บทที่4 ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ

1998 คำ
ศศิลัลน์จูงมือลูกสาวมาที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคุณหญิงภัสตราหลังจากงานในช่วงบ่ายเสร็จสิ้น เพราะหนูน้อยเอาแต่ถามว่าคุณยายภัสเป็นอะไร เมื่อมาถึงห้องพักผู้ป่วยซึ่งมีแม่เลี้ยงขวัญฤทัยที่ปล่อยหน้าที่รับแขกให้สามีและลูก ๆ และตามเพื่อนมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เกิดเรื่องเป็นคนที่นั่งเฝ้าอยู่และเห็นว่าคนที่เป็นห่วงนั้นฟื้นแล้วสองแม่ลูกก็ระบายยิ้ม หนูน้อนลลินน์ตรงปรี่เข้าไปเกาะขอบเตียงทันทีพร้อมทั้งสอบถาม “กุนยายภัส เป็นยังงายบ้างคะ น้องลีนเป็นห่วง” “ยายภัสไม่เป็นอะไรหรอกลูก ขอบใจนะจ้ะที่เป็นห่วง” ยิ่งเห็นว่ายัยหนูห่วงใยหัวใจของคนป่วยก็พองโต ชื่นใจจนแทบอยากบอกหมอว่าหายแล้วเลยทีเดียว ทว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กลับกลอกตาก่อนจะบ่น “ไม่เป็นอะไรอะไรกัน พักผ่อนน้อยจนเป็นลมเป็นแล้งเอาต่างหากล่ะ” “แหม่เธอ ฉันเพิ่งโดนลูกบ่นไปหยก ๆ เธออย่าเพิ่งจัดให้ฉันอีกชุดได้มั้ย” คนต้องนอนโรงพยาบาลเนื่องจากลูกชายไม่ไว้วางใจค้อนให้เพื่อนสนิทที่เอาความจริงมาพูดต่อหน้ายัยหนู ดูเอาเถอะ ก่อนสองแม่ลูกเข้ามาเธอก็โดนลูกชายตัวดีฉอดไปหยก ๆ มาตอนนี้แม่เพื่อนตัวดียังจะฉอดใส่เธออีก ยัยหนูอุตส่าห์มาทำให้หูที่เกือบจะชาของเธอดีขึ้นแล้วเชียว “หึ ถ้าไม่ติดว่าน้องลินน์มา ฉันก็กะจะบ่นให้มากกว่านี้อยู่หรอก มีอย่างที่ไหนกลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอนติดต่อกัน แต่บ่นไปเดี๋ยวจะเข้าตัวคนมาเยี่ยมมากกว่า รายนี้น่ะดูก็รู้ว่าพักผ่อนน้อย เฮ้อไม่พูดดีกว่า” “โธ่ อย่าพาดพิงสิคะ” คนทำงานจนพักผ่อนน้อยไปบ้างที่รู้ตัวว่าถูกพูดถึงเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะก้าวเข้ามาข้าง ๆ ยัยหนูพร้อมกับสอบถามเป็นการเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ ใช่มั้ยคะ ตอนเกิดเรื่องลัลน์ตกใจแทบแย่ กลัวคุณป้าจะเป็นอะไรร้ายแรง” “หมอบอกว่าแค่พักผ่อนน้อยน้ำตาลเลยตก ไม่ได้เป็นอะไรหรอกลูก หนูลัลน์ไม่ต้องเป็นห่วง เห็นน้องลินน์มาเยี่ยมป้าก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นแล้ว...ขอบคุณหนูลัลน์มากนะ ถ้าไม่ได้หนูหัวป้าคงไปกระแทกกับอะไรเข้าจนเป็นเรื่องใหญ่” ก่อนจะหมดสติไปคุณหญิงภัสตรายังจำได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ารีบพุ่งมาช่วยโดยไม่คิด ถ้าไม่ได้อีกฝ่ายช่วยหัวคงได้ไปกระแทกกับพื้นจนเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ เจ้าลูกชายตัวดีจะต้องบ่นหนักกว่านี้แน่ ๆ เผลอ ๆ สามีและลูก ๆ จะยกหูโทรมาบ่นจนหูชาซะอีก “ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องขอบคุณเลยค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องช่วยเหมือนกัน” ศศิลัลน์พูดแล้วก็ลูบศีรษะยัยหนูที่ยังเกาะขอบเตียงสอดส่ายสายตามองคุณยายภัสอยู่อย่างสนใจ ความจริงคนที่ต้องขอบคุณควรเป็นเธอซะมากกว่าที่อีกฝ่ายทำให้เธอไม่ต้องตอบคำถามที่เธอไม่รู้ว่าจะตอบออกไปอย่างไรดี ในเมื่อลึก ๆ คิดอย่างนั้นแล้วจะกล้ารับคำขอบคุณของอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน “ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณ...จริงสิ ยายภัสให้ลูกชายไปซื้อขนม น้องลินน์อยู่กินขนมกับยายภัสก่อนนะลูก” คุณหญิงภัสตราพูดแล้วก็ยื่นมือมาจับแก้มหนูน้อยด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหมดสติเธอจำได้ดีว่าได้ทำเรื่องไม่ควรทำไป ยิ่งก่อนที่สองแม่ลูกจะมาแม่เลี้ยวขวัญฤทัยได้เล่าให้ฟังว่าศศิลัลน์เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเธอก็ยิ่งเอ็นดูยัยหนูมากขึ้น ลึก ๆ แล้วยังรู้สึกผิดด้วยที่ไปถามเรื่องที่ไม่ควรถาม ถูกชวนอยู่กินขนมดวงตาของหนูน้อยก็มีประกายขึ้นมาแต่ก็ไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมาถามคนเป็นแม่ “อยู่ด้ายมั้ยคะ” “ได้ค่ะ แต่น้องลินน์ต้องไม่ดื้อนะคะ” “ม่ายดื้อ” เด็กหญิงลภัสชญาตอบแล้วยื่นมือขึ้นหมายจะเกี่ยวก้อยกับผู้เป็นแม่ “ฉันยา” “สัญญาแล้วนะคะ” “น่ารักน่าชังจริงเชียว” มีหนูน้อยลลินน์อยู่ในห้องคุณหญิงภัสตราก็อาการดีขึ้นเป็นไหน ๆ ยิ่งเห็นท่าทีน่าเอ็นดูก็ยิ่งตกหลุมรัก จะว่าไปแล้วในบรรดาเด็ก ๆ ที่เจอมาก็มียัยหนูคนนี้นี่แหละที่ไม่ว่าทำอะไรเธอก็ว่าน่ามองไปหมด “งั้นลัลน์ฝากน้องลินน์สักครู่นะคะ จะไปโทรศัพท์บอกคุณแม่น่ะค่ะ ออกมานานเดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง” “ไปเถอะหนูลัลน์ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวพวกเราจะดูแลน้องลินน์เอง” แม่เลี้ยงขวัญฤทัยขันอาสาก่อนจะเรียกให้ยัยหนูมานั่งบนตักจะได้ไม่ต้องยืน หนูน้อยลลินน์ทำตามอย่างว่าง่ายด้วยเพราะสัญญาเอาไว้ว่าจะไม่ดื้อ คนเป็นแม่เลยเบาใจลงได้และเดินออกจากห้องเพื่อหาที่เงียบ ๆ โทรศัพท์หาผู้เป็นแม่ จะเรียกว่าสองคุณยายทำหน้าที่ดูแลหลานตัวน้อยได้ดีหรือจะเรียกว่าหนูน้อยดูแลคุณยายทั้งสองกันแน่ คุณหญิงภัสตราถึงกับต้องคิดหนักในใจ เพราะพอคุณแม่ยังสาวออกจากห้องไปหนูน้อยก็ทำหน้าที่เป็นคนชวนสองคุณยายคุยจ้อ ทั้งที่ยังพูดไม่ชัดด้วยซ้ำ ความช่างจ้อของเด็กหญิงลภัสชญาไม่ได้น่ารำคาญกลับกันทั้งคุณหญิงภัสตราและแม่เลี้ยงขวัญฤทัยต่างก็ชื่นชอบที่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ นั้น ยิ่งหนูน้อยอาสาเล่านิทานกล่อมคุณยายภัสก็ยิ่งน่าฟัง “กานลาครั้งหนึ่งนานมาแย้ว มีกุนหมูฉามตัว...” แก๊ก ไม่ทันที่นิทานคุณหมูของหนูน้อยจะได้กล่อมคุณหญิงภัสตราประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา ยัยหนูหันมองตามเสียงทันทีพร้อมกับฉีกยิ้มด้วยคิดว่าคุณแม่ของตัวเองกลับมาแล้ว “กุนมะ” “อ้าว มาแล้วเหรอ” คนมาใหม่ไม่ใช่คุณแม่ของหนูน้อยแต่เป็นลูกชายของคุณหญิงภัสตรา ยัยหนูเก็บคำว่ากุนแม่กลับลงคอก่อนจะจ้องมองตาแป๋วด้วยความสนใจ “เด็กที่ไหนครับเนี่ย” ชายหนุ่มสอบถามคนเป็นแม่ทันทีพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ๆ เมื่อเห็นว่าบนตักของแม่เลี้ยงขวัญฤทัยมีเด็กอยู่ด้วย “ลูกสาวของหนูคนที่รับแม่ไว้น่ะ แล้วได้ขนมอะไรมาบ้าง เปิดให้น้องลินน์เร็ว” ได้คำตอบจากผู้เป็นแม่ชายหนุ่มก็ไม่คิดถามอะไรเพิ่ม คนเป็นลูกชายแท้ ๆ แต่ดูเหมือนจะหัวเน่าอย่างไรชอบกลทำตามคำสั่งในทันทีก่อนจะแกะกล่องขนมเค้กชิ้นหนึ่งยื่นไปให้หนูน้อย “กอบกุนค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ตอบก่อนจะยิ้มจนตาหยีและประคองถาดขนมเค้กอย่ามุ่งมั่น นาทีนั้นเองร่างกายของชายหนุ่มราวกับถูกหยุดเวลา ตาคู่นั้นจดจ้องรอยยิ้มตาหยีดั่งต้องมนต์ หัวใจที่เหือดแห้งมาหลายปีราวกับผืนดินแห้งแล้งที่ได้รับน้ำฝนมาชะโลมให้ชุ่มชื่นขึ้น ความคิดที่ว่าเด็กตรงหน้าน่ารักน่าชังเกิดขึ้นในใจทั้งที่ไม่ยินดียินร้ายกับเด็กคนไหนมานานมากแล้ว ชายหนุ่มตกอยู่ในห้วงต้องมนต์ไปแล้ว คุณหญิงภัสตราที่เคยเป็นมาแล้วไม่ได้แปลกใจ แต่ก็ไม่วายส่งเสียงเรียกลูกชายให้กลับมา “ตาเลย์ ตาเลย์...นี่ ๆ คุณลภณดนัยคะ” “คะ ครับ” ในที่สุดคนถูกเรียกอย่างลภณดนัยก็ได้สติ ชายหนุ่มหันมาตอบคนเป็นแม่ก่อนจะสอบถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับ” “ตกหลุมรักเด็กล่ะซี๊ แม่ก็เป็น...ทำแบบนี้ให้แม่สักคนสิ” ได้ยินสิ่งที่คุณหญิงภัสตราต้องการลภณดนัยก็ส่ายหน้าและเบือนหน้าหนีราวกับเหม็นเบื่อคำถามของคนเป็นแม่ทันที ไอ้เรื่องตกหลุมรักยัยหนูคนนี้อาจจะเถียงไม่ได้ แต่ไอ้เรื่องจะให้เขา ‘ทำ’ อันนี้เขาปฏิเสธ “ชิ” คุณหญิงภัสตราได้แต่ค้อนให้ก่อนจะหันไปยิ้มให้ยัยหนูที่ตอนนี้แม่เลี้ยงขวัญฤทัยกำลังป้อนเค้กให้อย่างเอ็นดู ถ้าลูกชายสักคนของเธอรู้จักมีหลานหน้าตาน่ารักน่าชังแบบนี้ให้ล่ะก็เธอคงจะนอนหลับฝันดี ไม่ต้องคอยสแกนลูกสาวเพื่อนและวางแผนนัดลูกไปเจอกันจนนอนน้อยหรอก “อร่อยมั้ย เอาอีกหรือเปล่า” เห็นสายตาผู้เป็นแม่มองหนูน้อยแล้วหลงเคลิ้มไปชายหนุ่มก็มองตามและเห็นว่าขนมเค้กพร่องไปพอสมควรแล้วจึงสอบถามและหาขนมอื่นให้แต่ยัยหนูกลับส่ายหน้า “ไม่เอาแย้วค่ะ กุนน้าขิมบอกว่าให้น้องลีนเก็บท้องไว้รอกินเค้กแต่งงาน” “โธ่ รู้ความอะไรขนาดนี้” ไม่ว่าหนูน้อยจะพูดอะไรคุณหญิงภัสตราก็มองว่าน่ารักและไม่ขัดหูไปซะหมดแล้ว แม้แต่ลภณดนัยที่ได้รับการปฏิเสธก็ยังไม่รู้สึกไม่ดี แต่ก็เสียดายไม่น้อยที่พอหมดขนมเค้กชิ้นที่ยื่นให้ก็คงไม่ได้เห็นยัยหนูคนนี้เคี้ยวขนมตุบ ๆ อีกแล้ว “ว่าแต่ชื่ออะไรนะครับ น้องลีน?” “น้องลลินน์น่ะ แม่เขาเรียกน้องลินน์” แม่เลี้ยงขวัญฤทัยเป็นคนตอบก่อนจะป้อนขนมเค้กชิ้นสุดท้ายให้ยัยหนูและปล่อยอีกฝ่ายลงยืนเพื่อจะหาน้ำให้ดื่ม “กุนแม่บอกวว่าลาลีนแปลว่ากุนพระจันทร์” หนูน้อยลลินน์พูดแล้วก็เดินอ้อมมาใกล้ ๆ ชายหนุ่มพร้อมกับมองที่เตียงที ที่ชายหนุ่มที หน้าตาของคุณยายภัสไม่เหมือนกันเลยแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกัน...ตาของทั้งคู่เหมือนกัน “หน้าตาไม่เห็นเหมือนกุนยายภัส แต่ตาเหมือนเยย แย้วกุนยุงชื่ออายายคะ” “ลุงเลยเหรอ?” ยัยหนูตัวน้อยพูดอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ขัดหู แต่พอเรียกลุง เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจกับคำนี้...ทำไมต้องเป็นลุงนะ คุณหญิงภัสตรายิ้มขำก่อนจะช่วยสนับสนุนหนูน้อย “อายุก็เป็นพ่อเป็นลุงได้แล้ว เรียกลุงน่ะถูกแล้ว” “คุณแม่...” “คุณลุงเขาชื่อเลย์ลูก” คนป่วยไม่สนใจเจ้าตัวดีคนโตที่ส่งสายตาตัดพ้อมาให้แต่กลับแนะนำหนูน้อยให้รู้จักชายหนุ่มแทน “เป็นลูกชายของยายภัสเอง ก็เลยตาเหมือนยายภัสไง” “อย่างนี้เอง...ยินดีที่ได้ยู้จักค่ะกุนยุงเลย์” “ช่างพูดจังเลย” ก็ไม่ชอบใจอยู่หรอกที่ถูกเรียกลุง แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นท่าทีของยัยหนูก็น่าเอ็นดูซะจนทำให้ไม่คิดเล็กคิดน้อยไปได้ อยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวคนนึกเอ็นดู ถ้าเขามีลูกสาว...จะน่ารักน่าชังแบบนี้มั้ยนะ ภาพของใครคนหนึ่งผุดแทรกเข้ามาในหัวทันทีที่เผลอคิด ใครคนนึงที่ทิ้งเขาไว้บนเตียงราวกับเขาเป็นผู้ชายขายตัว ชายหนุ่มสลัดความคิดหันมาสนใจหนูน้อยอีกครั้งในทันที คนบางคนนี่ก็แปลก หายไปจากชีวิตเขาแล้วแท้ ๆ แต่ยังมาก่อกวนในความคิดอยู่ได้เรื่อย ๆ ลภณดนัยเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้มิดชิดโดยที่เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าคนที่เกี่ยวข้องกับคนบางคนที่คิดไปถึงอยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ เพียงแค่เขายื่นมือออกไปก็ไขว้คว้าได้แล้ว ...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม