บทนำ + ตอนที่ 1.1
โชคชะตาแยกเราสองคนจากกัน
แต่ก็ชักนำให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง
ผ่านบททดสอบที่ต้องแลกมาด้วย เลือด และ หยาดน้ำตา
บทนำ
ภายในล็อบบี้ของโรงแรมหรูใจกลางกรุงโตเกียว ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดาแต่ดูไม่ธรรมดาด้วยใบหน้าคมเข้ม รูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้างน่าซบกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาบุนวมด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ดวงตาสีดำคมกริบซ่อนอยู่ใต้แว่นตาดำชำเลืองมองนาฬิกาบนข้อมือเป็นระยะ
...จวนได้เวลานัดแล้ว
เขาพึมพำในใจ สายตาเพ่งกลับมามองหัวข้อข่าวบนหนังสือพิมพ์
บิ๊กซูซาคุรถคว่ำ อาการสาหัส หวิดดับคาที่ คาดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ...
“รอนานไหม”
สมาธิของชายหนุ่มถูกรบกวนกะทันหัน เมื่อนิ้วมือสวยๆ ลูบผ่านไหล่ลงมากอดจากด้านหลัง ปลายคางเรียวมนของหญิงสาวเกยทับอยู่บนบ่าหนา กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอฉีดมาสร้างความหงุดหงิดให้เขาอีกเช่นเคย
“เอามาหรือเปล่า”
น้ำเสียงยะเยือกเอ่ยถามอย่างไม่แคร์สื่อ แม้ว่าเธอจะตีสนิทและใกล้ชิดกับเขาขนาดไหน ชายหนุ่มก็หาได้หวั่นไหวไม่
“หึ ร้อนเงินหรือไง ไอ้เพื่อนมาเฟียของนายมันไม่ทำให้ชีวิตนายเจริญขึ้นเลยสินะ”
“ริเอะขอแฟ้ม”
“หืม... อยู่บนห้องน่ะ บังเอิญว่าฉันลืมหยิบลงมา”
“งั้นก็ส่งไฟล์เข้าเมล์” ชายหนุ่มวางหนังสือพิมพ์ในมือลง กำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกอีกฝ่ายกดไหล่เอาไว้กับที่
“เดี๋ยวซี่ ถ้าฉันลืมส่งไฟล์ให้นายอีกล่ะจะว่ายังไง คาวะ งานนี้กินหมูด้วย ไม่คิดว่ามันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อยเหรอ” ริมฝีปากสีนู้ดเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์
นิ้วมือลูบเข้าไปในคอเสื้อของชายหนุ่มเพื่อประกาศให้รู้ถึงความต้องการที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
คาวะผ่อนลมหายใจยาว ถอดแว่นตาดำออกชำเลืองมองหญิงสาวหน้าไม่อายด้านหลัง
“มีของเล่นหรือเปล่า”
“หึ... แน่นอน ของมันขาดไม่ได้อยู่แล้ว”
หลังจากนั้น
ริเอะกรีดร้องโวยวายด้วยความเจ็บใจเพราะโดนอีกฝ่ายหลอก เขาโอ้โลมเธอ ถอดเสื้อผ้าเธอ แต่เมื่อเผลอมันก็จับเธอมัดมือมัดเท้า ริเอะไม่คิดว่าตนจะถูกปล่อยให้ค้างเติ่งจึงไม่ได้ขัดขืนเชือกเหล่านั้นก็เป็นหนึ่งในของเล่น อุปกรณ์ในการให้ความบันเทิงอยู่แล้ว
“โทษทีริเอะ เล่นกับเจ้านี่ไปก่อนแล้วกัน”
คาวะเลือกหยิบแท่งสีม่วงกลมมนที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่แล้วดันเข้าไปในช่องทางรักของริเอะ
เสียงครางแผ่วเบาดังออกมาจากลำคอสาวสวยทันที ริมฝีปากสีนู้ดเม้มเข้าหากันแน่น จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาที่อยากจะกินเลือดกินเนื้อ
“แก้มัดเดี๋ยวนี้” เธอสั่ง ทว่าคาวะกลับยิ้มกริ่ม หยิบแฟ้มที่ต้องการขึ้นแล้วหันไปพูดกับริเอะสั้นๆ ก่อนเดินออกจากห้อง
“ไว้จะบอกคนมาช่วย”
“กรี๊ดไม่ต้องเลยนะ คาวะ! อ๊ะ อื้อ ไอ้!...”
เสียงสบถด่าหยาบคายเงียบหายพร้อมบานประตูที่ปิดลง คาวะก้าวฉับๆ ลงลิฟต์มาที่ชั้นล่างโดยไม่ลืมบอกพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือพร้อมกับแจ้งหมายเลขห้อง
1
สองสัปดาห์ก่อน...
เสียงกวัดแกว่งดาบและเสียงลมหายใจที่ปะทะกันอย่างดุดันดังก้องอยู่ภายในห้องซ้อม ทุกครั้งที่ปลายดาบสวนมาฉันพลิกตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งโดนตัดขาล้มในจังหวะเผลอ
พลั่ก!
“อึก... จิน!”
“แพ้อีกแล้วนะครับท่านซายูริ”
“อย่าขี้โกงสิ” ฉันค้อนขวับ ปัดมือที่ยื่นมาให้ของคนวัยสี่สิบทิ้ง ใช้ปลายดาบยันพื้นเพื่อดันตัวเองลุกขึ้นยืน
“อย่าลืมจุดยืนของตัวเองสิครับ การต่อสู้ที่ซื่อสัตย์ในหมู่ยากูซ่าก็ไม่ต่างจากการตามหาแสงสว่างในพายุ”
ฉันเข้าใจที่จินบอก แต่จู่ๆ มาตัดขากันแบบนี้มันรับไม่ได้จริงๆ ให้ตายสิ กำลังจะวอแวกลับไปแม่บ้านก็พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ อะไรละนั่น
“ท่านซายูริมีสายจากโรงพยาบาลค่ะ”
โทนเสียงร้อนใจผิดปกติของแม่บ้านทำฉันกับจินมองหน้ากันแบบไม่ได้นัดหมาย ยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์อย่างสงสัย และทันทีที่ได้ยินปลายสายรายงานฉันก็ตัวแข็งทื่อ
“อะไรนะ!... คุณพ่อรถชน”
บรรยากาศรอบตัวเงียบงันจนรู้สึกเหมือนมีปลายเข็มทิ่มแทง ฉันข่มกลั้นริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก ออกคำสั่งกับจินโดยไม่แม้แต่จะกระดิกตัว
“ออกรถ ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด!”
สามชั่วโมงต่อมา...
กลุ่มชายฉกรรจ์แห่มาจนเต็มทางเดินของโรงพยาบาล ทำเอาคนอื่นตกใจนึกว่ายากูซ่าบุกยึด แต่หากสังเกตสีหน้าพวกเขาดีๆ จะเห็นว่าไม่มีความฮึกเหิมใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงบรรยากาศเศร้าสลดอบอวลไปรอบๆ แทน
ผู้นำของกลุ่ม ซูซาคุ เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำระหว่างทางขากลับจากโยโกฮาม่า อาการเป็นตายเท่ากัน ส่วนคนขับรถเสียชีวิตคาที่ นอกจากนั้นมือขวาอย่างดาไซที่นั่งรถคันเดียวกันก็บาดเจ็บหนักไม่ได้สติ
สถานการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดกับผู้นำกลุ่มแบบกะทันหันย่อมก่อให้เกิดความหวั่นไหวในใจพวกเขา
ฉันเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องผ่าตัด ร้อนใจจนนั่งไม่ติด แม่บ้านที่ขึ้นรถมาด้วยเตือนแล้วเตือนอีกให้ฉันกลับไปนั่งพักแต่ฉันก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน เอาแต่ยืนกระวนกระวายอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด
แต่ก่อนหน้านี้ฉันซ้อมพวกลูกน้องที่ติดตามคุณพ่อไปโยโกฮาม่าจนใบหน้าพวกมันได้แผลคนละที่สองที่
“ทำไมถึงเกิดอุบัติเหตุได้ มันต้องมีอะไรสักอย่างสิ”
ฉันพึมพำอย่างไม่หายสงสัย หันไปคุยกับเจ้ายักษ์สองคนที่หน้ามีรอยช้ำจากหมัดสวยๆ ของฉัน
“ผมก็ไม่เข้าใจครับ จู่ๆ รถท่านก็พุ่งเสียหลักไปชนขอบถนนแล้วพลิกลงคลอง”
“บรรยายได้เป็นฉากเลยนะ มันน่าตบปากอีกสักทีจริงๆ ทำไมถึงยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับคุณพ่อได้ ไอ้พวกเวรนี่!”
