“คุณต้องใจเย็นๆ อย่าใจร้อนกับน้อง อย่าผลักให้น้องต้องกลับที่โรงพยาบาลบ้า ค่อยๆหลอกถาม อย่าถามแบบเป็นชุดๆ โอเคนะ” นทีขอติณดีๆ เพราะจิตใจของเด็กหญิงบอบบางมาก
“แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้เรื่อง จะปล่อยให้มีคนโดนแบบเธออีกเหรอ”
“ทำไมมาโยนความรู้สึกนี้ให้ผม พวกคุณจับไม่ได้เอง ถ้าพวกคุณจับคนร้ายได้ เด็กคนอื่นก็ไม่ต้องโดนแบบเธอ อย่ามาโยนความผิดให้ประชาชน สิ่งที่ผมทำ ผมแค่อยากเห็นเธอกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ อ่อ ขอเตือนอีกข้อ อย่าแตะตัวเธอ ตัวเธอมีผมแตะได้แค่คนเดียว” หมอนทีเตือนติณอย่างชัดเจน ซึ่งติณแม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้าจะทำให้ชีวิตเขาไม่มีปัญหา มันก็ไม่ได้แย่นักที่จะฟัง
“ชอบรึไง นั่นคนบ้า”
“น้องยังไม่ได้บ้านะจะบอกให้ ยังไม่มีอาการทางจิตที่ชัดเจน น้องพยายามอยากจะบ้า เพื่อที่จะฆ่าคนแล้วไม่ผิด ผมจะอธิบายให้ฟัง มาริยะ คือคนที่โดนข่มขืนน้องกลัวและเกลียดตัวเองมาก พยายามจะฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลา อาการซึมเศร้าชัดเจนและรุ่นแรง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา น้องสร้างตัวตนหนูมาริขึ้นมา ให้ตัวเองรู้สึกดี เป็นคนใหม่ แต่พอคุณไปจี้ ตัวตนหนูมาริมันจะหายไป แล้วด้านมืดในใจเธอจะออกมา ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ให้น้องอยากจะเล่าออกมาเอง”
“เสียเวลาตายชัก พรุ่งนี้ค่อยมาจัดการเรื่องนี้ใหม่ วันนี้แยกย้ายไปนอนก็แล้วกัน”
เมื่อต่างคนต่างแยกย้าย ติณกลับผิดสังเกตที่หมอนทีไปที่ห้องของมาริ ‘ที่แท้ก็หวงก้าง มาทำเป็นพูดดิบดี สุดท้ายก็แค่กันท่า’ เขาเลิกที่จะสนใจ แล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
มาริ Say ::
“คิกคิก มีดอยู่ในครัว หลับเมื่อไหร่จิ้มมันเลย” ฉันหัวเราะคิกคักกับมาริยะ ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลา 3 ทุ่มแล้ว อ๊ะ!!! มาช้าไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก !!!! เสียงเคาะประตูจากคนที่มาเคาะมันทำให้ฉันอยากจะเดินไปเปิด แต่ก็กลัวเกินกว่าจะเอื้อมมือไปจับลูกบิด ไม่มี ไม่มีความกล้ามากพอ ฉันเดินกลับไปนั่งที่เตียงแล้วหันหน้าเข้ากำแพง ความคิดของฉัน มันกำลังทำให้ฉันกลัว ถ้าคืนนี้ไอ้ตำรวจนั่นมันบุกเข้ามาล่ะ จะทำยังไง หมอจะช่วยเราได้ไหม หมอจุ้นจ้านจะสู้ตำรวจได้ไหม
