หม่าอวิ๋นเซียงลอบออกจากจวนในช่วงยามเว่ยของทุกวัน นางทำทีเป็นวิ่งเล่นไปทั่วเหมือนอย่างที่ผ่านมา ทว่าพอสบโอกาสก็จะแอบลอดทางสุนัขออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลืมที่จะนำเสี่ยวเมาติดมือไปด้วย เด็กหญิงตั้งใจเรียนรู้และจดจำในสิ่งที่เด็กหนุ่มสอนให้ได้มากที่สุด ยามไม่เข้าใจนางก็จะถามทันที ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็ตอบอย่างไม่อิดออด
การเรียนผ่านไปวันแล้ววันเล่าจวบจนเวลาผ่านไปยี่สิบห้าวัน หม่าอวิ๋นเซียงจดจำตัวอักษรได้เก้าสิบห้าตัวแล้ว นางมีเรื่องอยากถามอีกฝ่ายมากมายแต่ก็มิกล้า แม้จะอยากรู้ว่าครั้งแรกที่พบกันเขามาทำอะไรที่นี่เพราะคนผู้นี้ดูจะคุ้นเคยกับจวนร้างไม่น้อย
จ้าวจื่อเทียนเหลือบมองร่างเล็กที่กำลังคัดอักษรอยู่ แม้มือของนางจะจับพู่กันไม่ปล่อยทว่าสายตานั้นกลับชำเลืองมองเขาอยู่บ่อยครั้ง เขาเลื่อนตำราในมือมาบดบังใบหน้าของตนไว้แสร้งเป็นไม่เห็นท่าทางเช่นนั้นของอีกฝ่าย อีกไม่กี่วันเขาต้องไปจากเมืองหลวงแล้ว แต่ของที่ต้องการยังไม่ได้มา ในหัวเริ่มคิดหาแผนการหลอกล่อเอากระพรวนเงินกลับมาจากนางให้จงได้
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเล็กๆ นั่นปลุกให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิด เขาลุกไปยืนซ้อนด้านหลังนาง ชะโงกหน้าผ่านศีรษะทุยๆ ของเด็กน้อยไปดูตัวอักษรโย้เย้บนกระดาษ ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงกันข้ามกับคนตัวเล็ก
“เขียนได้ไม่เลว หากหมั่นฝึกฝนอีกหน่อยก็เขียนสวยเอง” จ้าวจื่อเทียนชมจากใจจริง เด็กคนนี้นับว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อย เวลาเพียงเท่านี้กลับจดจำตัวอักษรได้เกือบร้อยตัวแล้ว หากเทียบกับเด็กคนอื่นซึ่งอายุมากกว่านางที่เพิ่งเริ่มเรียน ถือว่านางทำได้ดีเลยทีเดียว คงต้องชื่นชมความมุ่งมั่นและความตั้งใจของนางกระมัง คาดว่าทุกวันหลังจากเด็กน้อยกลับเข้าจวนสกุลหม่าไป คงไปทบทวนเรื่องที่เรียนมาก่อนหน้านี้ไม่ขาดเป็นแน่
“เสี่ยวเกอเกอ” หม่าอวิ๋นเซียงเรียกพร้อมกับยื่นกำปั้นเล็กไปตรงหน้า เมื่อเห็นเขาดูมึนงงจึงบุ้ยปากไปยังมือของเขา “ส่งมือมาสิเจ้าคะ”
จ้าวจื่อเทียนยื่นมือออกไปทั้งที่ยังงุนงง แล้วก็กระจ่างใจยามเห็นลูกกระพรวนเงินตกลงมาบนฝ่ามือ “เจ้าให้ข้าเช่นนั้นรึ”
นางพยักหน้าเม้มปากยิ้ม “ตอนนี้ข้าอ่านออกเขียนได้หลายคำแล้ว ต้องขอบคุณเสี่ยวเกอเกอที่คอยสอนข้า ข้าเคยสัญญาว่าจะมอบลูกกระพรวนให้ท่านหากข้าอ่านเขียนได้”
“แต่เจ้าเพิ่งเรียนไปได้ไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้นเอง ไฉนจึงมอบของให้ข้าไวนักเล่า”
แผนการทุกอย่างที่คิดมาก่อนหน้านี้ถูกเด็กน้อยทำลายจนสิ้น เขาไม่คิดว่านางจะมอบของให้ง่ายดายถึงเพียงนี้ เด็กคนนี้ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไปวันข้างหน้านางจะไม่ถูกคนชั่วหลอกใช้เอาง่ายๆ ได้หรอกหรือ
“ข้าสัญญาว่าจะให้ก็ต้องให้สิเจ้าคะ อย่างไรเสียช้าเร็วข้าก็ต้องคืนให้แก่ท่านอยู่ดี นี่เป็นของดูต่างหน้าท่านแม่ของท่าน หากไม่คืนให้ข้าต้องกลายเป็นคนไม่ดีน่ะสิ” นางตั้งใจจะคืนให้เขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวสอนหนังสือให้จึงได้เก็บไว้ก่อน ตอนนี้นางเขียนชื่อตัวเองและอ่านเขียนได้หลายคำแล้วด้วย เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปอวดบิดามารดาได้แล้ว ความดีความชอบนี้ต้องยกให้เด็กหนุ่ม
“เสี่ยวเกอเกอ ท่านได้กระพรวนไปแล้วจะไม่หนีไปใช่หรือไม่ ท่านยังคงมาหาข้า มาสอนหนังสือข้าต่อใช่ไหม”
จ้าวจื่อเทียนหลุบตามองพื้นเลี่ยงสบสายตาคาดคั้นของนาง “แน่นอนว่ายังคงมาสอนหนังสือเจ้าต่อ แต่ว่าวันหนึ่งข้าก็ต้องไปจากเมืองหลวง หากถึงวันนั้นข้าจะบอกเจ้าล่วงหน้าก็แล้วกัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว” นางพึมพำพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา “แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หม่าอวิ๋นเซียงยังคงมองเขาอย่างรอคอยคำตอบ “ท่านจะไม่หลอกลวงข้าใช่ไหม?”
จ้าวจื่อเทียนกลืนคำพูดโกหกลงท้องไปยามได้เห็นนัยน์ตากระจ่างใสที่มองตนอย่างชื่นชม มือหนากำลูกกระพรวนไว้แน่น รู้สึกวูบโหวงในอกแปลกๆ เขาตั้งใจว่าจะไม่มาพบนางอีกทันทีที่ได้ของที่ต้องการ แต่ว่าพอเห็นแววตาอ้างว้างและสีหน้าเศร้าสร้อยที่นางเผลอแสดงมันออกมาบ่อยครั้งอย่างไม่รู้ตัวนั้น ทำให้เขาถึงกับลังเลใจขึ้นมาเลยทีเดียว สีหน้าและแววตาเช่นนี้ช่างคล้ายกันยิ่งนัก คล้ายกับคนผู้หนึ่งที่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็คงไม่มีวันได้พบกันอีก
“เสี่ยวเกอเกอ ข้าจะบอกความลับให้ท่านฟัง” นางเอ่ยอย่างกระตือรือร้น แววตาเป็นประกายขึ้นมา “ท่านน่ะเป็นเพื่อนคนแรกของข้าเลยรู้ตัวหรือไม่ ท่านเป็นคนแรกที่พูดคุยและเล่นกับข้าอย่างไม่คิดรังเกียจ ที่สำคัญท่านยังเป็นอาจารย์คนแรกของข้า ท่านใจดีและเป็นคนดีที่สุดในบรรดาผู้คนที่ข้าเคยพบเจอมาเลยเจ้าค่ะ”
นางคิดอย่างนั้นจริงๆ นอกจากแม่นมถางกับพี่อาเจียวแล้วก็มีพี่ชายผู้นี้นี่แหละที่ดีต่อตน ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องอดทนสอนหนังสือให้นางเลยก็ได้ แต่กลับสอนด้วยความใจเย็นไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด ซ้ำยังหิ้วขนมอร่อยๆ มาฝากทุกวันอีกด้วย
จ้าวจื่อเทียนกระแอมเบาๆ เพื่อขับไล่ความเก้อกระดากอาย ไม่เคยมีผู้ใดบอกว่าเขาใจดีมาก่อน ทุกคนต่างบอกว่าเขาเย็นชาน่ากลัวจนต้องพากันหลบลี้หนีหน้าไปเสียให้ไกล บ่าวรับใช้บางคนแค่เห็นเขาก็กลัวจนตัวสั่นงันงก
“ข้าไม่ได้ใจดีหรือเป็นคนดีอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
มือของเขาเปื้อนเลือดจนไม่อาจเรียกว่าดีได้ และต่อไปในภายภาคหน้าจะแปดเปื้อนยิ่งกว่านี้ บ่อยครั้งที่เขารู้สึกสะอิดสะเอียนกับเรื่องเหล่านี้ จะต้องมีอีกสักกี่ศพกันที่เขาต้องเหยียบย่ำขึ้นไปหาเป้าหมาย แม้ความจริงแล้วตนไม่เต็มใจทำกระนั้นก็มิอาจปฏิเสธความต้องการของคนผู้นั้นได้
“เสี่ยวเซียงเซียง จำไว้นะ เจ้าไม่ควรเชื่อใจหรือไว้ใจใครง่ายๆ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดี ต่อให้คนผู้นั้นจะทำดีกับเจ้าเพียงใดก็ตาม ใช่ว่าเขาจะมีความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าเสมอไป”
