ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นปิ่นไม้ธรรมดา แต่ตรงปลายแกะสลักลายโบตั๋นดูงดงามนัก ใบหน้าหวานยิ้มกว้างแล้วรับมาด้วยความดีใจอย่างไม่เสแสร้ง
“สวยจัง”
“แค่ปิ่นไม้ธรรมดาขอรับ”
“สวยมาก ข้าชอบมาก ขอบคุณนะ” นางชอบปิ่นไม้นี้มากและไม่ลังเลที่จะปักปิ่นนั่นทันที ทำให้ใครต่อใครต่างยิ้มปลาบปลื้มชื่นชมในความเป็นกันเองไม่ถือตัวของนาง “ข้าส่งทุกท่านได้แค่นี้ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
“ขอบคุณคุณหนู”
หญิงสาวยิ้มรับแต่รู้สึกถึงการมาของอาชาสามตัวที่วิ่งตรงมายังจุดที่นางยืนอยู่ ดวงตาคมหรี่มองอย่างประเมินผู้มาใหม่ บุรุษบนหลังม้าบังคับม้าให้หยุดตรงหน้านาง เสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มบ่งบอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เคอหลิ่งหลินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่งไม่หวาดหวั่นอีกฝ่ายที่แม้จะมีผ้าปิดครึ่งหน้าแต่สายตาดุดันที่จ้องมองนางอยู่
“นี่ใช่จวนแม่ทัพจ้าวหรือไม่”
“อยู่ที่ผู้มามีจุดประสงค์ใด” นางตอบอย่างกวนโทสะอีกฝ่าย
ชายหนุ่มบนหลังม้าแค่นเสียงหัวเราะในลำคอก่อนกระโดดลงมาอย่างสง่างาม ยื่นบังเ**ยนม้าส่งให้เคอหลิ่งหลิน นางมองมือใหญ่ข้างนั้นแล้วค่อยมองหน้าอีกฝ่ายอย่างประเมินสถานการณ์
“เอาม้าไปเก็บ”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่ามาถูกที่หมายแล้ว”
“ขนาดคนรับใช้ยังปากกล้าคงมาไม่ผิดที่แล้ว”
‘คนรับใช้!’
เคอหลิ่งหลินกัดฟันแล้วเชิดหน้าขึ้น ผู้ที่ได้ยินยืนอยู่ใกล้สะดุ้งเฮือก จะเข้ามารับบังเ**ยนม้านำม้าไปเข้าคอกให้แต่มือเรียวคว้าไว้ก่อน นางยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร ชายทั้งสามก็ก้าวเดิน
เข้าไปในจวนแล้ว
“คุณหนู ข้าเอาม้าไปเก็บเองขอรับ” คนรับใช้เรียกนางเบาๆ ด้วยเกรงใจผู้เป็นนาย แม้นางคลุกคลีกับบ่าวไพร่ตลอดจนนายทหารชั้นผู้น้อย ทว่านางยังเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว
“ข้าต้องรบกวนแล้ว” หญิงสาวยื่นบังเ**ยนส่งให้ แต่อดชื่นชมม้างามตรงหน้าไม่ได้ นางยื่นมือไปลูบมันเบาๆ “ท่าทางจะเหนื่อย จะให้คนพาไปพักผ่อน”
หากไม่ติดว่านางมีที่ที่ต้องไปแล้วละก็ นางคงอยู่ดูว่าผู้มาเยือนเป็นใครกัน แต่เอาเถอะ หญิงสาวไหวไหล่เล็กน้อยแล้วเดินจากออกไปด้วยรอยยิ้ม นางไม่ได้ใส่ใจหรอกหากใครมองว่านางเป็นหญิงรับใช้หรือบ่าวไพร่ เพียงแค่ตะขิดตะข่วงใจอยู่ลึกๆ เป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใดกัน จึงได้มองผู้อื่นด้วยหางตาและหยามเหยียดเช่นนั้น
หญิงสาวเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยเส้นทางลัดที่ใช้ประจำ ไม่นานนักก็มาถึงโรงหมอแห่งหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อว่ามีหมอเทวดารักษาผู้คนด้วยความเมตตาอยู่ที่นี่ เคอหลิ่งหลินไม่ได้เจ็บป่วยอะไรที่ต้องการพบท่านหมอ นางมาหาอาจารย์ที่ช่วยฝึกสอนเพลงขลุ่ยให้นางต่างหาก
“น้องฟางเหนียง”
เสียงร้องทักก่อนตัวคนไปถึงทำให้สาวงดงามดุจดอกไม้แรกแย้มหันมามองด้วยรอยยิ้ม เบื้องหน้าของนางมีสมุนไพรหลายชนิดที่รอการคัดแยกจัดเก็บเผื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้
“พี่สาว” มู่ฟางเหนียงทักทายด้วยรอยยิ้มของหญิงสาววัยสิบหก “ไม่เจอพี่หลิ่งหลินเสียหลายวัน”
“ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อสองวันก่อน ยังเมื่อยขบอยู่จึงมิได้มาหาอาจารย์น้อย” เคอหลิ่งหลินพูดล้อเลียน แต่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงใสด้วยกริยาน่ารัก นางชะโงกหน้าข้ามไหล่มองดูสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเด็กสาว
“มีอะไรให้พี่สาวคนนี้ช่วยหรือไม่”
มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้ม “พี่หลิ่งหลินไปไหนมารึ มีอะไรสนุกๆ เล่าให้ข้าฟังบ้างซิ”
“ข้าก็แค่ไปทำงานให้พ่อบุญธรรมเท่านั้นเองไม่มีอะไรสนุกหรอก” เคอหลิ่งหลินยิ้มบางๆ นางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางเป็นใคร นางไม่มีเจตนาร้าย แต่ที่ต้องการปิดบังหรือโกหกเพียงแค่การฆ่าคนไม่ใช่ที่ควรพูดถึง โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับมู่ฟางเหนียงซึ่งนางนับเป็นสหายและน้องสาว