[ มาริจางงงง ปลดล็อกประตูให้หมอหน่อย ] เสียงเรียกของหมอ ทำให้ฉันต้องหันไปมอง หมองั้นเหรอ หมอเป็นตัวช่วยเดียวในบ้านหลังนี้ กล้า กล้าหน่อย ข้างนอกนั่นหมอ ไม่เป็นอะไร หมออยู่กับเรามาเป็นปีแล้ว หมอไม่มีทางทำอะไรเราแน่ๆ ฉันใช้ความกล้าอีกครั้งที่จะเดินออกไปเปิดประตู
[ มาริ เป็นอะไรรึเปล่า มาริ!!! ] เสียงกะวนกะวายใจของคนข้างนอก มันทำให้ฉันเปิดประตู มองซ้าย มองขวา แล้วดึงหมอเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูห้องแล้วล็อกทันที หัวใจที่เต้นตุบๆๆๆ ไปด้วยความกลัวมันทำให้ฉันทรุดลงไปกับพื้น
“หมอหัวใจเต้นตุบๆๆๆๆ ไม่หยุด หมอ จับ ดู” ฉันดึงมือใหญ่ของมาแนบที่หน้าอกข้างซ้ายที่ตอนนี้สั่นสะเทือนจนทะลุออกมา ทำให้หมอที่ยืนอยู่ต้องย่อตัวลงมาสัมผัสกับหน้าอกที่กำลังเต้นตึกๆๆๆ ด้วยความกลัว
“กลัวใคร กลัวคุณติณเหรอ บอกให้ไปอยู่กับหมอก็ไม่เชื่อ อะไรทำให้เธอยอมออกมา แถมยังขอมาอยู่ที่นี่ด้วย มันข้ามขั้นตอนเกินไป” หมอพูดพร้อมกับอ้อมมาด้านหลังแล้วกอดฉันเอาไว้ มือก็ยังกดที่หัวใจที่เต้นรัว
ฉันอยากจะฆ่ามัน ผู้ชายที่บอกให้ฉันออกมาสู้ แต่มันกลับเป็นการสู้ที่ไร้ประโยชน์ ฉันคิดไปถึงวันเก่าๆ ทำให้ภาพในหัวมันย้ำไปย้ำมา ภาพของศาลที่ไต่สวนแบบไม่เป็นธรรม มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เลย
“มาบอกให้ฉันสู้ แต่ก็ทำให้ฉันไม่เหลืออะไร ถูกตราหน้าเป็นผู้หญิงใจง่าย” ฉันกำลังสติแตก แต่หมอกลับกอดฉันแน่นขึ้นอีก จนฉันต้องหันไปผลักหมอออก!!!! ด้วยความตกใจ
“กอดทำไม!!!”
“รัดแน่นๆ ให้เธอหันมาเห็นหมอบ้างไง เธอไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียว มีหมอด้วย ตอนนี้คุณติณเค้าอยากจะช่วย เอาปีศาจร้ายในใจเธอไปเข้าคุก แต่ถ้าเธอยังไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งมีปีศาจจริงๆและปีศาจร้ายในใจของมันจะยังอยู่ ไปโรงเรียนไหม ไม่ได้ไปในฐานะมาริยะ แต่ไปในฐานะคนใหม่ อ่านหนังสือ แล้วไปสอบเทียบ ไปเริ่มเรียนมหาลัยกัน”
