ตอนที่ 1.4

1633 คำ
[ ซายูริ ]             “ท่านซายูริ! ท่านซายูริ...”             เสียงเคาะประตูราวกับมีเรื่องเร่งด่วนปลุกฉันให้ตื่นขึ้นกลางดึก เดินงัวเงียมาที่ประตู             “จิน? มีอะไร...”             “ไนต์คลับที่คาบูกิโจโดนเจ้าหน้าที่บุกเข้าตรวจ”             “ว่าไงนะ ...คาบูกิโจ?”             จากที่สะลึมสะลือก็ตื่นขึ้นมาเต็มตาทันที ฉันจ้องจินอย่างต้องการคำอธิบายแต่ก็ถูกเตือนให้รีบไปแต่งตัวแล้วออกไปด้วยกัน จากนั้นจินก็เล่ารายละเอียดให้ฉันฟังระหว่างทาง             “เกิดอะไรขึ้นจิน ปกติตำรวจไม่เคยยุ่มย่ามในเขตของเราไม่ใช่เหรอ”             “มีคนรายงานว่ามีการค้าประเวณีในเขตเรา”             “ค้าประเวณี พูดเป็นเล่น...” ฉันแค่นเสียงหยันในลำคอ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเรามีธุรกิจแบบนั้นในไนต์คลับ มันต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ๆ             เอี๊ยด!             ปึ้ก! จู่ๆ รถที่แล่นมาอย่างนุ่มนวลก็เบรกกะทันหัน เสียงลากล้อดังอย่างฉุนเฉียวเสียดแทงทะลุเข้ามาถึงในรถ ร่างฉันโดนกระชากชนกับเบาะรถด้านหน้าเต็มรัก ถึงจะรู้สึกจุกแต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจฉันมากกว่าสิ่งใดก็คือร่างของคนที่ยืนขวางอยู่หน้ารถ “ท่านซายูริ ปลอดภัยหรือเปล่า” “ไม่เป็นไร จิน...นั่นอะไร” เพราะฝุ่นที่คลุ้งตลบทำให้มองเห็นด้านนอกไม่ชัด แต่ไม่ถึงอึดใจกลุ่มควันก็หายไป ภาพเบื้องหน้าเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผู้ชายร่างสูงที่ยืนจังก้าอยู่หน้ารถกำลังยกแขนขึ้นเล็งบางสิ่งมาที่รถ หัวใจฉันกระตุกวูบ นั่นมันปืน! “ท่านซายูริ ระวัง!” ปัง! ปัง! ปัง! “จินนนน ไม่!!” ยังไม่ทันตั้งหลักรู้ตัวอีกทีเสียงกระสุนก็สาดใส่รถอย่างกับห่าฝน ฉันก้มลงใต้เบาะแต่ว่าจินโดนยิงเลือดสาดมาโดนฉันแล้วก็แน่นิ่งไปเลย อึก... จินอย่าตายนะ! ตึก... ตึก... ตึก... เสียงฝีเท้าของมัจจุราชคืบคลานเข้ามาใกล้ ฉันไม่มีเวลามาใคร่ครวญหา จินตอนนี้ รีบตั้งสติดึงปืนที่ซุกไว้ในกระเป๋าเบาะเผื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินออกมา ย่อตัวลงต่ำแอบติดกับประตูฝั่งที่มันเดินมา นับหนึ่งถึงสามในใจ ผลักประตูออกไปให้กระแทกร่างสูงที่อยู่ด้านนอก ปึ้ก! ดูเหมือนฉันจะประเมินแรงของนักฆ่าตรงหน้าต่ำไป มันไม่ยอมกระดิก! แค่ยืนชะงักแล้วเหลือบสายตาด้านชาลงมา ให้ตายสิ! ปัง! อึก... เวรเอ๊ย! ฉันไม่มีเวลามองหน้าไอ้สารเลวนั่นด้วยซ้ำ พุ่งตัวหลบกระสุนที่ยิงลงมา ร่างกายกลิ้งลงบนพื้นรีบหันกลับไปยิงสวนอย่างไม่มีเวลาพักหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้านิ่ง ปัง! กระสุนปืนเฉียดเส้นผมมันไปนิดเดียว ถึงความแม่นปืนฉันจะไม่เต็มสิบแต่ก็อยู่ในระดับท็อปนะ เสียดายฉันใช้มือข้างไม่ถนัดยิง ไม่งั้นสมองมันได้กระจุยไปแล้ว หากแต่... มานึกเสียใจตอนนี้ก็คงไม่ทัน น่าจะได้ไปเกิดใหม่แทน ปืนที่เล็งมายังฉันไร้ซึ่งความลังเล ในห้วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดมันไม่มีผลอะไรเลยสักนิด บ้าจริง ต้องจบแค่นี้จริงๆ เหรอ เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังจะตาย เรื่องค้างคาใจต่างๆ ก็ผุดเข้ามาในหัว ความร้อนรนนี้ทำฉันเกือบเอ่ยปากร้องขอชีวิตหากแต่ใบหน้าคมคายภายใต้แว่นดำนั่นดูเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก นักฆ่าล้วนขึ้นชื่อในเรื่องโหดเหี้ยม มันไม่มีทางฟังอะไรแน่ “คาวะ!” ปัง! พลั่ก             จู่ๆ ก็มีคนพรวดพราดเข้ามาผลักแขนหมอนั่นกะทันหัน กระสุนที่ยิงออกมาเพื่อปลิดชีวิตฉันพลาดไปโดนถนนแทน “อัยย์...” น้ำเสียงกดต่ำเค้นชื่อนั้นออกมาท่ามกลางความเงียบกริบ บรรยากาศเย็นยะเยือกไหลเวียนไปทั่วทั้งถนน ฉันกลั้นหายใจเฮือกเมื่อเห็นใบหน้าของเธอชัดๆ อัยย์... อัยย์เพื่อน มหาลัยที่อ่อนแอคนนั้นของฉันน่ะเหรอ ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อัยย์ก็ถลาเข้ามากอดฉันเอาไว้แน่น ราวกับต้องการจะปกป้อง ฉันตัวแข็งทื่อด้วยความสับสน ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม “หลบไป” เสียงแข็งยะเยือกตะโกนสั่ง ใบหน้าคมเข้มดุดันแข็งกร้าว “ไม่ นายจะฆ่าใครก็ได้ยกเว้นเธอ” “รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไร” หมอนั่นกัดฟันกรอด สายตาสั่นระริกด้วยความโกรธ “อัยย์!” “ไม่หลบ คนที่ต้องหยุดคือพี่... ซายูริเคยช่วยฉัน ฉันยอมให้พี่ฆ่าเธอไม่ได้” อัยย์ส่ายหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสั่นไหว หันกลับไปเผชิญหน้ากับคนคนนั้น พี่... งั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าเธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับหมอนั่น ฉันรู้สึกหายใจไม่สะดวกทันที หากดูจากสถานการณ์ที่อัยย์ถ่วงเวลานักฆ่าได้ก็น่าจะใช่ เธอรู้จักกับนักฆ่าคนนั้น ...ท่าทางจะรู้จักดีเสียด้วย “ถ้าพี่จะยิงงั้นก็ยิงฉันด้วย” “ว่าไงนะ” ฉันสังเกตเห็นมือข้างที่ถือปืนของนักฆ่าสั่น ผู้ชายคนนั้นกำลังลังเล “อัยย์...” ฉันเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างซาบซึ้ง ไม่คิดว่าการทำเรื่องโง่ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนจะส่งผลใหญ่หลวงต่อชีวิตฉันขนาดนี้ ฉันอยากชื่นชมตัวเองในอดีตจริงๆ แต่เอาไว้ทีหลังตอนนี้ฉันต้องควบคุมสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ซะก่อน การที่อัย์สามารถหยุดนักฆ่าตรงหน้าไม่ให้ลั่นไกได้แสดงว่าอัยย์ต้องมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเขาพอสมควร “มีคนจ้างมาใช่ไหมคุณนักฆ่า” ไม่ตอบ... ใบหน้าที่จดจ้องอัยย์หันมาเพ่งฉันเขม็ง “นายรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นใคร” เงียบ... งั้นเดาว่าน่าจะรู้ นักฆ่ายังไงก็ต้องมีข้อมูลของเหยื่อคร่าวๆ อยู่แล้ว ฉันซายูริแห่งซูซาคุ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนจ้องเอาชีวิตฉัน ฉันประมาทเองที่ออกมากับจินแค่สองคน ไม่คิดจริงๆ ว่าจะโดนดักยิงซึ่งๆ หน้าแบบนี้ ฉันจ้องนักฆ่าตรงหน้านิ่ง ก่อนพูดออกไปอย่างไม่ลังเล “ฉันจะให้โอกาสนายเลือก จะฆ่าฉันแล้วรับเงินจากนายจ้างให้จบๆ แล้วมีปัญหากับอัยย์ หรือจะยอมเปลี่ยนฝ่ายมาอยู่ข้างฉันแล้วฉันจะรับรองความปลอดภัยของนายกับอัยย์” ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้จินเป็นยังไงบ้าง ในอกร้อนรนแทบคลั่งแต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นเยือกเย็นเพื่อเจรจาต่อรองกับนักฆ่าตรงหน้า ใบหน้าคมคายอยู่ใต้แว่นตากรอบหนาทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าชอบกล เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก “พี่คาวะ...” อัยย์เรียกเขา คล้ายจะขอร้องอีกเสียง ขอบใจเธอจริงๆ อัยย์ เป็นเพราะเธอช่วยต่อเวลา ฉันจึงสามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้ หมอนั่นครุ่นคิดนานกว่าจะยอมลดปืนลง ใบหน้าคมเข้มกัดฟันกรอดจนเป็นสันนูนเหมือนกำลังต่อสู้กับศักดิ์ศรีของตัวเอง “ชีวิตนักฆ่า... มันไม่ง่ายเลยใช่ไหม” ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่อัยย์โดนจี้คอในวันนั้น เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวภายในหัวได้ ไอ้เวรนั่นที่โดนฉันจัดการคงจะเป็นหนึ่งในญาติของเหยื่อที่โดนเขาสังหาร และผลกระทบนั้นก็ส่งต่อมาถึงอัยย์ “แน่ใจได้ยังไงว่าเธอจะไม่ทรยศ” น้ำเสียงถากถางระคนหยามหยันเอ่ยขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่ในอก ยอมรับว่ามีความคิดที่อยากจะฆ่าเขาทิ้งอยู่หลายรอบเหมือนกัน “ด้วยเกียรติของผู้นำซูซาคุ ฉันให้สัญญา” “หึ... เป็นคนที่อวดเก่งดีจริงๆ ฉันยอมรับข้อเสนอ แต่มีข้อแม้” “....”   ณ เรือกาสิโน ประเทศอิตาลี ชายหนุ่มรูปร่างดี นั่งเหยียดขายาวอยู่บนโซฟาปรับนอนขนาดใหญ่ ข้างกายมีสาวงามผมสีทองนั่งประกบคู่ คนหนึ่งถือแก้วไวน์ ส่วนอีกคนกำลังจับโทรศัพท์แนบกับใบหูของเขาให้ “ไงนะ ซายูริเป็นคนคุมซูซาคุทั้งหมด...” (พินัยกรรมของไคดะเขียนเอาไว้แบบนั้น และทุกอย่างจะตกเป็นของแกทันทีที่แต่งงานกับแม่หนูนั่น) “หึ พ่อจะรีบไปทำไมครับ ยังไงซะมันก็เป็นของเราอยู่ดี อีกอย่างผมกำลังสนุกกับทางนี้ อย่าให้ผมกลับไปเจออะไรที่น่าเบื่อเลย” (เคนมะ! นี่พ่อแกนะ ทำไมแกไม่เคยฟังคำสั่งฉันบ้าง) “โธ่พ่อ... ผมอยู่ทางนี้ชีวิตก็ดีอยู่แล้ว” (แกเห็นรูปซายูริที่ฉันส่งไปให้ดูหรือยัง) “ไม่ได้ดู เน็ตกาก ขี้เกียจรอมันโหลด” (ไอ้!...) คำสบถด่าทอหยาบคายพ่นออกมาเต็มสองรูหูคนฟังจนเคนมะต้องเอียงศีรษะออกห่างโทรศัพท์แล้วเอียงกลับเข้าไปใหม่ พ่อก็กลับมาพูดในโทนเสียงปกติพอดี (...แกต้องกลับมารักษาผลประโยชน์ของตัวแกเดี๋ยวนี้ มาทำหน้าที่คู่หมั้นของหนูซายูริ! เด็กนั่นยิ่งโตยิ่งสวยเหมือนแม่แล้วโอกาสที่แกจะโดนเทมีสูงมาก จำคำฉันเอาไว้ดีๆ หึ!) พ่อวางสายไปด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ เคนมะระบายลมหายใจพรืดใหญ่ นึกขำน้ำเสียงของพ่อขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าซายูริสวยสักแค่ไหน ทำไมพ่อของเขาที่ไม่เคยชมใครว่าสวยนอกจากภรรยาตัวเองถึงได้อวยนักอวยหนา “เอาโทรศัพท์มาสิ” เขาเอ่ยกับแหม่มข้างๆ เสียงเข้ม เธอส่งให้ทันที  ใบหน้าของเคนมะถึงกับเปลี่ยนไปเมื่อเห็นรูปซายูริ ตะโกนบอกลูกน้องให้จองตัวกลับญี่ปุ่นในเที่ยวบินที่เร็วที่สุดโดยไม่เสียเวลาคิด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม