เพราะต้องแสงจันทร์โดดเด่นในคืนเดือนเพ็ญ ค่ำคืนนั้น ราตรีแม้สลัวราง ทว่าเบื้องล่างที่ปกคลุมด้วยพื้นหญ้าอ่อนนุ่มกลับสว่างไสว
กลางหุบเขาเดือนดาว ลานกว้างราบลุ่ม ฟ้าปกดิน ข้างกายหลิวไท่หยางเห็นแม่นางโม่ซิงเยว่ในอาภรณ์สีแดง ผ้าคลุมหน้าสีแดง รอบกายกำจายกลิ่นอายมงคล
แม้ไร้แขกเหรื่อร่วมยินดีทว่าเพื่อค่ำคืนอันเป็นมงคล ชายหญิงอารมณ์รุ่มร้อนคลั่งใคล้ในรักคู่หนึ่งจึงไร้ซึ่งความคิดเฉกเช่นคนทั่วไป
พวกเขาเพียงต้องการเคียงคู่ยืนข้างคำนับฟ้าดิน คำนับกันและกัน
สัญญารักมั่นมิเสื่อมคลาย
เมื่อผ้าคลุมหน้าสีแดงถูกบุรุษเปิดออก สตรีแน่งน้อยจึงคลี่ยิ้มอบอุ่นกล่าววาจาเอาแต่ใจ “ต่อไปข้าเป็นของท่าน ส่วนท่านก็เป็นของข้า ร่างกายทุกส่วนล้วนเป็นของกันแล้ว ท่านจงจำไว้ห้ามลืม...”
ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นยิ่งคลี่ยิ้มเปี่ยมสุข เนตรลุ่มลึกยิ่งเผยแววรักใคร่ เรียวนิ้วไล้เกลี่ยแก้มนวลก่อนเชยคางมน ก้มหน้ากระซิบเสียงทุ้มนุ่ม
“ข้าเป็นของเจ้าตลอดไป...”
จุมพิตละมุนเกิดขึ้นเนิ่นนาน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงนิทราหวาน มิย้อนคืน...
ยามนั้น หลิวไท่หยางตามใจซิงเยว่แค่คำนับฟ้าดิน คำนับกันและกัน
เขาเพียรกดข่มอารมณ์รุ่มร้อนของวัยหนุ่มแน่นที่มีเลือดลมพลุ่งพล่าน พยายามอดใจเอาไว้มิเข้าหอกลางป่าอย่างอุกอาจ ด้วยเกรงว่าพิธีอันเป็นมงคลยังไม่ครบถ้วน จำต้องรอเวลาอีกสักหน่อย
ทว่ากลับทำให้ซิงเยว่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ท่านรังเกียจข้า จึงไม่ยอมมอบบุตรให้ข้าหรือ?”
นอกจากการกระทำจะเอาแต่ใจ ถ้อยวาจาของนางยังเอาแต่ใจยิ่งกว่า
“ท่านสมควรมอบบุตรให้ข้า!”
สุภาพชนผู้หนึ่งจึงรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับฟ้าพิโรธยามไร้คลื่นลม
“ซิงเอ๋อร์ เจ้ารักข้าถึงเพียงนี้เชียว?”
ไม่นานหลังจากนั้น เขาจึงหอบสินสอดหลายสิบหีบไปสู่ขอนางเพื่อตบแต่งเข้าจวนอย่างสมเกียรติ
ตั้งมั่นคืนแต่งงานว่าจะให้ความสำคัญยามเข้าหอ เจ้าบ่าวที่ดีสมควรประคับประคองเจ้าสาวอย่างทะนุถนอม มอบความรักใคร่ลึกซึ้งจนล่วงพ้นราตรีทองคำ
หมายประกาศก้องเกริกไกรให้ทั่วหล้าว่านางคือภรรยาของข้าอย่างเต็มภาคภูมิ
ทว่าวันนั้น นางกลับสะบั้นเยื่อตัดใยไร้ปรานี...
คืนนี้ ต้องขอบคุณแจกันใบนั้นในมือของโม่ซิงเยว่ที่ทำให้หลิวไท่หยางได้สติกลับคืนมา อย่างน้อยตัวเขาก็ยังไม่พลั้งเผลอเปิดปากโพล่งความจริงออกไป
ใช่! เขาจะไม่บอกอะไรแก่นางแม้แต่คำเดียว
ยามนี้เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้แก้แค้นอย่างสาสม
นางผู้เหยียบย่ำหัวใจอันรักมั่นของเขาจนแหลกเหลวไม่เหลือดี สมควรต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างที่สุด
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไม่เผยอารมณ์ใด หลิวไท่หยางคิดในใจอย่างร้อนรุ่ม แววตาคมกริบถูกรุมเร้าด้วยเพลิงแค้นสุมทรวง
บนศีรษะของเขามีผ้าสีขาวพันแผลเอาไว้โดยรอบอย่างโดดเด่น ช่างเป็นภาพชวนบาดตาบาดใจให้แก่บ่าวไพร่ผู้ภักดีเหลือเกิน
คราวนี้พ่อบ้านเหิงกระอักเลือดออกมาจริงๆ แล้ว
ทาสสาวซิงเยว่ผู้นั้นเป็นปีศาจจากนรกขุมใดกัน!
และยามนี้ ทาสสาวจากนรกขุมลึกลับของเหิงอันกำลังถูกคุมตัวไปโบยอยู่ในป่าไผ่ของเรือนซักล้างด้านหลัง โทษทัณฑ์ข้อหาที่ทำร้ายเจ้านายเยี่ยงนั้น ...น้อยเสียที่ไหน
ใช้แจกันฟาดผู้เป็นนายจนหัวแตกเลือดอาบเลยนะ!
ซิงเยว่ถูกตีโดยคำสั่งอันเกรี้ยวกราดของเหิงอันทันที
เสียงไม้กระทบเนื้อดังลั่นไปทั่วป่าไผ่ คนโบยมิได้ออมแรงเลยสักเสี้ยว ซิงเยว่กัดปากอดทนจนเลือดซึม
แน่นอนนางเจ็บ...แต่ไม่รู้ว่าทำไมการกรีดร้องหรือแสดงความอ่อนแอออกมา มันเสมือนไม่ใช่นิสัยของนาง
หญิงสาวหลับตาครุ่นคิดลืมแรงเสียดทานกลางหลังและความเจ็บปวดที่แทรกซึมเนื้อหนังไปจนสิ้น
อาจเป็นเพราะนางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ต้องอดทนทำงานหนักหนาสาหัส
กระทั่งหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจนต้องขายตัวเป็นทาส ตามคำบอกเล่าของท่านอาซุนเทียนหัวหน้าผู้ดูแลและควบคุมแรงงานทาสที่ช่วยเหลือนางผู้นั้น
‘เฮ้อ...หนี่เอ๋อร์เอ๋ยหนี่เอ๋อร์ รอบกายเจ้าไม่เหลือใครรอดสักคน เจ้าก็ยังความจำเสื่อมเสียได้ แต่อย่ามัวโทษดินโทษฟ้าเลยเพราะมันคือชะตาชีวิตของเจ้า ข้าช่วยเยียวยารักษาร่างกายจนหายดีแล้วก็อย่าเสียเวลาตอบแทนข้าหรือมัวคิดเคียดแค้นพวกโจรถ่อยที่ปล้นชิงเลย ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้ ต่อไปจงใช้ชีวิตอย่างมีสติใคร่ครวญให้ดี พึงระมัดระวังและอดทนให้เหมือนเดิมเถิด บิดามารดาญาติพี่น้องบนสวรรค์จะได้ตายตาหลับ’
ความปวดแสบรวดร้าวแผ่ลามไปทั่วแผ่นหลังบาง นางกำลังมึนงง สองหูอื้ออึง สมองน้อยๆ เริ่มขาวโพลน สติของซิงเยว่เริ่มเลือนรางเต็มที
กระนั้นคำกำชับยังคงดังก้องไม่มีตกหล่น คนผู้หนึ่งสำนึกรู้ว่าต้องอดทนนับแต่ลืมตาขึ้นมาพร้อมความทรงจำที่ว่างเปล่า ไหนเลยจะรู้สึกถึงความย้อนแย้งในวาจาของใคร
นางมิได้สงสัยคำพูดของพ่อค้าทาสผู้นั้นเลยสักนิด
ยามนี้ หญิงสาวได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่การโบยตีจะสิ้นสุดลงเสียที
นางผิดที่ใดกระนั้นหรือ?
