางนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากมีใครรู้ว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่ทางใต้อย่างที่ควรจะเป็น คงเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาแน่ ส่วนเรื่องสกุลเสิ่น ท่านผู้นั้นบอกให้เจ้ารอก่อนอย่าเพิ่งลงมือ หลังจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าคลื่นลมจะไปในทิศทางใด ต้องรอดูต่อไปอีกสักพัก เจ้าก็รีบไปเสีย” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมายังคงเรียบเฉยดังเดิม
“ขอรับ” จ้าวจื่อเทียนรับคำเสียงเบาลอบมองชายหนุ่มเบื้องหน้า ประกายตาวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้ “นางสบายดีหรือไม่ ไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจหรือมีใครมาทำให้ลำบากใจใช่ไหม”
บุรุษชุดดำมองสบสายตาเด็กหนุ่มนิ่งงัน “สบายดี เจ้าไม่ต้องห่วงมีข้าอยู่ใกล้ๆ รับรองว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่หากเรื่องเดียวที่จะทำให้นางทุกข์ใจได้ก็คงเป็นเรื่องของเจ้า ถ้าไม่อยากเห็นนางเสียใจก็จงรักษาชีวิตรอดกลับมาให้ได้”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้พบนางอีกครั้ง” เขามองร่างสูงตรงหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ คล้ายกับกำลังเอ่ยคำสัญญากับอีกฝ่าย
“ดูแลตัวเองด้วย จำไว้ หากเจ้ากล้าทิ้งพวกข้าไว้ข้างหลังแล้วทำให้นางเสียใจละก็ ข้าจะตามไปยังปรโลกแล้วฆ่าเจ้าอีกครั้งด้วยมือของข้าเอง”
จ้าวจื่อเทียนกระตุกยิ้มมุมปาก แม้แต่ถ้อยคำห่วงใยคนผู้นี้ยังเอ่ยออกมาได้น่ากลัวเสียจริง คำข่มขู่นี้เขาต้องทำตามใช่หรือไม่ อย่างไรก็ห้ามตายสินะ “ท่านก็รักษาตัวด้วย จากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบกันอีก ท่านก็อย่าเป็นอะไรไปก่อนที่ข้าจะกลับมาเล่า”
“ห่วงตัวเองเถอะ เจ้าอยู่ในที่แจ้งส่วนข้าอยู่ในที่ลับ ผู้ที่เป็นเป้าหมายของคนเหล่านั้นคือเจ้าไม่ใช่ข้า” กล่าวจบก็เร้นกายออกจากห้องไปทันที
จ้าวจื่อเทียนมองตามร่างนั้นไปจนลับสายตา มือหนาหยิบลูกกระพรวนออกมาจากชายแขนเสื้อพลางถอนหายใจแผ่วเบา คนผู้นั้นให้เขาลอบกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อทำการบางอย่าง ทว่ากลับมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น แผนการทุกอย่างจึงต้องล้มเลิกไปลูกกระพรวนนี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว
“คุณชาย ข้าน้อยเก็บของเสร็จแล้วขอรับ เราต้องเดินทางกันเดี๋ยวนี้” เยี่ยฟงเปิดประตูพรวดเข้ามาเรียกผู้เป็นนาย
“ไม่ต้องรอเวลาพลบค่ำก่อนหรือ”
“ไม่ขอรับ ข้าน้อยเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เราต้องรีบไปจากที่นี่ หากชักช้าเกรงว่าการผ่านเข้าออกเมืองจะตรวจตราเข้มงวดกว่านี้ แม้ว่าท่านจะสวมหน้ากากหนังมนุษย์อำพรางใบหน้าจริงไว้ แต่เราก็มิอาจประมาทได้ขอรับ” เยี่ยฟงเอ่ยเสียงหนักแน่น เร่งให้ออกเดินทาง
“อืม” จ้าวจื่อเทียนหยิบหมวกสานใบใหญ่ขึ้นมาสวมอำพรางใบหน้าไว้ จากนั้นจึงเร่งรุดไปยังประตูเมืองทางด้านทิศทักษิณ
เมื่อผ่านประตูเมืองออกมาได้อย่างปลอดภัย ร่างสูงผินหน้ากลับไปด้านหลังมองผู้คนในเมืองหลวงผ่านประตูบานใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปทุกที ในอกรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาแปลกๆ ยามคิดถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตัวเล็ก อาชาสีนิลตัวใหญ่ห้อตะบึงออกจากเมืองหลวงไปด้วยกำลังเต็มฝีเท้า ผู้ที่ควบขี่มันพยายามทิ้งความคิดฟุ้งซ่านไว้ข้างหลัง แล้วเพ่งสมาธิไปกับการใหญ่ที่รออยู่