“.......” ฉันเงียบ เพราะฉันคิดอะไรไม่ออก คิดชีวิตปกติไม่ออก ฉันโยนมันทิ้งไปนานมากแล้ว
“หมอจะไปเรียนด้วย เป็นแฟรซชี้พร้อมเธอเลย หนังหน้าหมอก็ยังได้อยู่นะ” คนที่พูด กล้าพูดออกมาได้ยังไง ว่าหนังหน้ายังได้อยู่ แต่ไปเรียนด้วยกัน แบบเป็นเพื่อนกันนะเหรอ
‘ใครมันบ้าสาดอะไรลงมาวะ!! เลอะหมดเลย มาริยะแกไปล้างที่ร้านคาราโอเกะหลังโรงเรียนก่อน พวกอีเบย์มันก็อยู่ที่นั่น ปะๆๆ อีป้านี่ยังไง สาดอะไรมาไม่ดูเลย’ เสียงของเพื่อนสาวที่ยังดังก้องอยู่ บอกให้ฉันไปล้างตัวที่เต็มไปด้วยเศษอาหาร
“ฉันไม่อยากมีเพื่อน”
“เพื่อนที่ไหน นี่หมอ เราห่างกัน 10 ปี เป็นเพื่อนกันได้เหรอ ไปในฐานะหมอของเธอต่างหาก เอามะ เธอไว้ใจหมอได้นะ ไปลองกันชีวิตในมหาลัย” หมอยังคงชักชวนเหมือนคนขายตรง ไปเรียนกับฉันในฐานะหมอเหรอ
“ฉันอยากเป็นอะไร ฉันโยนมันทิ้งไปหมดแล้ว ทำไมฉันต้องเรียนด้วย บ้านฉันรวยมาก ไม่ต้องเรียนก็มีกิน” ฉันตอบหมอที่นี้ทำหน้าเหนื่อยใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนพื้นข้างฉัน
“ตอนแรกหมอก็ไม่มี หมอเป็นหมอเพราะที่บ้านเป็นกันหมด ฟังดูงี่เง่าไหม แต่ตอนนี้มีแล้ว หมออยากให้เธอกลับมาเป็นปกติ ตอนนี้มันกลายเป็นฝันของหมอไปแล้ว” ความฝันของเขาเล็กน้อยดีจัง ฉันทิ้งตัวลงนอนข้างหมอ มองเพดานที่อยู่สูงขึ้นไป เพดานที่นี้ ทำไมมันช่างต่างจากเพดานที่โรงพยาบาลจิตเวชกันนะ
“หมอควรฝันว่ามีเมีย มีลูก มีครอบครัว แล้วไปจากฉันซะ”
“ได้ทีไล่เลยนะ มีเมียเหรอ เอาเวลาไหนไปจีบ วันๆเจอแต่....” จู่ๆหมอก็หยุดพูด กลัวโดนจะสะเทือนคำว่าคนบ้าเหรอ ไม่สะเทือนหรอก จะด่าว่าอีบ้า ฉันก็ไม่สะเทือน
“คนบ้า ฉันก็บ้า”
นี่เป็นการคุยกันที่ยาวนาน นานที่สุดตั้งแต่รู้จักไอ้เจ้าหมอจุ้นจ้านนี่มา การคุยกับใครสักคนมันเป็นแบบนี้นี่เอง มันก็ไม่ได้แย่ละมั้ง
“ถ้ารู้ตัวว่าบ้า แสดงว่ายังไม่บ้า”
ฉันยังคงนอนมองเพดานเงียบๆ ปล่อยให้หนังตามันค่อยๆหนัก ฮ้าวววววววว~* ฉันควรจะนอนแล้วใช่ไหม ยาที่กินตอนเย็นออกฤทธิ์ จนฉันไม่อาจจะทนต่อไปได้แล้ว
เช้าวันต่อมา
“อาหารจ้า” เสียงหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยทำให้ฉันตกใจ แล้ววิ่งกลับไปในห้อง ใคร!!!!
