สายลมแสงแดดในวสันตฤดูให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน ร่างเล็กนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ริมหน้าต่าง สายตาจับจ้องไปยังตำราในมือ สองคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน หม่าอวิ๋นเซียงพยายามอ่านอักษรตัวที่ร้อยซึ่งเขียนไว้ในตำราพันอักษร นางจำได้รางๆ ถึงความหมายของคำคำนี้ นิ้วเรียวเล็กจุ่มน้ำชาเย็นชืดในถ้วยจากนั้นก็ใช้นิ้วเขียนอักษรตัวนั้นลงบนโต๊ะ นางคลี่ยิ้มพอใจเมื่อสามารถเขียนได้และอ่านมันออกเสียที แม้จะไม่มั่นใจเท่าใดนักว่าตนอ่านถูกต้องหรือไม่ แต่เรื่องนี้ไว้รอถามเสี่ยวเกอเกอของนางก็จะรู้เอง
“คุณหนู ใกล้จะเลยเวลาอาหารเที่ยงแล้วนะเจ้าคะ” ถางรั่วเหวยเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
ตลอดระยะเวลาหลายวันมานี้หลังจากกลับมาจากเที่ยวเล่น คุณหนูของนางก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องปิดประตูเงียบเชียบไม่ยอมให้ตนเข้าไป และเป็นเช่นนั้นไปจนถึงเวลาอาหารเย็น พอตื่นเช้ามาก็รีบกินอาหารแล้วเข้าไปขลุกอยู่ในห้องเหมือนเดิม พอใกล้ยามเว่ยก็อุ้มเสี่ยวเมาออกไปวิ่งเล่น เมื่อถามว่าไปที่ไหนมาเด็กน้อยตอบเพียงว่าไปเล่นแถวๆ โรงซักล้าง นางเคยแอบตามไปดูเพราะเป็นห่วงก็พบเห็นคุณหนูและเสี่ยวเมาเล่นอยู่บริเวณนั้นจริงๆ ทว่ายามอาบน้ำตอนเย็นกลับพบรอยดำคล้ายกับสีของหมึกเขียนหนังสือติดมาตามชายแขนเสื้อและฝ่ามือ เรื่องนี้ชวนให้น่าฉงนใจยิ่งนัก
“ไปเดี๋ยวนี้แหละ” หม่าอวิ๋นเซียงตะโกนตอบกลับไป เก็บตำราเข้าอกเสื้อแล้วออกไปหาแม่นมถาง ทันทีที่นั่งลงตรงโต๊ะอาหารก็หยิบตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“ช้าหน่อยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะติดคอ” ถางรั่วเหวยส่งน้ำให้เด็กน้อยดื่ม มืออีกข้างลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “วันนี้ก็จะออกไปเล่นอีกหรือเจ้าคะ”
หม่าอวิ๋นเซียงฉีกยิ้มกว้างจนตาปิด “ไป เซียงเซียงจะพาเสี่ยวเมาไปเล่นที่เดิม แม่นมไม่ต้องห่วงนะ เซียงเซียงจะกลับมาก่อนยามเซินแน่นอน”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวทำได้เพียงยิ้มรับ ช่วงนี้คุณหนูของนางดูร่าเริงได้อย่างน่าประหลาดใจ อาจเป็นเพราะมีเสี่ยวเมาเป็นเพื่อนเล่นกระมัง
“อย่างไรก็ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ อย่าเผลอเข้าไปใกล้เรือนใหญ่เชียวเห็นว่าช่วงนี้บรรยากาศในจวนไม่ค่อยดีสักเท่าใดนัก” ตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาจากไหว้พระดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น หลายวันมานี้ใต้เท้าหม่าเองก็ไม่ได้กลับจวน เรื่องนี้สร้างความร้อนใจให้แก่ทุกคนยิ่งนัก มีข่าวแว่วมาว่าหม่าจิ้งซิ่นถูกกักตัวไว้ที่วังหลวง ส่วนเป็นเพราะเรื่องอะไรนั้นไม่อาจรู้ได้
“แม่นมไม่ต้องห่วง เซียงเซียงไม่ไปทางนั้นเด็ดขาด” แต่จะไปยังจวนร้างต่างหาก ประโยคนี้นางเอ่ยในใจ รอให้นางอ่านเขียนได้คล่องกว่านี้เสียก่อนแล้วค่อยบอกอีกฝ่าย เมื่อถึงยามนั้นแม่นมถางต้องดีใจมากเป็นแน่
หม่าอวิ๋นเซียงสนุกอยู่กับการเรียนจนลืมคิดถึงเรื่องของมารดาและน้องชายไปเสียแล้ว นางมีเพื่อนเล่นมีเพื่อนคุยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่จวนร้างนางไม่ต้องคอยมองสีหน้าใคร ไม่ต้องระวังตัวยามแสดงออก อย่างไรเสียเสี่ยวเกอเกอก็ไม่ทำร้ายนางอยู่แล้ว