มิใช่ว่านายน้อยหรือที่ทำผิด?
เขาคิดจะขืนใจนางไม่ใช่หรือไร?
อ้อ...ลืมไป สาวใช้ผู้หนึ่งสมควรยินดีกับการกระทำเช่นนั้น การเป็นที่รักใคร่โปรดปรานของเจ้านายคือหนทางอยู่รอดหนึ่งเดียวของเหล่าบ่าวไพร่ เรื่องนี้ผู้คนเพียรตอกย้ำให้แก่นางที่เป็นเพียงทาสได้รับฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน
ทว่าก่อนที่ม่านตาจะหรี่แสง ความมืดจะแผ่ขยาย อนธการย่างกราย ซิงเยว่กลับรู้สึกคล้ายเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง
เขาผู้นั้นสวมอาภรณ์ผ้าไหมหรูหรากำลังเดินโวยวายเข้ามาทางนาง
“ใครให้เจ้าบังอาจนำตัวนางมาโบย!?”
หลิวไท่หยางคำรามลั่นอย่างโกรธา สายตาคมกล้าบัดนี้คล้ายดาบคมกริบพร้อมปลิดชีวิตผู้คน
ท่วงท่าองอาจยังแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยและหวงแหนต่อนางผู้ถูกโบยปานนั้น
เขาหันไปสั่งจิ้นสิง “นำตัวพ่อบ้านเหิงไปโบยให้หนักแล้วจับขังในคอกหมูหนึ่งเดือน!”
เหิงอันกระอักเลือดจนหมดตัวเนื้อหนังพลันซีดเผือด
วันนี้เป็นวันนรกแตกใช่ไหม?
และแล้วสติของซิงเยว่ก็ดำมืดดับวูบไป ท่ามกลางความกราดเกรี้ยวอันน่ากังขานั้นของหลิวไท่หยาง
หลายวันแล้ว ซิงเยว่ยังคงสลบไสลมิได้สติ
เนื่องจากนางถูกโบยไปหลายทีจนแผ่นหลังบอบบางได้แผลมีเลือดซึม ทั้งเพิ่งฟื้นคืนจากสภาพร่างกายที่เจ็บป่วยในช่วงก่อนหน้าแค่ไม่นาน
นางถูกพาตัวมารักษาในเรือนหลักทางฝั่งตะวันออกของห้องปีกข้างในเรือนพำนัก ซึ่งเป็นที่พักอาศัยแบบส่วนตัวของนายน้อยหลิว
ท่านหมอถูกเชิญตัวมาอย่างเร่งด่วน เพื่อทำการรักษาซิงเยว่ให้ทันท่วงที เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงพรึงเพริดให้แก่เหล่าบ่าวไพร่ทั่วทั้งคฤหาสน์
สาวใช้คนงามทั้งหลายที่รอขยับขยายฐานะขึ้นเป็นสาวใช้ห้องข้าง เพื่อได้รับสิทธิ์ติดตามนายน้อยเป็นอนุภรรยาท้ายจวนคหบดีหลิวอันยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงถึงขั้นเม้มปาก พวกนางตัวสั่นกัดฟันน้ำตาไหลพรากด้วยความริษยา
นางทาสผู้นั้นมีดีอันใด? นิสัยหรือก็หยาบกระด้าง ผิวพรรณหรือก็หยาบกร้าน ใบหน้าก็มิได้งดงามเท่าใด สายตายิ่งชั่วร้ายปานนั้น มองไม่เห็นมิตรไมตรีสักกะผีก! ไยนายน้อยถึงต้องตาต้องใจขนาดรั้งไว้ข้างกาย?
หรือนางมีดีเรื่องบนเตียง?
ทุกวาจาล้วนเป็นคำถามอันไร้ซึ่งคำตอบโดยสิ้นเชิง...
และหลิวไท่หยางไม่ใส่ใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ทุกวัน ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามเป็นเอกของเขา มีแต่คำถามซ้ำไปซ้ำมา ถามย้ำแต่เรื่องเดิมๆ
เขาเพียรถามตัวเองตลอดเวลาว่าทั้งๆ ที่นางร้ายกาจปานนั้น เขาที่แค้นเคืองปานนี้ เกลียดชังนางเข้ากระดูกดำยากสั่นคลอน แต่กลับปรารถนาไปเฝ้าไข้นางถึงขอบเตียง อยากป้อนข้าวป้อนยา อยากดูแลนางด้วยตนเองเพื่ออันใด?
เหตุใดนางถึงชอบทำให้คนเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ!
ภายในห้องหนังสือรโหฐานอันหรูหราแต่เรียบง่ายอวลบรรยากาศเคร่งขรึม
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยังคงนั่งนิ่งคงไว้ซึ่งท่วงท่าสุภาพชนเฉกเช่นคุณชายตระกูลใหญ่ ทว่าบนใบหน้าคมคายกลับมีเรียวคิ้วที่ขมวดแน่นไร้วี่แววคลายออกเฉกนักรบคิดกลศึก
จังหวะนั้นจิ้นสิงพลันส่งเสียงนอกประตู “นายน้อย ซิงเยว่ฟื้นแล้วขอรับ”
หลิวไท่หยางยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมแน่นกว่าเดิม ความรู้สึกสับสนหลากอารมณ์ไหลวูบผ่านม่านตาดำ
นานครู่ใหญ่ค่อยเบือนใบหน้ามาทางประตูห้อง สั่งเสียงห้วน “พานางมาพบข้า!”
แม้บาดแผลจากแจกันบนศีรษะของหลิวไท่หยางจะหายดีแล้ว ทว่าเขากลับเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะหยิบผ้าขาวขึ้นมาพันเอาไว้อย่างดี ประหนึ่งมีบาดแผลฉกรรจ์ไม่หายเสียที
จากนั้นก็นั่งนิ่งๆ ด้วยท่าทางงามสง่าดุจเดิม สูดหายใจลึกๆ หลับตาอยู่นานกว่าจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ประตูห้องถูกเปิดออกแผ่วเบา เรือนร่างอรชรในอาภรณ์สีขุ่นค่อยๆ เดินเข้ามาปรากฏกายเบื้องหน้า
“นายน้อย...”
ซิงเยว่เอ่ยเรียกเสียงหวาน สองเนตรคมเฉี่ยวงดงามมองอย่างเทิดทูน
ตั้งแต่ก่อนสลบสิ้นสติและหลังจากตื่นลืมตาขึ้นมา นางไม่เคยลืมเสียงห้ามปรามอย่างโกรธาและท่าทางห่วงใยปานนั้นของเจ้านายเลย นางจึงตั้งมั่นจะรับใช้ปรนนิบัติเขาอย่างดีเลิศเชียวล่ะ!
ความคิดในใจของหญิงสาวผู้เป็นบ่าวรับใช้ ชายหนุ่มผู้เป็นนายไหนเลยจักล่วงรู้
เขาไม่รับรู้อะไรเลย เพราะสองตาคมที่จ้องนางมีแต่ความแค้นเคือง
หลิวไท่หยางเห็นแค่ภาพอดีตที่นางเคยย่ำยีหัวใจเขาจนแหลกสลาย...
การแก้แค้นคนผู้หนึ่งจำเป็นต้องให้อีกฝ่ายจดจำให้ดีว่าสิ่งใดที่ทำให้แค้น...
หลิวไท่หยางจึงมีความคิดว่าจะช่วยฟื้นความทรงจำให้ซิงเยว่เสียก่อน เพื่อจะได้แก้แค้นอย่างสาสมตรงประเด็น เสียงเย็นเยียบจึงดังขึ้น “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าทำอะไรกับข้า?”
