“ซายูริ! พี่คาวะ...”
อัยย์วิ่งโล่เข้ามาหาเราทั้งคู่ทันทีที่พวกเรามาถึงโรงพยาบาล ใบหน้าเป็นกังวลของอัยย์บอกให้รู้ว่าเธอวิตกกังวลขนาดไหน ฉันฝืนยิ้มบางเบาส่งให้อัยย์ กลั้นความรู้สึกที่ทิ่มแทงอยู่ข้างในเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
“อัยย์ แล้วจินล่ะเป็นยังไงบ้าง”
ฉันถามหาจินเป็นอย่างแรก ไม่อยากคิดอะไรให้ฟุ้งซ่าน ตอนนี้สิ่งที่พอยึดเหนี่ยวจิตใจฉันได้ก็คงมีแต่เรื่องจินเท่านั้น
“ท่านซายูริ! ท่านซายูริ...”
พวกลูกน้องที่เพิ่งสังเกตเห็นฉันรีบวิ่งโล่เข้ามาหาด้วยสีหน้าแตกตื่นปนสงสัย รวมถึงแม่บ้านด้วย... น่าจะมาโรงพยาบาลหลังจากทราบข่าว
“ท่านซายูริไม่เป็นอะไรนะคะทูนหัวของป้า”
“ฉันไม่เป็นไร ทุกคนสบายใจได้ ตอนนี้เป็นห่วงจินมากกว่า”
“ไม่ต้องห่วงนะคุณจินปลอดภัยหมอผ่ากระสุนออกแล้ว” อัยย์รีบพูดแทรก เอื้อมมาจับมือฉันไปกุมแน่นอย่างให้กำลังใจ แรงบีบที่มือทำฉันกระอักกระอ่วน รอยยิ้มใสซื่อกับหัวใจที่บริสุทธิ์ของอัยย์มันช่างสวนทางกับการกระทำต่ำช้าของคาวะราวฟ้ากับเหว
ฉันไม่อาจเมินเฉยมิตรภาพของอัยย์ได้ ถึงแม้เราเพิ่งรู้จักกันในเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็ดูออกว่าเธอเป็นคนจริงใจ อ่อนโยน และดีกับทุกคน นึกภาพไม่ออกเลยว่าคนดีๆ และท่าทางเปราะบางแบบนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกนักฆ่าเลือดเย็นได้
“ท่านซายูริ เราได้ยินว่าท่านถูกลอบฆ่า...”
น้ำเสียงคับข้องใจของลูกน้องเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว พวกนั้นส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปที่คาวะซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังฉัน คงจะจับจิตสังหารที่รุนแรงของคาวะได้ ขนาดฉันยังรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่ด้านหลัง ลำพังแค่อดกลั้นอารมณ์ไม่ให้หวั่นไหวไปกับเครื่องบ้าๆ ที่สอดอยู่ในร่างกายก็ยากมากอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยรับมือกับบรรยากาศที่เสี่ยงต่อการปะทะกันนี่อีก
“อืม แต่ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เรื่องผับที่คาบูกิโจล่ะ”
“พวกตำรวจกลับกันไปแล้วครับ พวกมันไม่ได้อะไรไปเลย”
ลูกน้องคนหนึ่งรีบรายงาน ก่อนจะพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า
“มันก็แปลกนะครับ ปกติตำรวจไม่เคยยุ่มย่ามกับถิ่นของเรา ต้องมีใครสักคนสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อลวงท่านซายูริออกมา”
ใช่... ลูกน้องคนนี้พูดถูก ฉันเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ที่ผับโดนตำรวจบุกค้น นอกจากจะทำให้เสียเวลาแล้วยังทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นในผับของเราอีกด้วย พวกนักท่องเที่ยวคงขยาดและเลิกไปเที่ยวที่นั่นกันสักพัก แค่คิดก็เห็นเม็ดเงินมหาศาลที่ลอยออกจากกระเป๋าแล้วล่ะ
ฉันหันไปมองหน้าคาวะ สงสัยว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนที่จ้างวาน แต่หมอนั่นกลับทำหน้านิ่งๆ กลับมา ฉันอ่านไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หากแต่สายตาคมเฉียบนั่นมันทำให้ฉันระลึกได้อยู่เดียวคือ เขากำลังเล่นกับความรู้สึกของฉัน หมอนั่นล้วงมือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา และนั่นทำให้หัวฉันเต้นไม่เป็นปกติเลย ผวาตลอดเวลาว่าเขาจะกดรีโมตสั่นตอนไหน
“ท่านซายูริ ต่อไปนี้ไปไหนมาไหนต้องระวังนะคะ อย่าไปคนเดียวเด็ดขาด” แม่บ้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจหลังได้ยินที่พวกลูกน้องพูด
ฉันพยักหน้าในเชิงรับรู้ ใจนี่ร้อนรนอยากจะรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่ห่วงจินก็ห่วง
“หมออนุญาตให้เยี่ยมจินหรือเปล่า”
“คุณจินหลับไปแล้วค่ะ แต่สั่งเอาไว้ว่าถ้าท่านซายูริมาให้ปลุก” แม่บ้านพูดด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนกับความจริงจังในหน้าที่ของจิน
สำหรับจิน เรื่องฉันมักจะมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ที่จินเป็นห่วงเป็นใยฉันมากขนาดนี้เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเขากับแม่ฉันเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน ได้ยินคนเขาลือมาแบบนั้น ตื้นลึกหนาบางเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้หรอกเพราะตอนนั้นก็เด็กมาก แต่สิ่งที่จำได้ชัดเจนคืออุบัติเหตุที่พรากชีวิตแม่กับพี่ฮารุ มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งที่ผ่านมาเป็นสิบกว่าปี แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังเก็บเอามาฝันอยู่บ่อยครั้ง บางวันตื่นมาน้ำตาเปียกเต็มหมอนก็มี
ฉันแค่แกล้งทำเป็นไม่เหงาที่ขาดแม่แต่แท้จริงแล้วในใจฉันอ่อนไหวแค่ไหนไม่มีใครรู้เลย
“ท่านซายูริครับ คุณจินสั่งพวกเราไว้เหมือนกัน เกี่ยวกับนักฆ่าที่พาตัวท่านไป” สายตาลูกน้องคนหนึ่งจดจ้องไปที่คาวะอย่างเลือดเย็นราวกับรอจังหวะที่จะพูดถึงคำฝากฝังของจินมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้พูด
ทุกสายตาพุ่งเป้าไปที่คาวะทันที ไม่เว้นแม้แต่แม่บ้านที่ยกมือทาบอกด้วยสีหน้าเสียขวัญ ส่วนอัยย์ได้แต่ยืนร้อนรนกระสับกระส่ายอยู่กับที่อย่างทำตัวไม่ถูก
“จินบอกไว้ว่ายังไง” ฉันถามเสียงนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อท่าทางวุ่นวายใจของพวกลูกน้อง
“คุณจินบอกว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านซายูริให้จับตัวผู้หญิงคนนี้ไว้” ลูกน้องฉันมองมาที่อัยย์ เล่นเอาอัยย์สะดุ้ง วิ่งไปหลบอยู่หลังคาวะทันควัน
“พี่คาวะ”
“มันคือคนที่คุณจินบอกเอาไว้ใช่หรือเปล่าท่านซายูริ”
ความรู้สึกวาบหวามเหมือนมีน้ำเหนียวๆ ไหลซึมออกมาทำให้ฉันขยับขาเบาๆ แต่กลับสะเทือนอย่างจัง ฉันเกือบร้องออกมาแต่ดีที่ฉุดรั้งตัวเองเอาไว้ทัน ทว่าสีหน้าฉันคงจะพิลึกน่าดูชม พวกลูกน้องเห็นแล้วถึงได้มีท่าทีสับสนแบบนั้น
“เอ๊ะ อื้อ~”
เสียงที่เปล่งออกมาสั่นหวิว ฉันทำหน้าปั้นยากเมื่อเห็นพวกลูกน้องหันไปมองหน้ากันด้วยท่าทางประหลาดใจ
“ได้ยินว่าท่านซายูริจะรับมันเข้ามา...”
“อือ ชะ... ใช่ คาวะกับอัยย์จะมาเป็นส่วนหนึ่งของซูซาคุ นับ... นับตั้งแต่นี้ไป”
“เราจะแน่ใจยังไงว่ามันจะไม่เปลี่ยนใจมาแว้งกัดเรา ผมว่ายิงมันทิ้งตอนนี้ซะจะดีกว่า”
“อย่านะ! ห้ามแตะต้องคาวะ” ฉันแผดเสียงใส่ลูกน้องที่กำลังจะชักปืนออกมา
“ท่านซายูริ”
“เก็บปืนของพวกนายซะ คาวะสัญญาว่าจะภักดีกับฉัน เขาจะเลิกเป็นนักฆ่าแล้วมาเข้ากับเรา”
ฉันประกาศเสียงแข็ง พวกลูกน้องได้ยินก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทุกคนต่างเคลือบแคลงสงสัยในการตัดสินใจของฉันกอปรกับระแวงความเป็นนักฆ่าของคาวะ
“แต่... ถ้ามันทรยศเราล่ะท่านซายูริ”
ฉันไม่อาจแถลงไขต่อข้อกังขาของลูกน้องได้หมด แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจคือคาวะจะไม่มีวันทรยศอัยย์
“การที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ มันยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ”
“.....”
ทุกคนเงียบกริบด้วยเถียงอะไรไม่ออก ใช่ ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้ฉันคงกลายเป็นศพอยู่ข้างถนนไปแล้ว ไม่แน่จินเองก็อาจจะตายไปด้วยเช่นกัน ฉันไม่รู้จะขอบคุณหรือสาปแช่งความโชคดีนี้ดี บางทีตายๆ ไปเลยอาจจะดีซะกว่า
“อึก”
“ท่านซายูริ? หรือว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ลูกน้องคนหนึ่งที่สังเกตเห็นสีหน้าฉันทักขึ้น ทำให้คนอื่นๆ มองตาม ขณะที่ตัวต้นเหตุอย่างคาวะ ยืนยิ้มยะเยือกอยู่ด้านหลัง
“อืม รู้สึกระบมนิดหน่อยตอนกลิ้งลงจากรถ ไม่ได้เจ็บ ไม่เจ็บมาก” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ความเสียวปลาบที่ดุนดันอยู่นั้นทำให้ต้องแขม่วท้องน้อย กลั้นหายใจเอาไว้ต้านความรู้สึกวาบไหวที่กำลังบ่อนทำลายตัวตนของฉันจากข้างใน
“ท่านซายูริสีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะคะ ป้าว่าไปให้หมอตรวจ”
“ไม่ ฉันอยากกลับบ้าน!” ฉันสวนขึ้นทันควัน แม่บ้านยังพูดไม่ทันจบดีได้แต่เงียบอึ้ง พวกลูกน้องเองก็มองหน้าแบบสับสน ปกติถึงฉันจะดื้อรั้นและเอาแต่ใจแต่ก็ไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์อย่างนี้
ฉันกัดฟันกรอดรู้สึกเจ็บใจที่ปล่อยให้เครื่องบ้าๆ นั่นมาคุกคามจิตใจ กำหมัดแน่นอย่างพยายามตั้งสติ แล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่นิ่งกว่าเดิม
“แบ่งคนเอาไว้เฝ้าจินที่นี่ ถ้าเขาฟื้นแล้วให้รายงานฉันทันที พรุ่งนี้ฉันมีเรียน... ป้าคะ ให้คนจัดห้องสำหรับแขกไว้ให้อัยย์หนึ่งห้องและห้องคนงานสำหรับเขาอีกหนึ่งห้อง”
“คะค่ะ ได้ค่ะ ป้าจะรีบโทรบอกเด็กเตรียมไว้ให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” แล้วแม่บ้านก็กุลีกุจอออกไปโทรศัพท์ ฉันเบือนสายตากลับมาจ้องบรรดาลูกน้องสี่ห้าคนที่กำลังมองฉันด้วยท่าทางกังวล
“ระหว่างที่จินพักรักษาตัว คาวะจะอารักขาอยู่ข้างๆ ฉัน พวกนายเลิกสงสัยในตัวเขาได้แล้ว”
“แต่มันเป็นนักฆ่า”
ยังมีคนแย้ง คำพูดฉันคงไม่เด็ดขาดและน่าเชื่อถือเท่าคุณพ่อสินะ ในสายตาลูกน้องคงมองฉันเป็นลูกของหัวหน้าที่ต้องคอยปกป้องคุ้มครองไม่ใช่ในฐานะผู้นำที่ควรยำเกรงและเชื่อถือ
ฉันรู้สึกได้ถึงความต่างในบารมีของฉันกับคุณพ่อ แม้จะแอบน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างทว่าอย่างน้อยๆ ทุกคนก็เป็นห่วงในความปลอดภัยของฉัน
“การมีนักฆ่าอยู่ข้างกายไม่น่าอุ่นใจกว่าเหรอ”
ฉันเอ่ยเสียงเรียบ สยบท่าทางร้อนเนื้อร้อนใจของลูกน้องไปได้ชั่วขณะ ขึ้นชื่อว่านักฆ่าย่อมมีฝีมือและไหวพริบมากกว่าคนปกติ ฉันไม่รู้ว่าคาวะทำอะไรได้บ้าง แต่ความแข็งแกร่งของเขาสามารถอ่านได้จากบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบๆ ตัว
“เรียบร้อยแล้วค่ะท่านซายูริ กลับไปถึงก็น่าจะเตรียมห้องกันเสร็จพอดี” แม่บ้านเดินกลับมาบอก ฉันพยักหน้า หันไปส่งสายตาเรียกอัยย์กับคาวะ
“ไปกันเถอะ กลับซูซาคุกัน”
“ซายูริ” อัยย์วิ่งเข้ามากุมมือฉันระหว่างทางเดินออกจากโรงพยาบาลทำให้ร่างกายที่อ่อนไหวในทุกย่างก้าวของฉันรู้สึกมั่นคงขึ้นเล็กน้อย เมื่อพ้นสายตาของบรรดาลูกน้อง อัยย์ก็รีบกระซิบถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“พี่คาวะไม่ได้ทำอะไรซายูริใช่ไหม”
ฉันมองหน้าอัยย์อย่างอึ้งๆ หรือว่าเธอจะรู้... ฉันมองแววตาใสซื่อของอัยย์แล้วปฏิเสธความคิดนั้นของตัวเองทันที ไม่หรอก ไม่น่าจะรู้เรื่องรสนิยมจิตๆ ของคาวะ
“เปล่า ไม่มี” ฉันยิ้มเจื่อน ทั้งที่ปากปฏิเสธแต่ความรู้สึกรวดร้าวกลับทิ่มตำเต็มอก เหลือบไปมองด้านหลังก็เห็นว่าคาวะกำลังเพ่งเล็งมาที่ฉันกับอัยย์ด้วยสายตาคมกริบราวกับสงสัยว่าฉันกับอัยย์กำลังซุบซิบอะไรกันอยู่
“อัยย์ ไม่ต้องเก็บของเหรอ”
“เอ๊ะ เอ้อ ใช่สิ...” อัยย์ทำหน้านึกได้เมื่อโดนคาวะทัก ก่อนเหลือบมามองฉันด้วยแววตาเกรงใจเหมือนจะขอแต่ก็ไม่กล้าขอ ถ้าอัยย์ไปเก็บของคาวะก็ต้องไปด้วย แล้วไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่พาเธอหนี ถึงฉันจะให้คนตามไปประกบก็ไม่แน่ว่าอาจจะโดนฆ่าตายระหว่างทางอีก ครั้นฉันจะไปเองมันก็ติดที่ช่วงล่างไม่สะดวก...
ฉันยืนจิกเท้า เกร็งเรียวขาแบบที่ไม่มีใครทันสังเกต ร่างกายเกือบจะกระตุกหลายรอบแต่ก็ยังพอควบคุมได้ หากแต่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้านานกว่านี้มันจะเป็นยังไง
“เดี๋ยวป้าไปเป็นเพื่อนอัยย์นะคะ ให้คนของเราขับรถให้” ฉันเสนอทางออกที่ดีที่สุด แม่บ้านที่เดินตามหลังมาติดๆ กับลูกน้องอีกสองคนค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที
“ส่วนนายพาฉันกลับซูซาคุ” ฉันส่งสายตาบอกคาวะ แล้วเดินนำมาที่รถคันใหม่ที่พวกลูกน้องเตรียมไว้ให้
คาวะชำเลืองมองไปที่อัยย์ด้วยสายตาติดห่วง เธอถูกแม่บ้านและลูกน้องฉันเดินนำไปที่รถอีกคัน
“พวกนั้นรู้ว่าอัยย์เป็นแขกของฉัน เธอจะปลอดภัย”
“หึ” คาวะตวัดสายตาเฉียบคมมามองที่ฉันทันที “เพราะอัยย์เธอถึงยังมีชีวิตอยู่ จำใส่ใจเอาไว้”
“....”