เคอหลิ่งหลินอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มซ้อมเพลงกระบี่กับจ้าวจิ่นสือ แม้จะเป็นหญิงแต่เพลงกระบี่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าชาย ยิ่งรูปร่างแบบบางการเคลื่อนไหวดุจวิหคร่อนลมยิ่งทำให้การท่วงท่าเคอหลิ่งหลินดูงดงามนัก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือก็สง่าสมกับบุตรชายแม่ทัพจ้าว
แววตาของผู้เป็นบิดามองดูทั้งสองฝึกซ้อมเพลงกระบี่ด้วยความพึ่งพอใจ เสียดายที่เลี้ยงดูเคอหลิ่งหลินมานานแม้นางจะยอมเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ แต่ลึกๆ แล้ว นางทำเพื่อให้เขาสบายใจ คงยากนักที่จะลบบาดแผลในใจของนางได้
หางตาของหญิงสาวเห็นเงาร่างของผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ มือเรียวชะงักไปและเผลอลดกระบี่ลงทำให้จ้าวจิ่นสือปัดกระบี่ในมือนางตกลงพื้นได้อย่างง่ายดาย
“หลิ่งหลิน” ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ แต่คนถูกเรียกกลับยิ้มทะเล้นก่อนเก็บกระบี่แล้วหมุนตัวมองคนที่เดินเข้ามาเต็มตา
“พ่อบ้านตู้กลับมาแล้ว” เคอหลิ่งหลินทักทาย
“คุณหนูหลิ่งหลิน” พ่อบ้านตู้ก้มศีรษะให้แล้วทำความเคารพแม่ทัพจ้าวและคุณชายจ้าวจิ่นสือ
“เป็นอย่างไรบ้างจัดการธุระที่บ้านเสร็จแล้วหรือ”
เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการตื่นเต้นดีใจ ซึ่งมันเด่นชัดเสียจนจิ่นสือเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ขอรับคุณหนู ขอบคุณที่เป็นห่วง”
พ่อบ้านตู้อายุห้าสิบกว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงแม้จะมีผมขาวแซมแล้วก็ตาม เขาลากลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขา แววตาเป็นประกายที่และท่าตื่นเต้นเหมือนรอให้อีกฝ่ายออกปากพูดเสียเอง ทำให้พ่อบ้านตู้เผลอหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กน้อยของคุณหนูของเขา
หลายปีก่อนนั้น เขาเห็นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวซุกซนกับบิดาของนาง เกือบสิบปีที่แล้วเขาหลงป่า คราวนั้นเขาเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความใจร้อนที่เพราะข่าวมารดาป่วยหนักจึงหาทางลัดตามที่เคยได้ยินมา ทว่ากลับถูกหลอกจากกลุ่มโจรที่หวังแย่งชิงทรัพย์สิน เขาไม่มีวรยุทธอะไรได้แต่วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจนได้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าช่วยเหลือ หลังจากเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว อยู่ดูแลปรนนิบัติท่านแม่จนหายดี พอกลับมาอีกครั้งก็สืบเสาะค้นหาผู้มีพระคุณของเขา
เมื่อได้พบและพูดคุยกับบิดาของนาง เขาลองเอ่ยปากชวนให้มาทำงานรับใช้แม่ทัพจ้าวซึ่งกำลังขาดคนที่รู้และเชี่ยวชาญเรื่องการแกะรอย เงื่อนไขเดียวของเคอตงตงคือที่ใดที่เขาอยู่ที่นั้นต้องมีลูกสาวของเขาอยู่ด้วย เมื่อความสามารถของเคอตงตงเป็นที่ต้องการ ท่านแม่ทัพจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขนั้น ทว่าการมีลิงน้อยแสนซนในค่ายทหารไม่ได้ทำให้เสียการปกครองแต่อย่างใด หลายครั้งที่อาศัยความคล่องแคล่วว่องไวของเคอหลิ่งหลินแอบลอบเข้าไปสืบดูเสบียงอาหารของอีกฝ่ายเพื่อประเมินการศึกได้
แม้ผู้หญิงมิควรอยู่ในกองทัพ แต่ความสามารถของเคอ หลิ่งหลินเป็นที่ยอมรับ กฏเกณฑ์จึงถูกผ่อนปรน ให้ยึดความสามารถของคนเป็นหลัก หญิงสาวจึงอยู่ในกองทัพเป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากเหล่าทหาร ยามออกรบนางดูเคร่งขรึม แม้เพียงสบตาก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ ทว่าเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว นางกลับกลายเป็นเพียงหญิงสาวร่าเริงที่ออกจะอ่อนความเป็นกุลสตรีสักนิด บางครั้งนางก็เจ้าเล่ห์เหลือจะกล่าวที่ใช้ความอ่อนหวานทำให้ผู้อื่นใจอ่อนได้ นางจึงดูมีหลายบุคลิกยากเกินคาดเดาได้
“อ้อ! กลับบ้านครั้งนี้ข้าน้อยได้ขลุ่ยผิวที่ทำด้วยไผ่เซียงเฟย (ลายด่าง) มาฝากคุณหนูหลิ่งหลินด้วย ไม่ทราบว่าจะถูกใจคุณหนูหรือไม่”
“จริงรึ” นางสืบเท้าเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นในห่อผ้าของพ่อบ้านมีถุงผ้าอยู่ใบหนึ่งที่เดาได้ไม่ยากว่าใส่ขลุ่ยที่นางปรารถนาไว้เป็นแน่ เพราะนางย้ำหนักหนาให้พ่อบ้านตู้หาขลุ่ยดีๆ ให้นางสักเลา
“ขลุ่ย?” จ้าวจิ่นสือเอ่ยขึ้นอย่างฉงน แต่เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านตู้ส่งถุงผ้าให้เคอหลิ่งหลินแล้ว นางรีบเปิดถุงออกแล้วหยิบขลุ่ยผิวลักษณะงามออกมาหนึ่งเลา
“นี่เจ้ายังไม่ถอดใจเรื่องขลุ่ยนี่อีกรึ” เป็นจ้าวจิ่นสืออีกนั้นแหละที่กล้าเอ่ยประโยคทำร้ายจิตใจนางได้ แต่กระนั้นเคอหลิ่งหลินเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปากให้
“เรื่องของข้า” นางไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเพราะกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วหันไปหาท่านแม่ทัพที่ทำหน้ายุ่งไม่แพ้บุตรชาย “ท่านพ่อ ข้าฝึกเพลงกระบี่เสร็จแล้ว ขอตัวไปฝึกเพลงขลุ่ยนะเจ้าค่ะ”
“เอ่อ...เอาซิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มระรื่นประคองขลุ่ยเลาใหม่ในมือแล้วเดินยิ้มร่าออกไป
“นางไปฝึกเป่าขลุ่ยที่ใดกัน” บิดาเอ่ยถามทั้งยังนึกขยาดหวาดกลัวอยู่ในใจ
“คงเข้าป่าเหมือนเคย”
จ้าวจิ่นสือส่ายหน้าไปมา ถ้าเรื่องความพยายามแล้วนางเป็นเลิศแต่เสียงขลุ่ยที่นางพยายามฝึกฝนช่างแสนร้ายกาจนัก เรียกว่าปวดหูหรือปลุกผีให้ตื่นได้ทั้งป่าช้าเลยทีเดียว และอีกนั้นแหละไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสองปีก่อนนางก็ลุกขึ้นอยากจะเป็น ‘คุณหนูผู้สูงศักด์’ ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเอาดีด้านนี้ไม่ได้เลยสักอย่าง กาพย์กลอนหรือร่ายรำอ่อนด้อยเสียจนบรรดาอาจารย์ที่ท่านแม่เชิญมาสอนต้องขอลาขาด บางรายถึงขั้นไม่ขอรับเงินค่าสอนด้วยซ้ำ ความพยายามนะมี แต่ความสามารถไม่เกิดและพรสวรรค์ก็ไม่ได้ติดปลายเล็บนางมาสักนิด
แต่สองปีก่อนนางกลับขุดทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาฝึกปรืออีกครั้ง บางสิ่งเขาช่วยสอนนางได้บ้าง แต่เรื่องเพลงขลุ่ยของนางนั้น เสียงบาดหูทะลุทะลวงไปถึงเครื่องใน ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้านาง มีแต่เขาที่อดรนทนไม่ไหวพูดความจริงกับนางออกไป แทนที่นางจะถอดใจไม่ฝึกเพลงขลุ่ยแต่นางกลับถือขลุ่ยเดินเข้าป่าไปเสียนี่
“เจ้าก็น่าจะติดตามไปดูนางเสียหน่อย” แม่ทัพจ้าวเป็นห่วงลูกสาวบุญธรรม
“ข้าว่าให้นางไปฝึกเพลงขลุ่ยให้ต้นไม้ในป่าฟังนะดีแล้ว” เพราะอย่างน้อยคงไม่มีใครล้มตายเพราะเสียงขลุ่ยของนาง
แม่ทัพจ้าวเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เพราะเขาเองก็เคยฟังเสียงขลุ่ยทะลวงจิตของลูกสาวบุญธรรมาแล้ว ยังเคยคิดอยู่ว่า หากต้องจับเชลยศึกมาล้วงความลับให้คายความจริง ปล่อยให้พวกมันฟังเสียงขลุ่ยของเคอหลิ่งหลิน พวกมันคงวิงวอนขอชีวิตเลยทีเดียว คิดได้แบบนี้แล้วทั้งสามก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่มีใครกล้าติดตามหญิงสาวที่เดินออกไปพร้อมขลุ่ยเลาใหม่ของนาง
ขณะที่เดินออกมาพร้อมหัวใจที่เบิกบาน จ้าวหลิ่นหลิงพลันเห็นกลุ่มคนที่กำลังเตรียมตัวจะเดินทาง นางจำได้ว่าบางคนเป็นคนที่มาพร้อมกับหัวหน้าโจรที่กวาดต้อนกลับมาที่จวนด้วย หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปก็พบใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคน
“พวกท่านจะไปกลับแล้วหรือ”
“ขอรับคุณหนู” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ต้องขอบคุณคุณหนูที่ทำให้ท่านแม่ทัพไม่ส่งพวกเราไปอยู่ในคุก”
“ไม่ใช่ข้าหรอก เป็นเพราะท่านแม่ทัพกับคุณชายจิ่นสือต่างหาก” นางหวังให้คนอื่นมองนางเป็นเคอหลิ่งหลินมากกว่าเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว
“หากผ่านไปแถวนั้น ข้าจะแวะไปเยี่ยมพวกเจ้า”
“ขอรับคุณหนู พวกเราหวังใจว่าจะได้ต้อนรับคุณหนู”
หญิงสาวมองดูทุกคนด้วยหัวใจชื่นบาน เป็นความคิดของจ้าวจิ่นสือเองที่ใครอยากกลับบ้านเกิดก็ส่งกลับไป ใครอยากสมัครเป็นทหารก็รับไว้ ทำให้หลายคนซาบซึ้งในน้ำใจครั้งนี้
“คุณหนู พวกเราไม่มีของมีค่าอะไรตอบแทนท่าน มีเพียงของเล็กน้อยเพียงนี้ ท่านจะรับน้ำใจของพวกเราไว้ได้หรือไม่”