“ท่านซายูริ ใจเย็น...” จินห้ามฉันที่เงื้อมือขึ้นจะตบไอ้หน้าโง่ตรงหน้า ฉันสะบัดแขนฮึดฮัดกำลังจะหันไปตะคอกจินที่ทำเสียอารมณ์แต่ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกมาซะก่อน
หมอเดินออกมาด้วยสีหน้าอ่อนล้า กวาดสายตามองมาที่พวกเราเหมือนกำลังหาญาติคนไข้อยู่ ฉันรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนหมอแล้วเขย่าถาม
“หมอคะ!? อาการคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”
“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับแต่...”
“แต่อะไรหมอ”
ฉันจ้องหน้าหมอแววตาสั่น ทำไมต้องมีเงื่อนไข พ้นขีดอันตรายก็คือพ้นสิ ทว่าคำบอกเล่าต่อมาของหมอก็ทำฉันเข่าอ่อน ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว
“ผมสามารถยื้อชีวิตคนไข้เอาไว้ได้แต่ตอนนี้คนไข้อยู่ในอาการโคม่า”
“หมายความว่า...”
“โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติมีน้อยมาก”
หมอกับพยาบาลเดินออกไปแล้วแต่บรรยากาศรอบข้างยังคงเงียบกริบ พวกที่ไปกับคุณพ่อก้มหน้ามองพื้นนิ่งและแทบจะหยุดหายใจ
ฉันกำหมัดแน่น ทั้งโกรธทั้งสับสน หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วแววตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
“ไปตรวจสอบรถคันที่คุณพ่อนั่งให้ละเอียด แล้วมารายงานฉัน”
“ครับ? ท่านซายูริกำลังสงสัยว่า...”
ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน ฉันไม่ตอบ หันไปเรียกจินแล้วเดินออกมาทันที แม่บ้านสาวเท้าตามแทบไม่ทัน
“ท่านซายูริรออิฉันด้วยค่ะ”
“ท่านซายูริ...”
ทันทีที่ฉันปรากฏตัวขึ้นพวกลูกน้องที่รออยู่ด้านนอกก็กรูเข้ามาถามอาการคุณพ่ออย่างกระตือรือร้นหากแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“จิน ”
ฉันชำเลืองไปมองจินที่อยู่ด้านหลัง บอกให้เขาเล่าอาการคุณพ่อให้ทุกคนฟัง ส่วนฉันเดินออกมารอที่รถโดยมีแม่บ้านกระวีกระวาดตามมาไม่ห่าง
ให้ตายสิ คุณพ่อล้มป่วยแล้วซูซาคุจะเป็นยังไง... แค่คิดถึงอนาคตของกลุ่มที่มีขนาดใหญ่เกินมือฉันก็รู้สึกเครียดหัวจะแตก
“ท่านซายูริอย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิคะ ป้าเชื่อว่าคุณท่านต้องกลับมา แต่ว่าตอนนี้ซูซาคุมีท่านซายูริเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ถ้าท่านซายูริเศร้าทุกคนก็จะพลอยเศร้าไปด้วย”
แม่บ้านพูดกับฉันด้วยโทนเสียงที่ทั้งสุภาพและนุ่มนวล ฟังแล้วมีสติขึ้นมานิดหนึ่ง
“อืม...”
ฉันพยักหน้า มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานจินก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมบอกให้ทุกคนกลับไปทำงานตามปกติ ส่วนเรื่องท่านไคดะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ”
“ให้คนที่ไว้ใจได้อยู่เฝ้าคุณพ่อหรือเปล่า”
“ครับ ผมให้พวกที่ไปโยโกฮาม่าผลัดกันอยู่เวร บอกพวกมันด้วยว่าถ้าคุณท่านเป็นอะไรไปพวกมันและครอบครัวตาย!”
“อืม งั้นก็คงหายห่วงแล้วล่ะ กลับกันเถอะ”
ฉันเดินนำทุกคนขึ้นรถ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกเพราะจินพูดแทนฉันทุกอย่างแล้ว