ตอนที่ 3.2

1504 คำ
ฉันมารู้ทีหลังว่าอัยย์ไปมหาลัย ถึงว่าทำไมไม่เห็น กำลังคิดว่าอยากคุยด้วยพอดี แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ยังจัดระเบียบตัวเองไม่ได้ เมื่อวานมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้นภายในวันเดียวจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริง แม้แต่เรื่องที่อัยย์ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เป็นอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน ความจริงฉันควรจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ... แต่กลับยังมีชีวิตรอด คิดถึงตรงนี้แล้วก็เศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก จิตใจฉันคล้ายจมดิ่งสู่ความมืดมิดตลอดเวลาเมื่อนึกถึงเรื่องลามกเหล่านั้น แค่เห็นคาวะอยู่ในสายตา ฉันก็หยุดที่จะคิดถึงมันไม่ได้... ร่างกายร้อนรุ่มแล้วเกิดความรู้สึกที่น่ารังเกียจขึ้นมา ราวกับว่าฉันอยากถูกกอด อยากทำแบบนั้นกับคาวะ อึก! ยิ่งคิดก็ยิ่งขยะแขยงตัวเอง ฉันไม่มีทางยอมรับด้านมืดนี้ของตัวเองเด็ดขาด ลำพังแค่คิดก็ผิดแล้ว “ชุดนี้คิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณหนูอัยย์นะคะ” หัวหน้าแม่บ้านหยิบชุดสายเดี่ยวลูกไม้สีขาวออกมา ฉันกวาดตามองรอบหนึ่ง ดูเหมาะกับอัยย์จริงนั่นแหละแต่ฉันก็ยังคิดว่าให้อัยย์มาเลือกเองจะดีกว่า คาวะไปรับอัยย์ที่มหาลัยได้สักพักละ ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงกลับมากันแล้ว “อืม ไว้ค่อยถามอัยย์อีกทีว่าอยากใส่ชุดไหน” “ค่ะ” แม่บ้านวางชุดกลับที่เดิม  “แล้วท่านซายูริเลือกชุดได้หรือยังคะ” “ความจริงก็ไม่ใช่งานสำคัญอะไร แต่ในฐานะตัวแทนอย่างเป็นทางการของคุณพ่อฉันควรให้เกียรติสส.ใช่ไหม” “ท่านซายูริพูดถูกแล้วค่ะ” ฉันลากสายตามองชุดมากมายบนราวแขวน หยิบเกาะอกยาวสีขาวออกมาส่งให้หัวหน้าแม่บ้านเพราะต้องนำไปซักรีด  “หาสูทที่เข้ากับชุดนี้ให้ด้วย แล้วก็เอาชุดเพชรที่เป็นทับทิมให้ด้วย” “ค่ะท่านซายูริ” ฉันเดินผ่านแม่บ้านมาดูรองเท้า ตอนนั้นประตูห้องเสื้อผ้าก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาแบบไม่มีเสียงเคาะ “ท่านซายูริคะ คุณหนูอัยย์กับคาวะกลับมาแล้วค่ะ” “มิโฮะทำไมไม่เคาะประตูก่อน” “อ๊ะ ขะขออภัยค่ะ” สาวใช้ที่ชื่อมิโฮะรีบก้มหน้าขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรผิด ฉันมองท่าทางเงอะงะของเธออย่างไม่ใคร่พอใจนัก แต่ก็ไม่อยากเก็บเอามาเป็นอารมณ์ “คราวหลังอย่าลืมอีกล่ะ” แม่บ้านเตือนเสียงด้วยสีหน้าเข้มงวด ระหว่างนั้นอัยย์กับคาวะก็เดินเข้ามาในห้อง สาวใช้รีบถอยออกไปทันที ความสนใจของฉันเบนมาหยุดอยู่ที่คนทั้งสองแทน อัยย์ยังถือหนังสือเรียนในมือ ส่วนคาวะหมอนั่นสะพายกระเป๋าผ้าสีชมพูของอัยย์ไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง ใบหน้าเข้มๆ กับกระเป๋าหวานแหววเห็นแล้วขัดตาพิลึก  “พี่คาวะบอกว่าซายูริจะให้อัยย์ไปงานเลี้ยงด้วยเหรอ” “อืม อัยย์ไปกับฉันนะ” “แต่” ยัยนั่นหันไปมองคาวะด้วยสายตาลำบากใจ ท่าทางจะถูกหมอนั่นปั่นหัวมาระหว่างทางแล้วล่ะสิ “ฉันอยากให้อัยย์ไปเป็นเพื่อน แต่ถ้าอัยย์ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร” “ซายูริ” ฉันยิ้มให้อัยย์เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ใส่มารยาเข้าไปนิดหน่อย หันไปพูดกับแม่บ้านโดยไม่สนใจท่าทางคิดมากของอัยย์ “ยกเลิกคิวช่างแต่งหน้าด้วยนะ ถึงจะเสียค่าปรับแต่ก็ไม่เป็นอะไร ฉันไปคนเดียวแต่งหน้าเอาเองก็ได้” “คะ... เอ่อค่ะ” หัวหน้าแม่บ้านทำหน้าอึ้งๆ ในแวบแรกแต่ก็รีบพยักหน้ารับอย่างลนลานทันทีที่สบสายตาคมกริบของฉัน คิวช่างแต่งหน้าอะไรไม่มีหรอก ฉันมโนขึ้นมาเอง ปกติก็ให้สาวใช้ที่แต่งหน้าเป็นแต่งให้ “ซา ...ซายูริ!” ฉันกำลังจะเดินออกมา ท่อนแขนก็โดนคว้าเอาไว้ทันควัน “อัยย์? มีอะไรเหรอ” ฉันมองท่าทางกระวนกระวายของอัยย์แล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ทั้งที่ลึกๆ แอบลุ้นว่าเธอจะติดกับหรือเปล่า “อัยย์ไปงานเลี้ยงกับซายูริก็ได้” “อัยย์!” คาวะเรียกชื่อน้องสาวตัวเองอย่างไม่พอใจ อัยย์ห่อไหล่ลงทันที ก้มหน้ามองพื้นอย่างไม่กล้ามองสบตาคาวะ  ฉันแสยะยิ้ม หันไปมองสายตาร้อนกรุ่นของคาวะอย่างพึงพอใจ  เลือกชุดสำหรับงานเลี้ยงของอัยย์เสร็จก็เลยเวลาอาหารค่ำมามาก ฉันสั่งให้แม่บ้านจัดโต๊ะอาหารสำหรับคนสองคน คือฉันกับอัยย์เท่านั้น ปกติฉันก็นั่งทานข้าวกับคุณพ่อสองคนอยู่แล้ว ต่างกันก็แค่ไม่มีใครนั่งหัวโต๊ะ  ฉันกับอัยย์นั่งทานข้าวกันเงียบๆ แม้เราจะไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่กลับไม่สามารถปฏิเสธบรรยากาศตึงเครียดนี้ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เราเผชิญหน้ากันตรงๆ หลังเกิดเรื่อง “พักอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือเปล่า” ฉันเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ อัยย์รีบส่ายหน้าทันทีแล้วบอกว่าสะดวกสบายทุกอย่าง ทุกคนดีกับเธอมากโดยเฉพาะหัวหน้าแม่บ้านที่ดูแลเอาใจใส่เธอเหมือนเธอเป็นลูกหลานคนหนึ่งทั้งๆ ที่เธอเป็นน้องคาวะ อัยย์พูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดในตอนท้าย “ขอโทษแทนพี่คาวะด้วยนะซายูริ” เธอเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่บีบรัดอยู่ในอก “ไม่ต้องขอโทษหรอกอัยย์” ฉันส่งยิ้มอ่อนให้อัยย์ “อัยย์ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ” “แต่พี่คาวะ” “คาวะก็ส่วนคาวะ ...เขาควรจะขอโทษด้วยตัวเอง อัยย์ไม่ควรต้องมารู้สึกผิดแทนคนแบบนั้น” “ซายูริ” ฉันมองสบแววตากังวลของอัยย์นิ่ง ต่อให้อัยย์ขอโทษเป็นร้อยครั้งพันครั้งฉันก็ไม่คิดจะให้อภัยคาวะ คนแบบนั้นสมควรโดนถลกหนังแล้วเอาเกลือราดสดๆ ให้มันได้ลิ้มรสชาติความทรมานก่อนตายถึงจะสาสม “พี่คาวะทำอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนที่เขาพาซายูริออกไปน่ะ เกิดอะไรขึ้น”  คำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงไม่สบายใจของอัยย์ทำฉันจุกตันในลำคอ ไม่ทันคิดว่าจะต้องบอกเรื่องนั้นกับคนอื่น “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เราแค่ตกลงกันเฉยๆ”  “พี่คาวะ” ฉันเพิ่งจะพูดจบ อัยย์ก็เอ่ยชื่อหมอนั่นตามออกมาติดๆ พอมองตามสายตาของอัยย์ก็เห็นร่างสูงใสชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงวอร์มสีกากีเดินดุ่มๆ เข้ามาลากเก้าอี้ตัวติดกับฉันออกนั่ง “เฮ้!” ฉันเอ่ยทักเสียงแข็ง ในขณะที่สาวใช้ที่ยืนเรียงแถวห่างออกไปชักสีหน้าเลิ่กลั่กกันใหญ่ หัวหน้าแม่บ้านรีบปรี่เข้ามาบอกด้วยโทนเสียงสุภาพ “ไม่ได้นะคะคุณ จะทานอาหารร่วมกับเจ้านายไม่ได้ค่ะ” “หืม? ทำไมไม่ได้” “ต่อให้เป็นคุณคาวะก็ไม่ได้ค่ะ มันเป็นธรรมเนียม ไม่มีใครนั่งทานข้าวกับเจ้านาย ยกเว้นจะเป็นแขก” “แล้วผมไม่ใช่แขกเหรอ” “เอ่อ...” แม่บ้านรู้สึกจนปัญญาที่ตอบคำถามนั้นหันมาส่งสายตากระอักกระอ่วนให้ฉัน บ้าจริง ฉันถลึงตาใส่คาวะอย่างฉุนๆ นี่นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร “นายเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉัน หรือก็คือลูกน้องไม่ใช่แขก ลุกออกไปได้แล้วเก้าอี้ตัวนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนาย” “เธอชื่ออะไร” คาวะไม่ฟังฉันพูดด้วยซ้ำ หมอนั่นหันไปส่งเสียงคุยกับสาวใช้ด้านหลังอย่างข้ามหน้าข้ามตา “เอ่อ มิ.. มิโฮะค่ะ” นั่นก็ดันตอบอีก ฮึ่ย! ฉันหันไปจ้องยัยเอ๋อนั่นสายตาคมกริบ มิโฮะสะดุ้งไหวรีบก้มหน้างุดท่าทางร้อนรน  “มิโฮะจัง ขอจานกับช้อนให้ผมที่หนึ่ง” “คะ!?”  มิโฮะทำหน้าตกใจเป็นสองเท่า ยืนลนลานทำตัวไม่ถูก  “นี่นายไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยใช่ไหม!” “มิโฮะจางงง ขอข้าว” “อะเอ่อ” “คาวะ!” “ซายูริ” ทันทีที่ฉันขึ้นเสียงใส่คาวะ เสียงของอัยย์ก็ดังขึ้น  “ขะขอโทษแทนพี่คาวะด้วย อย่าโกรธเลยนะ อัยย์จะรีบพาพี่คาวะออกไปเดี๋ยวนี้ พี่คาวะ... ขอร้องล่ะค่ะ”  อัยย์รีบร้อนลุกขึ้นมาฉุดดึงร่างของคาวะออกจากเก้าอี้ หมอนั่นทำตัวดื้อดึงอยู่พักหนึ่งก่อนจะยอมลุกออกไปในที่สุด ให้ตายสิ! ฉันจับผ้าเช็ดปากมาขยำแล้วเหวี่ยงลงตรงหน้าอย่างเกรี้ยวกราด ในใจเดือดระอุ “ท่านซายูริ... อย่าหัวร้อนไปเลยค่ะ เขาเพิ่งมาคงยังไม่คุ้นกับธรรมเนียมที่นี่ อยู่ๆ ไปก็คงปรับตัวได้เอง” “ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม