บทที่ 5
มือที่เคยขาวนวลกุมมีดพกเอาไว้แน่นจนเผยให้เห็นเส้นเลือดสีเขียวที่ปูดโปนขึ้นมา เฉิงเหยาเงี่ยหูฟังทุกการเคลื่อนไหวด้านนอก ความตึงเครียดมากมายถาโถมเข้ามายิ่งกว่าตอนที่ถูกกระแสน้ำหลากพัดผ่านจนบาดเจ็บไปทั้งร่าง
ไม่ช้าเกี้ยวก็ถูกยกขึ้นและเคลื่อนไหว
หัวใจของเฉิงเหยาเต้นไม่เป็นระส่ำ นางสูดลมหายใจเข้าออกด้วยความตื่นกลัว
แต่แล้ว…..
สิ่งที่นางหวาดกลัวก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวหยุดลงและมีเสียงของแม่สื่อเรียกขานให้เจ้าสาวลงจากเกี้ยว
เพื่อความแน่ใจนางค่อย ๆ เปิดผ้าม่านออกอีกครั้ง เกี้ยวมาหยุดอยู่หน้าจวนโหวอู่อ๋องแล้วจริง ๆ
“พระชายาเสด็จลงจากเกี้ยวเถิดเพคะ”
พระชายา หัวคิ้วบางขมวดอีกครั้ง นางยังมิได้แต่งเข้าจวนอ๋อง เหตุใดแม่สื่อที่มาเชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยวถึงเรียกขานนางเช่นนี้
“ช่างเถอะ แต่ละที่คงจะมีธรรมเนียมแตกต่างกัน” เฉิงเหยาปัดทิ้งความสงสัยไป ในเมื่อครานี้นางตั้งใจจะแต่งเข้าจวนอ๋องแล้ว นางจะทำตนดั่งไผ่ที่ลู่ลม สายลมพัดไปทางใด นางก็เคลื่อนไหวไปตามกระแสลมนั้น อยู่ราวกับคนไร้ตัวตนในจวนอ๋อง น่าจะเป็นสิ่งที่จะสามารถรักษาชีวิตของตนเอาไว้ได้มากที่สุด
ชิงชิงรีบวิ่งเข้ามาประคองเมื่อเห็นคุณหนูใหญ่ลงมาจากเกี้ยว นางพยายามติดสินบนทหารที่ท่านอ๋องส่งมาก็แล้ว ใช้มารยาสตรีล่อลวงก็แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะพาคุณหนูใหญ่ออกจากเกี้ยวเพื่อไปสังหารได้เลย คำสั่งเด็ดขาดของเจ้านายของนางคือ ปิงเฉิงเหยาต้องไม่ได้เป็นพระชายาอ๋อง แต่จนแล้วจนรอดนางก็ยังทำไม่สำเร็จ จนขบวนมาหยุดที่หน้าจวนโหวแล้ว
“ไม่ต้อง หน้าที่เจ้าสิ้นสุดลงแค่ตรงนี้ จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของข้า” แม่สื่อหันไปสั่งสาวใช้ที่วิ่งเข้ามาเตรียมจะประคองเจ้าสาว นางแทรกกายอวบอิ่มเข้าไปรับหน้าที่นั้นแทน
ชิงชิงอ้าปากค้าง นางกำลังคิดว่าทางเลือกสุดท้ายอาจจะต้องใช้เข็มพิษ แล้วใส่ความว่า เป็นคุณหนูใหญ่ที่ไม่อยากแต่งงานจึงกินยาพิษระหว่างทางก่อนมาถึง แต่แล้วความหวังสุดท้ายที่จะเข้าใกล้ปิงเฉิงเหยาก็ถูกกระชากออกไปต่อหน้าต่อตา
เจ้าสาวใต้ผ้าคลุมสีแดงยกยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจราวกับยกภูเขาทั้งหมดออกจากอก เป็นอย่างที่คาดเอาไว้จริง ๆ หากนางถึงจวนอู่อ๋อง ภัยร้ายก็จะหมด เฉิงเหยาเห็นแม่สื่อเดินเข้ามาแทนที่ชิงชิงและให้การต้อนรับอย่างเต็มที่ นางจึงรู้ว่าความเสี่ยงที่เคยคิดมาก่อนหน้านี้ได้คลี่คลายลงแล้ว หัวใจที่เคยเต้นรัวกลับเริ่มสงบลง ร่างบางยื่นมือออกไปจับมือเหี่ยวย่นของแม่สื่อด้วยความยินดี
แม่สื่อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พระชายาเสด็จเข้ามาในจวนเถิดเพคะ ท่านอ๋องยืนรออยู่ภายในแล้ว”
เฉิงเหยาเดินตามแม่สื่อเข้าสู่จวนอ๋อง พร้อมกับแผ่นหลังที่ตั้งตรงและแสดงออกถึงความสง่างาม นางอดที่จะรู้สึกเบิกบานใจไม่ได้
ชิงชิงที่ยืนอยู่ด้านหลังตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงนี้ นางทำได้เพียงยืนมองเฉิงเหยาเดินห่างออกไปด้วยความอับจนใจ
“ไม่เป็นไร” ชิงชิงพึมพำกับตัวเอง “ข้าเพียงแค่ต้องคิดแผนใหม่ และทำให้แน่ใจว่าคุณหนูใหญ่จะไม่สามารถเป็นพระชายาได้”
“พระชายา หม่อมฉันจะพาท่านไปยังเรือนรับรอง ท่านอ๋องและแขกรออยู่ที่ห้องโถงนานแล้ว เดินตามหม่อมฉันมาเถิดเพคะ”