“อิ่มแล้ว เซียงเซียงไปเล่นก่อนนะ” กล่าวพลางอุ้มเอาเสี่ยวเมาเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้ววิ่งออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็วราวกับมีผีไล่หลังก็มิปาน
ร่างเล็กออกจากจวนไปด้วยสีหน้าเบิกบาน ในที่สุดก็อ่านหนังสือออกครบร้อยตัวอักษรแล้ว วันนี้นางจะได้รู้ชื่อของเสี่ยวเกอเกอแล้ว พี่ชายที่ใจดีผู้นั้นจะมีนามที่ไพเราะเพียงใดกันนะ เท้าเล็กก้าวเดินไปอย่างเร่งรีบ จิตใจล่องลอยไปหาคนตัวโตเสียแล้ว นัยน์ตาหงส์เป็นประกายไม่เก็บงำความตื่นเต้นไว้เลยสักนิด
หม่าอวิ๋นเซียงยืนนิ่งอยู่หน้าจวนร้าง มองประตูบานใหญ่ซึ่งปิดสนิทด้วยความงุนงง ไฉนวันนี้จึงมีโซ่เส้นใหญ่ล่ามไว้ที่หน้าประตู แล้วความเงียบจนชวนวังเวงนี่คืออันใดกัน? เร็วเท่าความคิด นางมองซ้ายมองขวาหาเสี่ยวเกอเกอทันที นี่ก็ยามเว่ยหนึ่งเค่อแล้วเขาน่าจะมาถึงก่อนนางแต่เหตุใดกลับไร้เงาคนเช่นนี้
“เสี่ยวเมา เรานั่งรอสักพักละกัน อีกเดี๋ยวเสี่ยวเกอเกอก็มา” เด็กหญิงเดินไปนั่งลงบนบันไดหินหน้าประตูจวน ชะโงกหน้ามองไปยังทางเดินที่เปลี่ยวร้างบ่อยครั้งและยังคงรออย่างใจเย็น
เวลาผ่านไปจนครบสองเค่อผู้ที่รอคอยก็ยังไม่มาเสียที หม่าอวิ๋นเซียงหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาขีดเขียนตัวอักษรเล่น ปากจิ้มลิ้มออกเสียงอ่านอักษรตัวนั้นแผ่วเบา นางทำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะอ่านครบร้อยตัวอักษรอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่มา
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มา เสี่ยวเกอเกอคงติดธุระ” นางหันไปเอ่ยกับเสี่ยวเมาที่บัดนี้เข้ามาพันแข้งพันขาตนอยู่
หม่าอวิ๋นเซียงยังคงรอคอยอย่างมีความหวัง ประกายตาที่เคยสุกใสแปรเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า จวบจนยามเซินคนผู้นั้นก็ยังไม่ปรากฏตัว นางอุ้มเสี่ยวเมากลับจวนไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ค่ำนั้นหม่าอวิ๋นเซียงเข้านอนตั้งแต่ยามซวี(19.00น.-20.59น.) นางกอดเสี่ยวเมาไว้เช่นทุกคืนทว่ามิอาจข่มตาให้หลับลงได้ ในหัวยังคงคิดวนเวียนว่าเหตุใดเขาจึงไม่มา หรือจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น แม้จะเพิ่งรู้จักกับเด็กหนุ่มได้ไม่นานแต่นางกลับรู้สึกผูกพันกับเขาไม่น้อย
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เสี่ยวเกอเกอต้องมาแน่” มือเล็กลูบหัวเสี่ยวเมาเบาๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
ทุกวันในยามเว่ยหม่าอวิ๋นเซียงจะไปรอเสี่ยวเกอเกอของนางที่จวนร้าง จากวันกลายเป็นหลายวันจนเข้าวันที่สิบ จึงได้รู้ว่าผู้ที่นางรอคอยคงไม่มาแล้วจริงๆ “คนโกหก ไหนว่าจะไม่หลอกข้าอย่างไรเล่า ท่านมันคนหลอกลวง จะจากไปทั้งทีก็ไม่ยอมมาบอกกล่าวข้าตามสัญญา"
ดวงตาหงส์คลอไปด้วยหยาดน้ำตา นางรู้สึกเสียใจยิ่งกว่าโดนแม่นมถางดุเสียอีก สหายเพียงหนึ่งเดียวกลับจากไปโดยไม่บอกกล่าว เขาทำราวกับว่าคำสัญญานั้นไม่สำคัญเป็นเพียงวาจาที่ไว้ใช้ล่อลวงเด็กน้อยเช่นนาง “มีแต่ข้าผู้เดียวสินะที่คิดว่าท่านเป็นสหาย เป็นพี่ชายที่แสนดี ไหนท่านบอกว่าได้กระพรวนไปแล้วจะไม่หนีไปอย่างไรเล่า แล้วนี่คืออันใดกันเสี่ยวเกอเกอ ท่านมันคนหลอกลวง คนนิสัยไม่ดี ฮือๆ "
นางยังคงตัดพ้อต่อว่าเขาทั้งน้ำตาไปอีกพักใหญ่แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อาจได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ก็ตาม มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะอุ้มเสี่ยวเมากลับเข้าจวนไป วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่นางจะมารอเขาที่นี่ ในใจได้แต่หวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง หากแม้มีโอกาสนั้นนางจะถามเขาว่าไยจึงจากไปโดยไม่ร่ำลา ไฉนจึงผิดสัญญา หรือเขารำคาญที่มีเด็กน้อยเช่นนางเป็นสหาย หรือเบื่อที่จะสอนหนังสือนางแล้ว คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของหม่าอวิ๋นเซียง นางไม่สามารถสงบใจลงได้เลยมิหนำซ้ำในอกยังรู้สึกเจ็บแปลบแปลกๆ อีกด้วย
ถางรั่วเหวยไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดีกับร่างเล็กที่มีอาการเซื่องซึม ซึ่งกำลังกอดเสี่ยวเมาแล้วถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่เช่นนั้น หลายวันมานี้คุณหนูของนางดูแปลกไปยิ่งนัก ไม่ออกไปเล่นนอกเรือน ไม่หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาขีดเขียนเล่น ไม่ปีนป่ายต้นไม้หรือแอบลอบไปยังสวนของเรือนใหญ่ ไม่สนใจแม้กระทั่งถังหูลู่ที่อาเจียวนำมาฝาก
“วันนี้บ่าวทำหมูตุ๋นของโปรดของคุณหนูด้วย รีบมากินเถิดเจ้าค่ะ”
หม่าอวิ๋นเซียงหลุดจากภวังค์ความคิด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าตนเผลอไปทำสิ่งใดให้เสี่ยวเกอเกอขุ่นเคืองหรือไม่เขาถึงได้หายไปแบบนี้ ฉับพลันคำสอนประโยคนั้นของคนตัวโตก็ผุดขึ้นมาในความคิด
อย่าไว้ใจใครหรือเชื่อใจใครง่ายๆ ต่อให้คนผู้นั้นจะทำดีด้วยเพียงใดก็ตาม ใช่ว่าจะมีความบริสุทธิ์ใจเสมอไป...
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” นางยิ้มขมขื่น รู้สึกแน่นหน้าอกราวกับจะหายใจไม่ออก “สุดท้ายเขาก็รังเกียจข้าเหมือนคนกับอื่นๆ ”
ถางรั่วเหวยปราดเข้าไปหาร่างเล็กทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินมายังโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ ดวงตาคู่งามฉ่ำวาวไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลคลอหน่วย นางดึงคุณหนูเข้ามากอดไว้ ลูบหลังเบาๆ “เป็นอันใดเจ้าคะ ผู้ใดกล้ารังแกคุณหนูของบ่าว บอกบ่าวมาสิเจ้าคะบ่าวจะไปจัดการเสียให้เข็ด ไม่ให้กล้ามารังแกคุณหนูอีกเลย”
หม่าอวิ๋นเซียงร่ำไห้เงียบๆ อยู่กับอ้อมกอดของแม่นมถาง ศีรษะเล็กส่ายไปมาคล้ายกับจะบอกว่าไม่มีใครรังแกนาง “แม่นม เซียงเซียงน่ารังเกียจมากเลยใช่หรือไม่เขาถึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับเซียงเซียง จึงได้มาหลอกเอาลูกกระพรวนแล้วก็หายไปแบบนี้”
เขา? คำนี้สะดุดหูถางรั่วเหวยเหลือแสน แล้วลูกกระพรวนนั่นอีก แม้เสียงของเด็กน้อยจะอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่นางก็มั่นใจว่าตนได้ยินไม่ผิด หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ รอให้คนในอ้อมแขนใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยถามทีหลัง เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือนางต้องไปตรวจดูห้องนอนของคุณหนูอย่างละเอียดเสียแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนมานี้เจ้านายน้อยไม่ยอมให้นางเข้าใกล้เตียงนอน คุณหนูถึงขั้นหอบผ้าห่มผ้าปูเตียงออกมาตากเองโดยไม่ให้นางช่วยเหลือ ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายโตแล้วจึงหัดทำงานบ้านงานเรือน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิดเสียแล้ว