ที่ร้านอาหารกึ่งผับย่านสถานบันเทิงชื่อดัง คืนวันเสาร์นักท่องเที่ยวหนาแน่นแทบทุกร้าน ปกเกศมีร้านประจำนั่นคือร้านของเพื่อนสนิท เป็นที่นัดหมายกันของกลุ่มแก๊งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพื่อนของปกเกศค่อนข้างเพลย์บอยและแบดบอยกันทั้งนั้น เปลี่ยนสาวควงบ่อยยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะยังไม่คิดจะมีพันธะผูกมัดใด ๆ อีกทั้งวัยที่เพิ่งจะสามสิบต้น ๆ พวกเขาก็ยังไม่นึกอยากจะหยุดที่ใคร ยกเว้นปกเกศซึ่งตอนนี้เพื่อนในกลุ่มยังไม่รู้ว่าตัวเขาก้ำกึ่งจะมีบ่วงรัดคอแล้ว เขาไม่เคยบอกใครเรื่องที่มีคู่หมั้น...แบบกึ่งยัดเยียด...และยังอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วด้วย
“เฮ้ย เติ้ง สาวโต๊ะนั้นเหมือนจะชอบมึงว่ะ เห็นมองมาที่มึงหลายรอบแล้ว ไม่ไปทำความรู้จักหน่อยเหรอวะ”
‘พร้อมรบ’ เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้สะกิดบอก ปกเกศหันไปมองตามทิศที่เพื่อนพยักเพยิดก็สบตากับดวงตาของฝ่ายหญิงที่กำลังมองมาที่เขาอย่างจงใจ เธอไม่คิดจะหลบสายตาเขาแม้แต่น้อย ท่าทีทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะเดินเข้าไปคุยลั้ลลาแบบผู้ชายไร้พันธะไปแล้ว และก็คงจะควงกันไปต่อที่ไหนสักแห่ง แต่ตอนนี้หากจะทำแบบนั้นมันรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลก ๆ
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะเล็กน้อยทดสอบความมึนเมาของตัวเองจากแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป เขายังดื่มไม่ถึงขั้นที่กฎหมายกำหนดหรอก
“เอ้า นั่งบื้ออยู่ได้ ไม่ไปเหรอวะ หมาป่าเขี้ยวโง้งแบบมึงปล่อยลูกแกะผ่านตาได้ไงวะ”
พร้อมรบกระตุ้นความเป็นนักล่าในตัวเขาให้พุ่งเข้าไปหาเหยื่อที่พร้อมเป็นอาหารเขาอยู่แล้ว
“ไม่ล่ะ”
“เฮ้ย จริงดิ”
“เออ”
“ทำไม หรือแกยังตัดใจจากวาวาไม่ได้ ยังหวังอยู่เหรอวะ”
“เปล่า”
“เปล่าแล้วยังไง”
ชายหนุ่มตวัดสายตามองหน้าเพื่อนแล้วพ่นลมหายใจออกอย่างแรงคล้ายหงุดหงิด จะบอกพวกมันยังไงว่าตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนรอเขาอยู่ที่ห้องพร้อมจะให้เขากลับไประบายความอยากได้ทุกเมื่อมาห้าเดือนแล้ว
ในเวลาเดียวกันกับที่ปกเกศยังไม่คิดจะกลับมาที่ห้อง คีติกาก็นอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องไม่เชิงว่ารอเขาอยู่ สี่ทุ่มกว่าน้องสาวของปกเกศเห็นเธอออนไลน์อยู่จึงโทร. ผ่านโปรแกรมสนทนาสีเขียวเข้ามาหาเธอ
{หลิวยังไม่นอนใช่มั้ย}
ด้วยความที่อายุไล่เลี่ยกัน ปรียาดาจึงขอเปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นของคีติกาแทนคำว่า ‘อาซ้อ’ โดยให้เหตุผลว่าเรียกแบบนี้ดูสนิทและรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า ซึ่งคนที่ยังไม่ได้เป็นพี่สะใภ้อย่างเป็นทางการก็ไม่ได้ขัดอะไร
