บทที่5 สวนทาง

2077 คำ
เดิมทีการโทรศัพท์บอกกล่าวผู้เป็นแม่นั้นใช้เวลาไม่นาน แต่เพราะหลังจากวางสายจากแม่แล้วลูกค้าโทรเข้ามาเพื่อคุยเรื่องแบบแปลนจึงได้คุยกันอยู่พักใหญ่ศศิลัลน์จึงไม่ได้กลับไปหายัยหนูในทันที หญิงสาวบอกลาปลายสายเมื่อพูดคุยกันจนเข้าใจแล้วก่อนจะมุ่งตรงกลับห้องของคุณหญิงภัสตรา ในใจคิดว่าจะขอทุเลาโทษยัยหนูยังไงดีโทษฐานที่หายไปนาน ทว่าเพราะเอาแต่คิดจนได้เผลอใจลอยจนชนเข้ากับคนที่สวนมา ตุบ “โอ้ย แง” คนนถูกชนจนล้มไปกองกับพื้นเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าขวบ ทันทีที่ล้มตาหนูก็แผดเสียงร้องจ้าในทันทีจนศศิลัลน์ต้องรีบย่อตัวลงไปปลอบ “โอ้ ๆ ไม่ร้องนะครับ น้าขอโทษ น้าไม่ทันมอง...เจ็บตรงไหนมั้ยลูก” ด้วยสัญชาตญาณของคนเป็นแม่สิ่งแรกที่ทำหลังจากขอโทษและปลอบใจก็คือการมองสำรวจและสอบถามว่ามีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บบ้าง ทว่าตาหนูที่เมื่อครู่ร้องไห้จ้ากลับส่ายหน้ามือก็ชี้ไปที่พื้นซึ่งมีบางสิ่งบางอย่างตกอยู่ เป็นขนมขบเคี้ยวที่หล่นกระจายเกลื่อนพื้นซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุจริง ๆ ของการร้องไห้ “หนูไม่เจ็บใช่มั้ย” หญิงสาวถามย้ำ ตาหนูก็พยักหน้างึกงัก คุณแม่ยังสาวจึงระบายยิ้มโล่งใจก่อนจะค้นหาในกระเป๋าว่าพอจะมีอะไรมาทดแทนขนมของหนูน้อยได้บ้าง และก็นับว่ากระเป๋าของเธอเป็นกระเป๋าวิเศษสำหรับเด็กที่พอจะมีขนมอยู่บ้าง ถึงจะไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวเหมือนกับขนมที่หล่นแต่ก็นับว่าพอทดแทนได้ เห็นพี่สาวที่ชนกันจนล้มหยิบขนมออกมาตาของเจ้าหนูก็เป็นประกาย “พอจะแทนขนมที่หกไปได้มั้ยครับ” “ได้ครับ” เห็นหนูน้อยยิ้มได้คนใจลอยจนชนเด็กล้มก็สบายใจขึ้น เธอยื่นมือไปลูบแก้มหนูน้อยก่อนจะหยิบขนมออกมาให้หนูน้อยเลือกอีกสองสามชิ้นเป็นการชดเชย ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็ให้ความสนใจกับคนที่นั่งยอง ๆ คุยกับเด็ก แต่บางคนก็ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ศศิลัลน์และหนูน้อยเองก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ หญิงสาวจึงไม่รู้เลยว่าห้องของคุณหญิงภัสตรามีความเคลื่อนไหว ประตูห้องถูกเปิดออก คนร่างสูงก้าวออกจากห้องก่อนจะมุ่งตรงไปตามทางเดินก้าวผ่านเด็กชายที่เลือกขนมอยู่ไปโดยไม่ได้ให้ความสนใจก่อนจะหันกลับมามองหลังจากที่ก้าวห่างออกมาไกลด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ ทว่ามองกลับมาก็ไม่เห็นใครเสียแล้วเพราะผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบดบังเอาไว้ ลภณดนัยส่ายหน้ากับตัวเองก่อนจะตรงดิ่งไปที่ลิตฟ์เพื่อไปหาสั่งข้าวให้คนเป็นแม่ตามที่ท่านต้องการ คิดถึงแม่บังเกิดเกล้าแล้วก็ยังเคืองอยู่เล็กน้อย ความจริงเขาบินมาเป็นเพื่อนท่านตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อที่ติดธุระมาไม่ได้ กะจะเข้างานไปด้วยแล้วแท้ ๆ แต่คุณหญิงภัสตรากลับดื้อปล่อยเขาทิ้งไว้ที่โรงแรมและมาเอง แล้วก็เกิดเรื่อง...ถ้าเป็นอะไรมากไปกว่านี้จะทำยังไงล่ะ หนึ่งคนเดินผ่านไปแล้ว หนึ่งคนยังคงนั่งคุยกับหนุ่มน้อยอีกสองสามคำก่อนจะแยกกัน ศศิลัลน์บอกลาหนูน้อยก่อนจะตรงดิ่งไปยังห้องของคุณหญิงภัสตรา ไม่รู้ทำไมเสี้ยววินาทีหนึ่งขณะที่พูดคุยกับตาหนูเธอถึงได้รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นเคยแว่บผ่านมาและผ่านไป แต่พอมองไปด้านหลังก็เห็นเพียงผู้คนที่ขวักไขว่...เธอคงคิดไปเอง ผลัก! “กุนแม่มาแย้ว” ยัยหนูที่กินขนมจนอิ่มแล้วร้องใส่ในทันทีที่เห็นว่าคราวนี้เป็นคุณแม่จริง ๆ ไม่ใช่คุณลุงใจดีที่ยื่นขนมมาให้หลายชิ้น หนูน้อยลลินน์รีบวิ่งมาหาคุณแม่ยังสาวทันทีพร้อมกับสอบถาม “ปายนานจังเยยค่ะ” “คุณแม่ขอโทษนะคะ คุยกับคุณยายนานไปหน่อย” “น้องลีนม่ายโกด” “เด็กดี” หญิงสาวเอ่ยชมยัยหนูก่อนจะหอมแก้มซะฟอดใหญ่จนหนูน้อยหัวเราะคิกคัก “กุนยุงก็หอมโตงนี้” “หืม คุณลุงที่ไหนคะ” คนเป็นแม่ถามแล้วก็ขมวดคิ้ว ในห้องในตอนที่เธอออกไปและเข้ามาคนในห้องก็ยังเท่าเดิมแล้วจะมีคุณลุงที่ไหนมาหอมแก้มลูกสาวของเธอ หรือน้องลินน์หมายถึงยุง? “กุนยุงเย ของกุนยายภัส” ยัยหนูบอกเล่าพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปที่คนป่วยบนเตียง เป็นการบอกว่าคุณลุงใจดีหอมแก้มที่เดียวกับคุณแม่ ทว่าศศิลัลน์ก็ยังขมวดคิ้วจนคุณหญิงภัสตราต้องเป็นฝ่ายอธิบาย “ลูกชายป้าน่ะหนูลัลน์ หนูออกไปคุยโทรศัพท์เขาก็เข้ามา แต่ตอนนี้ป้าไล่ให้ไปซื้อข้าวให้น่ะ ขืนไม่ไล่เป็นได้เอาขนมให้น้องลินน์กินจนหมดถุง” พูดถึงลูกชายตัวดีคุณหญิงภัสตราก็ถอนใจเบา ๆ ไม่รู้ว่าหนูน้อยลลินน์มีเวทมนต์หรือยังไงถึงได้ทำให้ลภณดนัยมีท่าทีเอ็นดูจนคะยั้นคะยอให้กินขนมไปหลายชิ้นทั้งที่เด็กไม่ควรจะกินขนมหวานมาก ตาคนนั้นไม่รู้เป็นอะไรถึงได้เอาแต่มองยัยหนูกินขนมคำแล้วคำเล่าจนเธอกลัวจะทำลูกสาวคนอื่น หลานสาวคนอื่นฟันผุเอาได้ “คลาดกันไปคลาดกันมา นี่ถ้าละครนี่พระนางแล้วนะหนูลัลน์” แม่เลี้ยงขวัญฤทัยแทรกขึ้นในเชิงขบขัน ความจริงแล้วศศิลัลน์กับลภณดนัยควรจะเจอกันตรง ๆ ไปแล้วตั้งแต่ที่หญิงสาวเข้ามาในห้องกับหนูน้อยลลินน์ แต่ไม่รู้ทำไมคนที่ลภณดนัยบอกว่าอยากจะขอบคุณที่ช่วยรับผู้เป็นแม่ไว้กลับไม่ได้เจอกันสักที “ถ้าเป็นละคร ลัลน์คงเป็นแม่ขี้หวงของนางเอกค่ะ มาขโมยหอมแก้มลูกสาวแบบนี้ต้องรับผิดชอบนะคะ” หญิงสาวพูดอย่างขบขันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะของคนมากวัยกว่าทั้งสอง “งั้นป้าต้องไปเตรียมสินสอดแล้วซิ เรียกเท่าไหร่ดีเอ๋ยน้องลินน์” “ยี่ฉิบ” ยัยหนูที่ไม่ได้เข้าใจมากนักว่าผู้ใหญ่พูดคุยอะไรกันตอบคำถามด้วยใบหน้างุนงงอย่างเด็ก แต่ก็เรียกความเอ็นดูและเสียงหัวเราะได้อีกยกใหญ่ โดยเฉพาะคุณแม่ยังสาวที่ทั้งขบขัน เอ็นดู และอ่อนใจ โธ่ ค่าสินสอดลูกสาวแม่แค่ยี่สิบเองเหรอเนี่ย หลายนาทีผ่านไป ผลัก! “ข้าวมาแล้วคระ...” เสียงที่ดังมาจากหน้าห้องคล้ายกับแผ่นเสียงตกร่องในตอนที่มองเข้ามาภายในห้อง ความรู้สึกไหววูบเกินขึ้นลึก ๆ ในใจของคนเพิ่งเปิดประตูเข้ามาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่อยู่ซะแล้ว...ยัยหนูน่ารักคนนั้นไม่อยู่ซะแล้ว “มาได้สักที แม่หิ้วท้องรอตั้งนานแล้วเนี่ย” “น้องลินน์กลับแล้วเหรอครับ” ลูกชายคนป่วยสอบถามคนเป็นแม่ทันทีพร้อม ๆ กับจัดการหาข้าวให้ ไม่รู้ทำไมทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่ากลับมาคราวนี้ยัยหนูก็คงกลับไปแล้วจึงได้ขอกอดและหอมแก้มไปฟอดใหญ่ แต่พอไม่เห็นหนูน้อยอยู่จริง ๆ ก็รู้สึกใจหายแปลก ๆ “กลับแล้ว ยังต้องไปร่วมงานช่วงค่ำของหนูขิมน่ะก็เลยกลับไปเตรียมตัว” คุณหญิงภัสตราที่เสียดายที่ต้องแยกจากหนูน้อยลลินน์ไม่แพ้กันตอบก่อนจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูด “เออตาเลย์ ไปทำเรื่องให้แม่ออกจากโรงพยาบาลหน่อย แม่ว่าแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว แม่อยากไปร่วมงานช่วงค่ำ” “ไม่ครับ พระรามกำชับมาว่าคุณแม่ต้องแอดมิช ออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้เท่านั้น” ชายหนุ่มตอบแล้วก็ไม่สนใจท่าทีค้อนขวับหรือสายตาออดอ้อนของผู้เป็นแม่แม้แต่นิด เพราะน้องชายคนกลางอย่างนายแพทย์ลภณพิพัฒน์หรือหมอพระรามกำชับหลังจากสอบถามอาการคนเป็นแม่ไว้แล้วว่าให้คนเป็นแม่นอนโรงพยาบาลสักคืนก่อนเพื่อดูอาการ วันนี้ออกไม่ได้ก็คือไม่ได้ “เฮ้อ เธอดูสิขวัญ ลูกชายฉันมันดื้อ ไม่เคยฟังฉันเลย” สู้ไม่ได้ก็หาเพื่อน คำนี้น่าจะเข้ากับสถานการณ์ของคุณหญิงภัสตรา แม่เลี้ยงขวัญฤทัยที่อยู่เป็นเพื่อนมาตั้งแต่เช้าถูกดึงเข้ามาเกี่ยวซะแล้ว ทว่าลภณดนัยก็ไม่ได้มีท่าทีอ่อนลง “คุณแม่ก็ดื้อครับ เมื่อเช้าก็ดื้อมาคนเดียวจนเป็นลมเป็นแล้ง ผมก็ได้ความดื้อมาจากคุณแม่นั่นแหละใช่มั้ยครับป้าขวัญ” “ดู๊ ดู สิขวัญ เธอดู” “ฉันดูอยู่ ๆ” แม่เลี้ยงขวัญฤทัยตอบพร้อมกับกลั้นหัวเราะ ดูท่าแล้วแม่ลูกก็ดื้อไม่ฟังใครพอกันนั่นแหละ ก็คลอดมาเองแท้ ๆ ทำเป็นโมโหไปได้ “เรื่องดื้อเหมือนคุณแม่นี่คุณแม่ปัดพ้นตัวไม่ได้หรอกครับ” ชายหนุ่มพูดแล้วก็ยักไหล่และเปลี่ยนไปนั่งที่โซฟาเพราะไม่อยากจะโดนฝ่ามืออรหันต์ถ้าเกิดนั่งอยู่ใกล้ ๆ ทว่าสายตาเจ้ากรรมก็มองไปเห็นบางสิ่งบ้างอย่างที่กองอยู่บนพื้นเข้าซะก่อน เป็นผ้าเช็ดหน้าสีชมพูผืนเล็กที่ดูแล้วไม่เข้ากับมือเขาสักเท่าไหร่เมื่อจับขึ้นมา “ของป้าขวัญหรือเปล่าครับ” “ไม่นะ...เอ น่าจะเป็นของน้องลินน์” คนถูกเรียกว่าป้าขวัญมาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเด็ก ๆ ตอบและคาดเดา ข้อสันนิษฐานนี้นับได้ว่าเป็นไปได้เพราะเธอก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหนูน้อยลลินน์ใช้อยู่ “น่าจะทำตกไว้ เอามาให้ป้ามา เดี๋ยวป้าเอาไปคืน” “พรุ่งนี้ฉันเอาไปคืนดีกว่า ก่อนกลับอยากจะเจอน้องลินน์อีกสักครั้ง” คุณหญิงภัสตราแทรกบอกพร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนให้เพื่อน เจ้าลูกชายเจอสายตาออดอ้อนไม่ใจอ่อนก็แล้วไป แต่ขวัญฤทัยจะต้องยอมจำนน เห็นคนไม่มีหลานแต่หลงรักหลานของคนอื่นเข้าอย่างจังอ้อนมาทางสายตาแม่เลี้ยงขวัญฤทัยก็ได้แต่ยื่นส่งให้อย่างใจอ่อน ลภณดนัยยังคงสนใจเรื่องของเจ้าของผ้าเช็ดหน้าจึงส่งเสียงขึ้นอีกครั้งทั้งที่ปกติไม่ใช่คนพูดมาก “น้องลินน์เป็นหลานป้าขวัญเหรอครับ ดูเหมือนป้าขวัญจะสนิทมาก ๆ เลย” “ไม่ใช่หลานก็เหมือนหลานน่ะแหละ แม่เขาเป็นน้องสาวของเมียตาเขมน่ะ แม่น้องลินน์น่ะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว กลางวันก็ไปทำงานมีแต่แม่เขาที่ดูลูกให้ เขมกับเมียรักน้องลินน์เหมือนลูกก็เลยแบ่งเบาแม่ยายพามาเล่นที่บ้านบ่อย ๆ ป้าก็พลอยได้เจอก็เลยรักเหมือนหลานไปซะแล้ว” “อย่างนี้เอง” คนที่อยู่ ๆ ก็สนใจลูกสาวตัวน้อยของคนอื่นขึ้นมาพึมพำก่อนจะหมดเรื่องที่จะถาม ทว่าคนเป็นแม่กลับมีคำพูดที่เหมาะจะพูดต่อ “ได้ยินมั้ยตาเลย์ แม่เลี้ยงเดี่ยว...แปลว่าโสด จะจีบแม่เลี้ยงเดี่ยวแม่ก็ไม่ว่านะ ได้เมียแถมลูกน่ะ...ถ้าได้หลานแถมอย่างน้องลินน์แม่ปลื้มมาก” “เฮ้อ” เจอคนเป็นแม่วกเข้าเรื่องหาเมียถึงขั้นจะให้เขาไปขายขนมจีบแม่ของหนูน้อยลลินน์คนเบื่อเรื่องนี้ก็ต้องถอนใจหนัก ๆ พูดเรื่องนี้แล้วเป็นต้องเหม็นเบื่อทุกที ไม่ใช่เพราะเขาไม่คิดจะมีครอบครัวหรอกนะ...แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ผุดมาในหัวจนเขาไม่อยากจะมีใครเข้ามา และตัวต้นเรื่องป่านนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้สิ...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม