ในขณะที่กัญญดาเลือกที่จะไม่ตอบ เธอคิดว่าชงเหล้า และยิ้มก็น่าจะพอสำหรับคืนนี้
“หนูมีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังอีกไหม”
จริงๆ ทุกเรื่องที่เขาพูดมา เธอก็ไม่ได้อยากเล่า แต่ความเป็นพ่อบุญทุ่มของเขา เธอจึงเกรงใจและค่อยๆ เปิดใจเล่าออกไปทีละน้อย
“เมื่อต้นสัปดาห์ พ่อก็ไปตรวจและพบว่าอาจจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากขั้นเริ่มต้นค่ะ” พ่อที่อายุแค่ 49 ปี น่าจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักกลับมาพบข่าวร้ายอีก อะไรมันจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขนาดนี้
ถ้าเป็นคนอื่น ภามอาจจะคิดว่าโกหก แต่กัญญดาที่เขารู้จักตรงหน้า เธอเข้มแข็งและก็แสดงออกหลายครั้งว่าเป็นนักสู้เกินกว่าที่จะมาปั้นแต่งนิยายเพื่อให้ผู้ชายโอนเงินให้
เขารู้ เพราะเคยพยายามจะให้เงินเธอบ่อยครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่รับ แถมยังแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจพฤติกรรมประเภทนี้
“แล้วหนูจะให้พ่อรักษาที่ไหน” เขามองคนที่ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าอ่อนเยาว์ยู่ยี่ขึ้นมาทันตาเห็น
“หนูว่า...ฉันว่าเราคุยเรื่องของคุณดีกว่าค่ะ”
ภามวางแก้วลงแล้วก็จ้องเด็กกระดูกอ่อนที่พยายามจะเปลี่ยนเรื่อง
“ผมรู้จักหมอระบบปัสสาวะเก่งๆ หลายคนเลยนะ” เขามีเพื่อนที่เป็นหมอเยอะเลย
“ขอบคุณค่ะ” แต่เธอจะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็คงต้องให้พ่อไปใช้สิทธิ์ตามอัตภาพ
“ผมจะเลือกที่เป็นโรงพยาบาลรัฐบาลให้ เอาในเวลา หนูจะได้ไม่ต้องเสียเงินเยอะดีไหม” เขาต่อคำแนะนำอย่างรู้ใจ ตาที่เป็นประกายคู่นั้น มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาอยากได้
จริงๆ เขาจะทุ่มให้เธอไม่อั้น พาพ่อเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด กับหมอที่แพงที่สุดก็ย่อมได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นคงเป็นการมัดมือชกคนที่มีศักดิ์ศรีมากเกินไป
ค่อยๆ ตะล่อมจีบด้วยความอบอุ่น อยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษา น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะกว่า เพราะสุดท้ายเมื่อเธอปลงใจ ถึงเวลานั้นเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญ จะเปย์เท่าไหร่เธอก็คงพร้อมรับ
“หนูขอบคุณคุณมากนะคะ ถ้าคุณจะกรุณา...คุณจดรายละเอียดให้หนูได้ไหมคะ”
เขาทำได้ แต่เรื่องอะไรภามจะทำ โอกาสเขามาแล้ว และจะไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่ๆ
เขาส่งโทรศัพท์หรูมาตรงหน้า ก่อนที่คิวอาร์โค้ดจะปรากฏขึ้นมาชัดเจน
“แอดไลน์กันดีกว่า รายละเอียดมันเยอะ แล้วมะเร็งต่อมลูกหมากน่ะ รีบรักษาแต่เนิ่นๆ ก็มีโอกาสหาย”
เธอชั่งใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาสแกนในที่สุด เธอไม่มีทางเลือกมากนัก ตอนนี้โอกาสมาก็ต้องรีบคว้าเอาไว้
“ผมทักไปแล้วนะ”
แค่สติกเกอร์ ‘Hi’ ไม่ใช่หัวใจอย่างที่เธอนึกกลัว
“ขอบคุณค่ะคุณภาม” เธอกระพุ่มมือไหว้ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าตัวเองนั้นตัวเล็กแค่ไหน เส้นสายอะไรในชีวิตก็ไม่มี ประสบการณ์ก็น้อย ถ้าไม่มีเขาช่วย อะไรมันจะยากกว่านี้หลายร้อยเท่า
“พรุ่งนี้ผมจะส่งชื่อหมอกับโรงพยาบาลไปให้” เขาจ้องคนที่อมยิ้ม แค่เห็นรอยยิ้มนั่น ใจมันก็กระตุกแปลกๆ
เขาคงอยากได้สาวน้อยตรงหน้ามาก และมันก็เป็นอะไรที่สัมพันธ์กับร่างกายและความรู้สึกในตอนนี้มากที่สุด
“แล้วน้องชายหนูล่ะ”
“คะ?”
“เขาจะไปต่อมอสี่ที่ไหน”
“คงเป็นช่างกลสักที่แหละค่ะ เขาอยากเป็นช่างไฟ”
“แล้วไว้ผมจะแนะนำโรงเรียนดีๆ ให้เขาไปลองสอบ ผมรู้ว่าที่ไหนมีโควตาบ้าง...ถ้าหนูจะไม่คิดว่าผมยุ่งวุ่นวายกับชีวิตหนูมากเกินไป” เขาจ้องตรงไปที่ดวงตากลมโตคู่นั้น
นี่ก็อีก จะให้เขาใช้เส้นสายพาน้องเธอไปเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุดที่ไหนก็ได้ แต่มันคงไม่ใช่วิธีที่จะปราบพยศม้าป่าแสนสวยตรงหน้า และเขาก็เหมือนรู้จุดอ่อนเธอเพิ่มขึ้น เธอแสดงออกชัดเจนว่าครอบครัวนั้นสำคัญมากแค่ไหน
ถ้าอยากได้ใจเธอ บางทีเขาอาจจะต้องจีบด้วยวิธีนี้ เสนอเงินไปก็รังแต่จะได้รับความเกลียดชัง สู้ให้เธอได้สู้ด้วยตัวเองไปก่อนมันน่าจะได้ผลมากกว่า
“ไม่ค่ะ หนูคงต้องขอบคุณคุณมากกว่า” วันนี้เธอยอมรับน้ำใจไมตรีก็เพราะรู้ว่าเรื่องที่เขาจะยื่นมือมาช่วยมันคือเรื่องสำคัญ แถมมันก็แค่การแนะนำให้เธอไปทำต่อ ไม่ใช่บังคับยัดเยียดและใช้เงินฟาดหัวอย่างที่เธอนึกกลัว
อาวัช น้องชายของเธอเป็นเด็กหัวดี ถ้าเขามีโอกาสได้โควตา บางทีนี่อาจจะเป็นการสอบที่พลิกชีวิตให้น้องได้มีอนาคตดีๆ ในแบบที่พี่สาวอย่างเธอจะมีปัญญาทำให้ได้
“ผมดีใจนะ ที่หนูไม่คิดว่าผมต้องการอะไรตอบแทน และปฏิเสธความหวังดีของผม”
“ถ้าคุณต้องการอะไรเล็กๆ น้อยๆ หนูก็จะยอมให้ค่ะ” เธอไม่อยากติดหนี้บุญคุณ ถ้าแลกเปลี่ยนกันแล้วจบก็น่าจะดีกว่า
ภามขยับมาข้างหน้า ก่อนจะจ้องคนที่แก้มแดง
“หนูแน่ใจเหรอ...”
“ค่ะ”
“งั้นผมจะลองคิดๆ ดู”
มันเป็นคืนที่ผ่านไปอย่างเงียบๆ กัญญดารู้สึกสะท้านในทรวงอกหลายครั้ง มันคือการจีบขั้นเทพ และมันก็กลับกัน เพราะจริงๆ เธอต้องยั่วให้ลูกค้าติด แต่เขากลับมาเหนือเมฆและก็ทำให้เธอรู้สึกประหม่าเพียงแค่ถูกจ้องตลอดทั้งคืน