สาวใช้ทั้งสามถูกเรียกตัวมายังโถงกลางเรือนหลักทันทีทันใด เบื้องหน้าของทุกคนคือเรือนร่างสง่างามของเอกบุรุษผู้มีอำนาจสูงสุด
เขานั่งบนเก้าอี้สลักลายสีทองด้วยท่าทีสุขุมนุ่มลึก แลดูสงบเยือกเย็นไม่เดือดเนื้อร้อนใจอันใด
หลิวไท่หยางนั่งนิ่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น เพียงกวาดตาคมกริบจ้องมองเนิ่นนานมิไหวติง เนตรดั่งก้นทะเลลึกยากคาดเดาห้วงความคิดอย่างแท้จริง
ส่งผลให้ทั่วห้องยามนี้อึมครึมอย่างที่สุด คล้ายมีบรรยากาศอึดอัดอย่างประหลาด กลิ่นอายอันตรายครอบงำผู้คนจนหายใจไม่ออก
เมื่อนายน้อยเอาแต่นั่งเงียบลุ่มลึก บ่าวไพร่ยิ่งตัวสั่น พากันลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
หลายคนแม้ก้มหน้าแต่ก็แอบชำเลืองมองร่างสูงที่นั่งโดดเด่นบนเก้าอี้เป็นระยะ ยิ่งมองก็ยิ่งให้รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลแผ่กำจายออกมา
นายน้อยหลิว ท่านแผ่รังสีน่าเกรงขามไม่เกรงใจใครเกินไปแล้ว...
ราตรีมืดดำค่อยๆ คืบคลาน หลิวไท่หยางยังคงมองทุกคนอย่างเย็นชา ริมฝีปากสีแดงได้รูปคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น
แต่ความน่าหลงใหลนี้กลับผสานความน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้อย่างลงตัว แลดูน่ากลัวแต่น่าค้นหาอย่างยิ่ง
สาวใช้สองคนที่ถูกซิงเยว่ตบตีพลันหน้าแดงซ่าน ด้วยความที่แอบชื่นชมรักใคร่ในตัวนายน้อยหลิวมากมาย ปรารถนาชิดใกล้ที่สุด ย่อมต้องการเป็นสาวงามตลอดเวลา ทว่ายามนี้ที่กลายสภาพจากสาวงามเป็นสภาพอเนจอนาถผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเล็บแดงเถือก พวกนางจึงรู้สึกอับอายยิ่งนัก คิดพลางตวัดสายตาแดงก่ำ มองตัวต้นเหตุแห่งเภทภัยอย่างแค้นเคืองชิงชัง
เมื่อถูกสายตาจ้องถลึงมา ซิงเยว่เพียงเลิกคิ้วมองอย่างไม่ยี่หระ แฝงความยียวนเต็มสองตา ร้ายมาร้ายกลับ!
สภาพอเนจอนาถสะบักสะบอมหมดความงามแต่ยังพร้อมแยกเขี้ยวกัดกันเหมือนหมาป่าของพวกนางทำเหิงอันต้องปาดเหงื่อ
วันนี้วันวิปลาสอันใด?
มิใช่ว่าเรื่องตบตีของบ่าวไพร่ไม่เคยเกิดขึ้น หากแต่การที่นายน้อยหลิวลงมาจัดการสะสางปัญหาเยี่ยงนี้ด้วยตนเองนั่นล่ะ ที่กำลังทำให้เหิงอันอยู่ไม่สุขเลยสักนิด
เพียงวันเดียว เขาผมหงอกเต็มศีรษะแล้ว!
บ่าวของเขาซื้อตัวอันใดเข้าเรือนมา?
ซิงเยว่ผู้นี้กินดีหมีหัวใจเสือหรือไร?