“ข้าอยู่ในแต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนจึงหวังจะได้ยินเรื่องราวผจญภัยในโลกกว้าง” เด็กสาวยิ้มบางๆ แล้วสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของจ้าวหลิ่งหลิน “นั้นอะไรรึ”
“อ้อ! ข้าได้ขลุ่ยเลาใหม่ เจ้าพอมีเวลาสอนข้าหรือไม่”
“ขลุ่ยไผ่เซียงเฟยเหมาะกับพี่หลิ่นหลิงนัก”
นางยื่นมือไปรับขลุ่ยเลาใหม่ที่เค่อหลิ่งหลินเอาออกมาอวดแล้วลองทดสอบเสียง เพลงขลุ่ยกังวานใสทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง ใบหน้าที่มักเคร่งเครียดเสมอเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย มองเด็กสาวตรงหน้าแล้วหวนคิดถึงภรรยาที่ล่วงลับไปแล้ว
“ท่านหมอมู่” เคอหลิ่งหลินคารวะบิดาของมู่ฟางเหนียง “ข้ามารบกวนอีกแล้ว”
“ฮืม”
ท่านหมอมู่เพียงพยักหน้ารับ มู่หยางซัว เห็นเคอหลิ่งหลินเข้าออกโรงหมอของเขาจนชินตา นางอายุมากกว่า มู่ฟางเหนียง ลูกสาวคนเดียวของเขาสามหรือสี่ปี ทว่านิสัยของเคอหลิ่งหลินซุกซนเหมือนเด็ก และยังชอบให้ลูกสาวของเขาช่วยสอนเพลงขลุ่ยให้อีกด้วย เขาเองเห็นว่าบุตรสาวไม่มีมิตรสหายจึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร จะว่าไปเคอหลิ่งหลินก็เป็นเสมือนผู้มีพระคุณของมู่ฟางเหนียงด้วย
เมื่อสองปีก่อนเขาเพิ่งพาลูกสาวมาอยู่ชายแดนแห่งนี้ เพราะได้ยินข่าวเรื่องการสู้รบและคิดว่าตนเองเป็นหมอควรจะอยู่เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ภรรยาของเขาจากไปนานแล้วทิ้งไว้เพียงลูกน้อยที่งดงามดุจมณีล้ำค่า แต่กระนั้นเขาก็ตระเวนรักษาผู้คนโดยพาฟางเหนียงไปด้วย นางจึงไม่ค่อยมีเพื่อนนัก แต่นางไม่เคยปริปากตำนิผู้เป็นบิดาเช่นเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไม่เห็นฟางเหนียงในโรงหมอทั้งที่ปกตินางจะคอยช่วยจัดยาให้เขาเสมอ กว่าจะรู้ตัวว่าฟางเหนียงหายตัวไปก็เย็นย่ำ เขากับชาวบ้านออกตามหาอยู่ราวสองวันก็ไร้วี่แวว หัวใจของผู้เป็นพ่อแทบแหลกสลาย นางเป็นแก้วตาดวงใจของเขาและเป็นสิ่งมีค่าสิ่งเดียวที่ภรรยาทิ้งไว้ให้ ทว่าเมื่อเข้าสู่เย็นวันที่สามเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งแบกร่างเล็กๆ อยู่บนหลังเดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน
“บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”
“ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!”
“ท่านพ่อ”
ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว”
“ข้า...ข้า...”
“นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่
“หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า”
“ข้า...ข้า...”
“นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี
“ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก”
“ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้”
“ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง”
“น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน
“ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็เลยยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้นาง ข้าเคอหลิ่งหลินอยู่ในเมืองนี้แหละ ถ้าน้องฟางเหนียงอยากเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก ข้าจะพาไปเอง ข้าเติบโตในป่าชำนาญเรื่องเส้นทางในหุบเขาดี”
“งั้นครั้งหน้าข้าคงต้องรบกวนพี่หลิ่งหลินอีกนะ”
“ครั้งหน้า! เจ้ายังจะกล้าไปอีกเรอะ! แค่นี้พ่อก็แทบจะสิ้นใจอยู่แล้ว!”
“อย่ากังวลไปเลยท่านลุง ข้าเคอหลิ่งหลินจะดูแลน้องฟางเหนียงเอง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเป็นปกติราวกับเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ “แต่ข้าว่าตอนนี้ท่านลุงให้น้องฟางเหนียงได้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า ส่วนข้าก็ต้องกลับบ้านแล้วเช่นกัน”
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ”
“บิดามารดาของข้าตายจากไปหลายปี ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่จวนแม่ทัพจ้าว”