[ น้อง น้องคะ พี่ชื่อเดียร์ เป็นแฟนของพี่ติณค่ะ ไม่ต้องกลัวนะ ออกมากินข้าวกัน ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!! ] แล้วฉันก็เปิดประตูก้าวออกมาจากห้องอีกครั้ง เพราะคิดว่ายังไงคนนี้ก็เป็นผู้หญิง คงไม่เป็นไร สาวสวยแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดยืนยิ้มให้ฉัน
“หมอ หมอของฉันอยู่ไหน” ฉันถามหาคนที่ควรจะอยู่แต่ไม่อยู่
“น่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้า ของใช้ และรถน่ะค่ะ ไปนะ ไปกินข้าวกัน ตอนนี้ติณยังไม่ตื่น เรากินกันสองคนได้เนอะ” หญิงสาวพาฉันเดินมาที่โต๊ะอาหาร ที่มีข้าวต้มวางเอาไว้ แต่ไร้ไอ้ตำรวจเลวนั่น เมื่อคืนจะเอามีดไปปักอก ทำไมถึงกลายเป็นคุยกับหมอจนหลับ แถมกลับไปนอนเตียงอย่างดีเลย ไอ้หมอจุ้นจ้านอุ้มฉันไปนอนงั้นเหรอ
“มียาพิษไหม”
“ฉันไม่ใส่ให้หนูกินหรอก”
เปล่าฉันจะใส่ให้ยัยเจ้นี่กับผู้ชายที่ยังนอนอยู่กิน จะได้บึ้มมมม!!! แล้วระเบิดออกเป็นโกโก้ครั้นซ์ ฉันนั่งลงที่โต๊ะอาหาร กับคนที่ไม่รู้จัก มันอยากมากที่จะทำชีวิตให้มันปกติโดยไม่หวาดระแวง
“น้องพี่ถามอะไรหน่อยสิ น้องมีเพื่อนสนิทไหม เพื่อนสนิทน้องตอนที่เรียน ชื่ออะไรคะ” แล้วคนที่ตักข้าวต้มมาวางให้ฉัน ก็ถามเรื่องส่วนตัว ไม่ถามชื่อกันก่อนเลยเหรอ
“มาริยะ”
“ไม่ค่ะ พี่หมายถึงเพื่อนตอนเรียน แบบกินข้าวด้วยกัน ไปไหนไปกัน พี่ไม่ได้ถามชื่อน้อง” เธอยังจี้ถามฉันอีก แล้วทำไมฉันต้องบอก พอฉันเงียบเธอก็จะมาดึงชามข้าวต้มออก ฉันเลยถุยน้ำลายใส่ชามข้าวต้ม จนเธอต้องเลิกยุ่งกับข้าวของฉัน
“ข้าวฉัน!!!” ฉันตะโกนใส่คนที่ยืนตกใจ!!!!
“ติณ น้องอาละวาด ติณ เดียร์กลัว” แล้วคนที่แต่งตัวแรดเรียกแม่ ก็ตะโกนเรียกคนรักของตัวเองลงมาจากข้างบน ทำให้คนข้างบนต้องรีบลงมาจับฉัน ทั้งที่ฉันไม่ได้ผิดอะไร มาจับฉันทำไม!!!!! ฉันกัดแขนของคนที่เข้ามาจับฉัน อย่ามาจับฉัน
“อย่ามาจับฉัน” ฉันถอยกรู แต่เขาก็ยังจับ ภาพที่ถูกไล่ข่มขืนในคืนนั้นมันก็กลับมาอีก ฉันรีบวิ่งเข้าไปในครัว เพื่อหาอะไรมาป้องกันตัว ไม่เอาแล้ว อยากกลับโรงพยาบาล ฉันถือมีดมาขู่คนพวกนั้น เสียงหัวเราะในหัวทำให้ฉันต้องทรุดลง แล้วเอามือปิดหูเอาไว้
“ไม่เอาแล้ว หนูกลัว อย่าทำหนู ได้โปรดดดดด หมออออ หมออออออ ฮื่ออออออ ไม่เอาแล้วว” ภาพของเพื่อนในโรงเรียนที่มองฉันแล้วหัวเราะ มันกำลังหลอกหลอน
ติณ Say ::
“ติณ ไม่เอา ไม่เข้าไปน้องมีอาวุธ” เสียงของเดียร์ยังคงเรียกผม ไม่ให้เข้าไปใกล้เด็กสาว ที่ตอนนี้ร้องไห้ หมอเตือนแล้วว่าห้ามไปแตะตัวเธอ ผมผิดเอง ที่คิดว่าไม่เป็นไร ผมเดินเข้าไปจะแย่งมีด แต่เธอก็ยังชูมันขึ้นมา
ผมพยายามจะเข้าไปแย่งมีดออกมาจากมือแล้วช่วยคนที่กำลังกลัวอย่าสุดขีด เหี้ยละผมทำอะไรลงไป ถ้าที่ผมให้เดียร์มาหลอกถามน้อง มันกดดันจนทำให้น้องเอามีดเสียบคนได้แบบนี้ ผมเองนั่นแหละที่อาจจะทำไม่ถูก ผมใช้เวลาช่วงที่น้องทรุดลงไปกับพื้น แย่งมีดมาวางบนโต๊ะ แล้วเข้าไป....จะกอดเหรอ หรือแค่ปลอบ ถ้ากอดแล้วอาละวาดอีกล่ะ
“น้อง น้อง มันไม่มีอะไร น้อง” ผมเรียกน้องเข้าเฉยๆ แต่น้องก็ยังถีบขา เพื่อให้ผมออกไป มันเหมือนกับว่าเธอกำลัง.....กลัว กลัวอะไรสักอย่าง ไม่ยอมให้ใครจับ
“ติณ ปล่อยน้องไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวก็หยุดเอง” เสียงของเดียร์ยังตะโกนบอก แล้วจะปล่อยให้กรี๊ดอยู่แบบนี้เหรอ!!!!
ผมตัดสินใจดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ เธอก็ทั้งกัดทั้งตบ ทั้งทุบ แรงเยอะมาก ผมเลยต้องล็อกตัวเธอเอาไว้แบบนั้น ก่อนที่จะไปหยิบมีดมาแทงใครตายซะก่อน
“ชู่ววววว ชู่วววววว พอแล้ว พอแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไร ที่นี่บ้านฉันไง ใจเย็นๆลงหน่อย” หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก ฉิบหายแล้ว แล้วหมอไปทำไมนานจังวะ ผมล็อกคนที่แรงล้นเหลืออยู่นานมาก เธอดิ้นอยู่แบบนั้น
“กรี๊ดดดดดด ปล่อย ปล่อย อ๊ายยยยยย ปล่อยยยย”
“ปล่อยให้ไปเอามีดแทงใครน่ะเหรอ ใจเย็นๆ ใจเย็นลงอีกนิด ไม่มีใครทำอะไรเธอแล้ว อยู่กับฉันที่นี่เธอไม่ต้องกลัวคนพวกนั้นแล้ว ฉันจะเอามันเข้าคุกให้หมด ฉันจะจัดการพวกมันเอง จะปกป้องเธอจากพวกมันเอง ตอนนี้ใจเย็นลงก่อนนะ” เธอมีลมหายใจเหนื่อยหอบ ดิ้นน้อยลงเพราะหมดแรง แต่หัวใจเธอยังคงเต้นแรงไม่ลดน้อยลงเลย แบบนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง ผมค่อยๆคลายอ้อมกอดจากเธอปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แล้วเธอก็ถีบตัวออกจากผมทันที โอ้ยยยยย!!!! เหนื่อย ผมรีบไปเก็บมีด แต่เธอก็ยังคว้าส้อมมาจะแทงผม แววตาของความหวาดกลัว มันทำเอาผมรู้สึกผิด ที่ครั้งนั้นจับคนร้ายให้เธอไม่ได้ ถ้าผมทำได้เธอคงจะไม่เป็นแบบนี้
“อย่าเข้ามา อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันจะแทงคุณด้วยส้อม”
ปึงงง!!! เสียงประตูของคนที่มา มันเหมือนสวรรค์ของผมเลย หมอนทีมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่มากหลายใบ เขาโยนกระเป๋าทันที แล้วรีบวิ่งมาหาผม สายตาที่เหมือนจะฉีกผมออกเป็นชิ้นๆนี่มันคืออะไร มาช่วยก่อนดีไหม
“มาริจางงงงง มาหาหมอนะ เอาส้อมลง” หมอยังคงเดินเข้าไปใกล้ ทำให้เด็กน้อยแทงส้อมใส่แขนหมอทีจนเลือดสาด มันทำให้ตัวเธอตกใจ ตกใจอะไรแทงเขาเอง แต่หมอก็ยังเดินเข้าไปหาแล้วกอดเธอเอาไว้
“หมอ ฉันอยากกลับ ฉันไม่อยากอยู่แล้ว หมอเลือดไหล”
“ขอโทษนะ ไปเอาก้อนหินของเธอมาให้ ไปเป็นก้อนหินสัก 3 ชั่วโมงไหม” หมออุ้มเด็กหญิงกลับเข้าไปในห้องชั้นล่างของแขก
ผมไม่เคยเจออะไรที่ปวดหัวแบบนี้มาก่อนเลย นี่มันคนบ้าชัดๆ ไหนบอกว่าไม่ได้บ้าไง เอาคนบ้ามาอยู่ในบ้าน หรือผมเองก็บ้า ผมหันไปมองเดียร์ที่ตอนนี้ช็อคมาก เธอขอตัวกลับบ้านทันที ซึ่งผมก็โอเค เพราะเรื่องแบบนี้อธิบายยากมาก ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอธิบายด้วย
ผ่านไปสัก 1 ชั่วโมง หมอก็เดินออกมาจากห้องในแขนที่ยังเลอะเลือดอยู่เลย เขาเดินตรงเข้ามาหาผมทันที ผมเข้าใจว่าผมขัดคำเตือนของหมอ แต่หมอก็ต้องเข้าใจ ว่าผมก็ต้องการข้อมูลเร็วๆ ถามจากเธอไม่ได้ ผมก็จะไปถามจากเพื่อนเธอแทนไง
“ผมเตือนคุณแล้ว!!!! ทำไมไม่ฟัง” คนเป็นหมอตะโกนใส่ผมซะหน้าชาเลย
“ก็อยากได้ข้อมูลไวๆ ปีนึงมาแล้ว เดี๋ยวข้อมูลมันจะหายหรือบิดเบือน” ผมตอบออกไปตามความจริง ผมคิดแบบนี้จริงๆ ถ้าทุกคนหลงลืมไปหมดแล้ว คดีนี้จะยิ่งยาก
“รีบทำไมไม่มาก่อน 1 ปีวะ น้องมีอาการกลัวผู้ชาย อย่าแตะอีก ถ้าเธอยังไม่ไว้ใจ ตอนนี้น้องเป็นก้อนหิน สงบใจอยู่ คงจะนั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้นอีก 2 ชั่วโมงได้ ไปเถอะ”
“ไปไหน??”
“ทำแผลให้ผมไง ปวดหัวกับคุณจังเลย เฮ้ออออ” หมอชี้ไปแผลบนแขน ซึ่งมันทำให้ผมนั้นรู้สึกใจไม่ดี
“หมอไม่ได้เป็นเกย์ใช่ไหม”
“เอ๊ะ หรืออาจจะใช่นะ ไปทำแผล!!!!! เจ็บนะเนี่ย ทำเบาๆนะ ผมเป็นผู้ชายบอบบาง”
อีกด้าน
“มาริยะ ฉันไม่ไหว ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว”
‘ลองเป็นฉันบ้างไหมล้า จะกลัวทำไม ขืนใจเปิดซิงมันมีครั้งเดียว เสียแล้วก็เสียไป จะไปกลัวมันทำไมพวกผู้ชาย คนที่อ่อนแอมันก็ต้องแพ้ไป แล้วก็โดนไอ้หมองี่เง่ามาจับเป็นหิน’
“หมอแค่อยากให้ฉันใจสงบ”
‘มันคือการทำโทษ มาริจัง มาริจัง น่ารำคาญ เธอชื่อมาริยะต่างหาก ปิดตัวเองทำไม ปฏิเสธตัวเองก็ไม่ได้อะไร นะจะบอกให้’
“นั่นสินะ หนีไปก็ไม่ได้อะไร ฉันคือมาริยะ เนกุมิจริงๆ” ฉันปล่อยตัวเองให้หลับไป พร้อมกับชุดหินของหมอนั่นแหละ