ซิงเยว่เลื่อนสายตาขึ้นมองผ้าสีขาวรอบศีรษะบุรุษ สีหน้าพลันซีดลง เกิดความรู้สึกหม่นหมองยิ่ง
“บ่าวจำได้เจ้าค่ะ บ่าวตีนายน้อยด้วยแจกัน”
“ซิงเอ๋อร์...” น้ำเสียงของหลิวไท่หยางฉายแววดุดัน วาจาคุกคาม “เรียกตัวเองว่าซิงเอ๋อร์”
นามนี้จะยิ่งตอกย้ำให้เขาจำได้แม่นยำว่านางเคยทำสิ่งเลวร้ายอันใดไว้กับเขา
“เจ้าค่ะ” ซิงเยว่ย่อมไม่รู้ความนัย นางพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
“ซิงเอ๋อร์จำได้เจ้าค่ะ ซิงเอ๋อร์วู่วามพลั้งมือไปแล้ว ยามนั้นซิงเอ๋อร์ตกใจ ไม่นึกว่านายน้อยจะบุ่มบ่าม ทำเช่นนั้น เอ่อ...” จะพูดว่าขืนใจก็เอ่ยได้ไม่เต็มปาก
“ข้าน่ะหรือบุ่มบ่าม?” หลิวไท่หยางแค่นเสียงหยัน รู้สึกไม่สบอารมณ์ “ไยมิใช่มีเพียงเจ้าที่วู่วาม พลั้งมือ?”
ชีวิตของบ่าวรับใช้เป็นของเจ้านาย ไม่ว่าอีกฝ่ายต้องการหรือปรารถนาอันใด บ่าวไพร่ล้วนไม่อาจต่อต้านและทัดทาน
ซึ่งแน่นอนว่าเจ้านายย่อมมีสิทธิ์ทุกอย่างในเรือนร่างของสาวใช้ การทำร้ายเจ้านายเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่มีสิทธิ์กระทำเด็ดขาด
ซิงเยว่ให้รู้สึกผิดยิ่งนัก “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นซิงเอ๋อร์ที่วู่วามเกินไป ขอนายน้อยโปรดอภัย”
“อภัยหรือ?” ชายหนุ่มยิ่งแค่นเสียงเย็น สีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้า!”
หญิงสาวได้ยินก็ตื่นตระหนก คิดในใจว่าแย่แล้ว “นายน้อยให้ซิงเอ๋อร์ทำอะไรก็ได้เจ้าค่ะ ต่อให้เป็นวัวเป็นม้า ซิงเอ๋อร์ยอมทั้งนั้น ขอแค่ท่านหายโกรธซิงเอ๋อร์”
รอยยิ้มสมใจพลันปรากฏตรงมุมปาก แววตาคมเข้มคล้ายรัตติกาลดำจัดบนใบหน้าหล่อเหลาสว่างวาบ
หลิวไท่หยางให้รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ประโยคนี้ล่ะที่เขาต้องการฟังมาแรมปี
ตั้งแต่วันนั้นที่นางสะบั้นรักเขา เพียงวาจานี้ก็พอแล้ว
“พูดได้ดี...” หลิวไท่หยางลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง พาร่างสง่างามโดดเด่นเดินเนิบช้ามาหยุดเบื้องหน้าซิงเยว่
ทว่าวูบหนึ่งในใจพลันลอบกระแอมไออย่างหงุดหงิด
อันที่จริงเขาควรเรียกนางให้เป็นฝ่ายเดินเข้าหาต่างหาก มิใช่เป็นฝ่ายลุกเดินมาเองเยี่ยงนี้!
หลิวไท่หยางอยากสบถออกมาดังๆ เหลือเกิน
เขายอมนางเกินไปอีกแล้ว ให้ตายเถอะ!
ซิงเยว่ยังคงไม่รู้อันใด นางเพียงแหงนหน้าขึ้นสบตาแล้วยิ้มหวาน
หวานมาก...
หลิวไท่หยางให้รู้สึกตาพร่า บ้าจริง!