เอ่ยออกมาแล้วก็ให้ละอายแก่ใจตัวเอง เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ทำดีหวังผลกับนาง ยิ่งได้เห็นแววตากระจ่างใสที่มองมาอย่างซาบซึ้งนั้น ก็ยิ่งไม่อยากให้นางอยู่ใกล้อีกต่อไป ที่ผ่านมาไม่ว่าจะหลอกลวงผู้คนมามากมายเพียงใดเขาก็ไม่เคยรู้สึกไม่ดีเท่ากับครั้งนี้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะคนเหล่านั้นเป็นคนถ่อยกระมังเขาจึงไม่เคยรู้สึกผิด ทว่ากับเด็กน้อยผู้นี้นางเป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาผู้หนึ่งเท่านั้น
“ข้าจะจำไว้” หม่าอวิ๋นเซียงรับคำหนักแน่นพร้อมกับยื่นถุงหอมไปให้คนตรงหน้า “ของตอบแทนเจ้าค่ะ”
“ให้ข้ารึ” มือหนาหยิบถุงหอมที่ฝีเย็บหาความประณีตไม่ได้ขึ้นมาดู มุมปากหยักยิ้มบาง “เจ้าทำเอง?”
ร่างเล็กยิ้มแหย เกาต้นคออย่างเก้อเขิน “ข้าเพิ่งหัดทำมันเลยออกมาหน้าตาอัปลักษณ์แบบนี้ ที่ข้าให้เพราะดูเหมือนว่าพี่ชายจะนอนไม่ค่อยหลับใช่หรือไม่ ถุงหอมนี่จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้านอนไม่ค่อยหลับ” ถูกอย่างที่นางกล่าวมา เขาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืนตั้งแต่วันนั้นเมื่อสามปีก่อน ทุกคืนเขาจะตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย
นิ้วเล็กชี้ดวงตาของตัวเอง “ท่านไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้วละสิ ดวงตาของท่านแฝงความเหนื่อยล้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด”
จ้าวจื่อเทียนอึ้งเล็กน้อย เขาสวมหน้ากากหนังมนุษย์อำพรางใบหน้าจริงของตนไว้ แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของเข้าภายใต้หน้ากากนี้ได้ แต่เด็กคนนี้กลับสังเกตแววตาเขาแล้วเดาได้ถูกราวกับตาเห็น
“นี่เจ้าให้ความสนใจในตัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขาถามออกไปโดยไม่คิดอะไรติดจะประชดประชันอยู่นิดๆ ทว่าผู้ที่ถูกถามนั้นสองแก้มกลับมีริ้วสีแดงพาดผ่าน ก้มหน้างุดเม้มปากเข้าหากันแน่น
หม่าอวิ๋นเซียงกระแอมไอสองทีเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย นางไม่ได้ตั้งใจจะแอบสังเกตเขาเสียหน่อย แต่แววตาเหม่อลอยหม่นหมองและคิ้วเข้มรูปกระบี่ที่ขมวดเข้าหากันอยู่บ่อยครั้งนั้น เหมือนกับว่าเขามีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมายอยู่ในใจ เด็กหนุ่มวัยแค่นี้มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
มือเล็กหยิบถุงหอมอีกอันที่ฝีปักประณีตงดงามออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นไปให้เขา “อันนี้เอาไว้ใช้ไล่ยุงไล่แมลงในยามค่ำคืนเจ้าค่ะ เผื่อไว้ยามท่านเดินทางไกล”
จ้าวจื่อเทียนหยิบถุงหอมที่นางยื่นให้ขึ้นมาดู แล้วนำไปเทียบกับอันแรก “อันนี้เจ้าไม่ได้ทำเอง”
หม่าอวิ๋นเซียงพยักหน้ารับ “อันนั้นเป็นของผู้ที่เลี้ยงดูข้ามาเป็นคนทำ นางเป็นคนสอนข้าเย็บถุงหอม”
จ้าวจื่อเทียนรู้สึกสะดุดหูกับคำพูดของนางไม่น้อย ผู้ที่เลี้ยงดูนางมาอย่างนั้นหรือ? นัยน์ตาดอกท้อมองร่างเล็กนิ่งงัน ครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวเซียงเซียง เจ้าเป็นกำพร้าหรือ”