“ยังจ้ะ มีอะไรรึเปล่า”
{เฮียเติ้งกลับมายังอะ}
“ยังเลย”
{อ้าว ยังอีกเหรอ ชักเหลวไหลแล้วนะเฮียน่ะ ปล่อยให้เมียรออยู่ที่ห้องคนเดียวได้ไง}
น้องสาวโวยแทนพี่สะใภ้ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ไม่เป็นไรหรอก ให้เฮียเขาไปเที่ยวกับเพื่อนเถอะ”
{กลัวจะไม่เที่ยวกับเพื่อนอย่างเดียวน่ะสิ หึ เฮียนะเฮีย มีเมียแล้วยังไม่เลิกนิสัยเที่ยวอีก แบบนี้จะได้เห็นดีกัน นี่หลิว แต่งตัวรอเลยนะ เดี๋ยวผิงจะไปรับที่คอนโด}
“หือ? ผิงจะมารับหลิวทำไม” คีติกาไม่เข้าใจ
{ก็จะพาไปตามเฮียน่ะสิ ไปดูให้เห็นกับตาว่าอยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับใครกันแน่}
“ไม่ดีมั้ง ทำแบบนี้เฮียจะโกรธเอานะ อย่าไปกวนเฮียเลย เดี๋ยวก็กลับ”
น้องสาวที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กอย่างปรียาดาหรือจะสนคำทักท้วงหากคิดจะทำอะไรแล้วเธอต้องทำให้ได้ ยิ่งเรื่องแกล้งพี่ชายแบบนี้สำหรับน้องเล็กของบ้านอย่างปรียาดายิ่งเห็นเป็นเรื่องสนุก
{เถอะน่า จะได้รู้ไง แต่งตัวรอไม่เกินยี่สิบนาทีผิงจะไปรับ}
น้องสาวตัวแสบของปกเกศขับรถมารับคีติกาช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้เล็กน้อย คีติการู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ถูกพาออกมาแบบนี้ ถ้าปกเกศเห็นเธอเข้าคงต้องโกรธแน่ ๆ เพราะเขาบอกแล้วว่าไม่ชอบให้ใครมาตามเจ้ากี้เจ้าการคอยถามว่าเขาไปไหน ไปกับใครไปทำอะไร หรือกลับกี่โมง
“ผิง ทำแบบนี้จะดีเหรอ”
{ดีสิ เราก็ไม่ต้องบอกว่าไปตามเฮีย แต่หลิวบอกไปว่าผิงอยากออกไปกินข้าว เลยชวนหลิวออกมาเป็นเพื่อนเพราะเป็นทางผ่าน ถ้าเฮียไม่มีอะไรปิดบังจะเอาอะไรมาโกรธพวกเรา}
น้องสาวของเขารู้ว่าพี่ชายจะไปที่ไหน ซึ่งในร้านนั้นก็มีอาหารให้สั่งนอกจากเครื่องดื่ม คีติกาสวมกางเกงเข้ารูปสีดำ สวมเสื้อยืดแขนกุดสีขาวและเสื้อคลุมทับอีกชั้น รวบผมขึ้นเป็นทรงหลวม ๆ ใบหน้าไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอาง ปรียาดาชวนแบบฉุกละหุกไม่ได้ให้เวลาทำอะไรมากไปกว่าเปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นชุดออกข้างนอก หากแต่เครื่องหน้าที่ชัดเจนก็ทำให้ใบหน้าของเธอดูสวยเด่นออกมา
ปรียาดาจอดรถไว้ริมถนนที่มีรถจอดเรียงรายกันทั้งสองฟาก ก่อนจะพาคีติกาเดินมายังร้านเป้าหมายสองสาวผ่านเข้าไปในร้านอย่างง่ายดายเพียงแค่ยื่นบัตรประชาชน เป็นครั้งแรกสำหรับคีติกาที่เข้ามาในสถานที่แบบนี้ เสียงเพลงอึกทึกสลับกับแสงไฟที่ฉวัดเฉวียนไปมาทำเอาคนไม่เคยเที่ยวกลางคืนวิงเวียนตาลาย รู้สึกปวดศีรษะตุบ ๆ หญิงสาวผู้ที่โลกของเธอมีแค่เรียนเสร็จแล้วกลับบ้านไม่เข้าใจนักว่าทำไมจึงมีคนชอบมารวมตัวกันหรือพบปะกันในสถานที่ที่มีเสียงดังจนต้องตะโกนคุยกันแบบนี้