ภายใต้คำถามวกวนหลากหลายของพ่อบ้านเหิงและภาวะลนลานของเหล่าบ่าวไพร่ ไม่มีใครเลยที่ล่วงรู้ว่าหัวใจในอกแกร่งข้างซ้ายของผู้เป็นนายกำลังเต้นแรงปานใด
หลิวไท่หยางผู้นิ่งสงบมาตลอดกลับมีอาการรุ่มร้อนซุกซ่อน เขาเพิ่งได้ข่าวค่ายโจรจันทราแดงถูกคนของยุทธภพที่สมคบคิดกับราชสำนักโค่นล้มแล้วจนสิ้นซาก
ผลงานชิ้นนี้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงยิ่งนัก กลุ่มผู้กล้าและขุนนางภักดีเหล่านั้นได้รับคำตรัสชื่นชมจากองค์จักรพรรดิ ได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า ร่ำรวยมั่งมีมหาศาล ผลพวงจากการแสวงหาผลงานนี้ทำให้ค่ายโจรจันทราแดง ถึงคราวย่อยยับ ทุกชีวิตแตกพ่าย ที่ตายล้วนตายไป ที่สูญหายล้วนหาไม่เจอ
หนึ่งในนั้นคือซิงเยว่...นางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
โชคดีที่คนของค่ายจันทราแดงมิเคยเปิดเผยโฉมหน้าต่อบุคคลอื่นหรือชุมชนขนาดใหญ่และต่อหน้าธารกำนัล ทำให้การตามหาคนเพื่อสังหารตัดรากถอนโคนไม่อาจกระทำได้โดยง่าย
ข่าวที่ได้รับทำหลิวไท่หยางได้ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง
มีความเป็นไปได้สูงอย่างมากที่บางทีสตรีร้ายกาจนางนั้นอาจถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสกระทั่งความทรงจำเลือนหาย วรยุทฺธ์ล้ำเลิศที่เพียรฝึกฝนมาหลายปียังไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
ทว่าเขากลับมิอาจปักใจเชื่อได้เต็มส่วนในทันที มีเพียงต้องสังเกตพฤติกรรมนางเงียบๆ
และนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง นิสัยโหดร้ายป่าเถื่อน ทำตัวเป็นอันธพาลครองเมืองเยี่ยงนั้น...
กลางห้อง จิ่นอิ่งกับจิ่นอ้านยังคงลอบถลึงตาแค้นมองซิงเยว่ ในขณะที่ซิงเยว่เพียงเลิกคิ้วมองยียวนตอบกลับอย่างไม่หยี่ระ
ซิงเยว่ไม่อาจไม่ยอมรับกับตัวเองอย่างไร้ข้อกังขาในนิสัยอันธพาลของตน แม้ความจำเสื่อมแต่นิสัยเลวร้ายเช่นนี้ คงมีมานานแล้วกระมัง
หากแต่เมื่อระลึกได้ว่ามิได้อยู่ในห้องรวมที่มีแค่จิ่นอิ่งกับจิ่นอ้าน ทั้งมีผู้คนรอบด้าน ที่สำคัญยังอยู่ต่อหน้าเจ้านาย ซิงเยว่จึงถอนสายตาตีรวนกวนโทสะกลับ ก้มหน้าเงียบงัน เผื่อโทษหนักจะได้เป็นเบา
พยัคฆ์สาวตัวหนึ่งจึงเพียรเก็บเล็บแหลมเก็บเขี้ยวคมเอาไว้อย่างมิดชิด เสแสร้งแกล้งกลัวเพื่อความอยู่รอด
แววตาลุ่มลึกของนายน้อยหลิวมองภาพนั้นนิ่งๆ ก้นบึ้งในม่านตาเปล่งประกายบางเบาไร้ใครสังเกตเห็น
หากเอ่ยถึงยอดคนเร้นกายที่ประสงค์เก็บงำตัวตน คงมิแคล้วละม้ายคล้ายสาวใช้นางน้อยผู้นี้ ผู้ถูกลบเลือนความทรงจำไปสิ้น เร้นลับทุกสิ่งยิ่งกว่าบุคคลที่จงใจซ่อนตัว
ทว่าทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้น หากแต่เพราะจำตัวตนมิได้ จึงไม่ใช่ซ่อนตัวหรือต้องเก็บงำอันใด ซิงเยว่จึงไม่จำเป็นต้องปกปิดนิสัยใจคอ
นางยังคงผ่าเผย เป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุด
ดุจวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือนั่นล่ะ!
หลิวไท่หยางยิ่งรู้ดี หากพยัคฆ์ไม่ถูกกระตุกหนวดอวดอ้างบารมีล้ำอาณาเขตส่วนตัวอย่างอุกอาจท้าทาย ไหนเลยจะทำร้ายใครก่อน
ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มบาง รอยยิ้มนี้ยิ่งมองยิ่งลึกลับ ยากคาดเดา มีเพียงเขาเข้าใจอยู่คนเดียว
ขอแค่ทดสอบบางสิ่งอีกประการ คำตอบย่อมชัดเจน
จังหวะนั้นจิ่นอิ่งรีบเอ่ยเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นไห้ “นายน้อย บ่าวสองคนอยู่ดีๆ ซิงเยว่ก็เข้ามาทำร้ายเจ้าค่ะ”
จิ่นอ้านจึงฟ้องร้องเสริมสหายเพื่อขอความเป็นธรรม
“ใช่เจ้าค่ะ พวกบ่าวแค่ถามซิงเยว่ดีๆ ว่ามีเรื่องอะไรกับม่านเหนียง ถามว่าปัญหาคืออันใดเท่านั้น ซิงเยว่ก็โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทำร้ายตบตีพวกบ่าวเจ้าค่ะ”
สีหน้าของนางทั้งสองแลดูงดงามเย้ายวนชวนสงสาร ท่าทางอ้อนแอ้นอ่อนแอบอบบางชวนถนอมอย่างที่สุด
ไม่ว่าบุรุษคนใดได้ยลเป็นต้องเห็นใจทั้งนั้น!
“นายน้อย ซิงเยว่ผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก” จิ่นอ้านร่ำไห้น้ำตาดุจไข่มุกร่วงหล่น
จิ่นอิ่งซับน้ำตาส่งเสียงอ้อน “นางช่างไร้มโนธรรม จิตใจดำมืดยิ่งนักเจ้าค่ะ นายน้อยได้โปรดจัดการลงทัณฑ์ คืนความเป็นธรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียพวกนางก็ได้รับสิทธิ์ติดตามปรนนิบัตินายน้อยทุกคราที่เขามาเยือนคฤหาสน์ฤดูร้อนหลิวซิงแห่งนี้ ต่อให้แค่ชงชาโบกพัดยังไม่ถึงขั้นปีนเตียงนอนครางใต้ร่างเพื่อปรนนิบัติอย่างร้อนแรงถึงอกถึงใจ แต่ทว่าน้ำหนักในใจของเขาที่มีต่อสาวใช้ขั้นหนึ่งเช่นนางย่อมไม่อาจดูเบาได้แน่
อย่างน้อยความใส่ใจย่อมมีมากกว่า หากเทียบกับบ่าวไพร่คนอื่นๆ
โดยเฉพาะทาสชั้นต่ำที่เพิ่งซื้อตัวมา!
จิ่นอิ่งกับจิ่นอ้านผลัดกันฟ้องร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเทาแฝงความออดอ้อนน่าสงสารจับใจ ทว่าหลิวไท่หยางยังคงมองสาวใช้คนงามทั้งสองอย่างเฉยชา ดวงตาคู่คมสงบนิ่ง มีเพียงบางคนที่ส่งผลต่อเนตรเรียวเข้มดำดุจน้ำหมึกของเขา
คนผู้นั้นกำลังแสร้งยอมจำนนสงบปากสงบคำ ทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตนได้อย่างน่าขัน
หลิวไท่หยางปล่อยสาวใช้สองคนโอดครวญต่อไป เขาเพียงปรายตามองซิงเยว่เงียบๆ เห็นนางก้มหน้าหลุบตา ทว่ากลับไร้ระลอกคลื่นสั่นไหวหรือเผยความขลาดเขลาออกมา แม้ยามนี้จะมีฐานะต่ำตมกลายเป็นเพียงทาสต่ำต้อย อีกทั้งความจำยังเลือนหาย ทว่าตัวตนที่แท้จริงกลับมิอาจบิดเบือนเป็นอื่นได้
ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาวะใด บุคลิกบางอย่างของนางยังคงเป็นเอกลักษณ์เด่นชัดเฉกเช่นอดีต
หลิวไท่หยางค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า
ยิ่งเขาครุ่นคิดเท่าใดภาพอันงดงามของซิงเยว่ในอดีตก็ยิ่งทับซ้อนกับซิงเยว่ในยามนี้
“นายน้อย...ได้โปรดเจ้าค่ะ”
จิ่นอิ่งกับจิ่นอ้านยังคงคร่ำครวญชวนเวทนาผสานเสน่หาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง เสียงนั้นสั่นเครือเจือสะอื้นชวนหวั่นไหวกวนคลื่นอารมณ์อย่างยิ่ง
“โปรดคืนความเป็นธรรมให้บ่าวทั้งสองด้วยเจ้าค่ะ”
ทว่ากลับเป็นการก่อกวนความคิดคนอย่างที่สุด
ชายหนุ่มจึงหลุดจากภวังค์วสันต์ของตน ลืมตามองสาวงามอย่างเฉยชา เขาโบกมือคล้ายรำคาญ สั่งว่า
“พาสาวใช้สองนางนี้ออกไปเสียที ย้ายพวกนางไปประจำเรือนเพาะชำ ไม่ต้องรับใช้ข้าแล้ว”
“หา! นายน้อย”
หน้าที่ในเรือนเพาะชำคือเฝ้าแปลงผักคอยรดน้ำพรวนดิน ตากแดดตากลมจนผิวพรรณแห้งกร้าน
“นายน้อย...ไม่นะ! นายน้อย...”
เส้นเสียงหวานเผยความหวาดหวั่นลนลานปานนั้นมิได้ส่งผลอันใดต่อหลิวไท่หยาง เขาสนใจเพียงนาง...
“ออกไปให้หมด”
หลิวไท่หยางไล่ทุกคนไปจากห้องโถงอย่างเบื่อหน่ายก่อนหันมองซิงเยว่ “เจ้า...ตามข้ามา”
หญิงสาวผงกศีรษะพยักหน้าเงียบๆ โดยมิได้เปล่งเสียงใด เพียงลุกขึ้นแล้วเดินตามเจ้านายอย่างสงบเสงี่ยม
เขาเลี้ยวทางใด นางก็เลี้ยวทางนั้น เขาเข้าห้องใด นางก็เข้าห้องนั้น
โดยไม่ทันระวังตัว เพียงพริบตาเสี้ยวลมหายใจ ร่างบอบบางของซิงเยว่พลันถูกจับอุ้มไปโยนลงบนเตียง
“อ๊ะ!” หญิงสาวตกใจนัก “นายน้อย ท่าน!”
ยามนี้นายน้อยหลิวผู้สุขุมเงียบขรึมสง่างามไหนเลยยังมีอยู่จริง บัดนี้มีเพียงไท่หยาง บุรุษหนุ่มผู้คลุ้มคลั่งในรัก
เขาจับสาบเสื้อของซิงเยว่ฉีกกระชากขาดดังแคว่ก และแล้วความจริงพลันปรากฏ บนทรวงอกงดงามของนาง มีปานแดงจันทร์เสี้ยวอยู่จริงๆ
เขาเคยเห็นเพราะถูกนางยั่วยวนจนมัวเมาในรสรัก
ใช่! เขากับนางเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
ทว่าครั้งนั้นเขาหยุดกลางคันเพราะคิดว่าควรแต่งงานกันอย่างถูกต้องก่อนจึงถูกนางตบจนพลัดตกเหวที่เบื้องล่างเป็นม่านน้ำตก กว่าจะปีนขึ้นมาไม่ง่ายเลย
“เจ้า...”
กำลังจะเอ่ยทักอย่างตื่นเต้นกลับถูกแจกันที่หัวเตียงฟาดจนสลบเหมือด
เป็นเจ้า...โม่ซิงเยว่
ไม่ผิดแน่...
ประโยคหนึ่งเลือนหายพร้อมสติบุรุษที่หลุดลอย