เฉิงเหยาพยายามเก็บความรู้สึกหลากหลายที่แล่นผ่านใจขณะที่เดินตามแม่สื่อเข้าสู่จวนโหวอู่อ๋อง นางมองผ่านผ้าคลุมแดง เห็นกำแพงจวนที่สูงใหญ่และทหารที่ยืนเฝ้าทั่วทุกมุม นางรู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัยที่จวนแห่งนี้จะมอบให้ แม้แต่นกยังไม่มีบินผ่านสักตัว แต่เมื่อก้าวเข้ามาแล้วนางมิคิดจะหันหลังกลับ
"ก็ดี..." เฉิงเหยาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ความหวาดหวั่นในใจเริ่มจางหายไป นางคิดถึงความเป็นไปได้ที่อาจจะบังเอิญพบกับจางหมิ่น แต่เมื่อเห็นการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดในจวน นางก็รู้สึกโล่งอก ความกลัวที่เคยมีคลายลงไปมากจนเผลอยิ้มออกมา
ทว่าทันทีที่เดินมาเรือนรับรอง ตามธรรมเนียมเจ้าสาวต้องก้าวผ่านเตาไฟก่อนเริ่มพิธี เพื่อขับเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ตามติดมาจากบ้านเดิมก่อนที่จะเข้าสู่บ้านเจ้าบ่าว
เฉิงเหยาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่ตรงข้ามเตาไฟ ใบหน้านั้นทำให้นางหน้าซีดเผือด
ตาฝาด ข้าต้องตาฝาดแน่ ๆ
นางตั้งสติเล็กน้อยและกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมองบุรุษที่ยืนอยู่ตรงข้ามเตาไฟอีกครั้ง ใบหน้าของจางหมิ่นนั้นปรากฏชัดเจนในชุดเจ้าบ่าว มันเป็นภาพที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น
บุรุษที่ยืนตรงหน้านางในชุดเจ้าบ่าวนั้นหาใช่ใครอื่นไม่
เขาคือจางหมิ่น!
จางหมิ่นที่ยืนอยู่ตรงนั้น ดูสง่างามในชุดเจ้าบ่าวสีแดงเพลิง ดวงตาของเขายังคงมองตรงมาที่นางอย่างอบอุ่นเช่นเคย ราวกับว่าเขากำลังรองานแต่งในวันนี้อย่างใจจดจ่อเสียอย่างนั้น
แม่สื่อพูดเสียงเบาเพื่อไม่ให้เป็นการขัดจังหวะพิธี “พระชายา โปรดก้าวผ่านเตาไฟเพื่อทำพิธีเข้าสู่บ้านเจ้าบ่าวเถิดเพคะ”
เฉิงเหยาเหลือบมองไปที่เตาไฟที่ลุกโชติช่วงและรู้สึกถึงความร้อนแรงจากเปลวไฟ สายตาของนางไม่ได้ละจากจางหมิ่น แม้ว่าเขาจะส่งยิ้มมาราวกับว่ากำลังให้กำลังใจนางก้าวผ่านเตาไฟ แต่เฉิงเหยาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดในใจนั้นมีมากมาย
เมื่อเห็นเจ้าสาวมีความลังเล อ๋องหนุ่มส่งสัญญาณให้แม่สื่อที่ยืนประคองนางอยู่ หญิงชราไม่รอช้ารีบดันแผ่นหลังบอบบางให้ก้าวไปด้านหน้า
เฉิงเหยาไม่มีทางเลือก ก้าวแรกที่นางย่างเท้าเข้าไปใกล้เตาไฟ รู้สึกได้ถึงความร้อนแรงที่แผ่เข้ามา นางพยายามไม่ให้ความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลแสดงออกมา
เมื่อก้าวข้ามเตาไฟและมายืนอยู่ข้างหน้าจางหมิ่น เขาก็ยิ้มบาง ๆ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ช่วยบรรเทาความรู้สึกในภพชาติก่อนได้เลย ครั้งสุดท้ายที่จากกัน
เขาบีบคอนางจนสิ้นใจ
“เหยาเหยา” เสียงของเขาดังขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนมันมีทั้งความอบอุ่นและคะนึงหา
ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา แค่เพียงได้ยินเสียงเขาเรียกใจนางก็สั่นคลอน เหตุใดนางจึงได้รักคนที่หน้าไหว้หลังหลอกได้ถึงเพียงนี้ รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขาทำ เป็นเพียงภาพลวงตา แต่ใจนางกลับไม่รักดี ไหวหวั่นไปกับมัน
มีคำกล่าวไว้ว่า
ที่ไม่กลับไปหาคนรักเก่า เพราะว่าการพบต้นไม้ต้นเดิมสองรอบในป่า นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังหลงทาง
เฉิงเหยาเงยหน้ามองเขาผ่านผ้าคลุมสีแดงและพยายามทำตัวให้สงบราวกับว่าไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ไม่ว่าทั้งในชาตินี้หรือชาติก่อน ทั้งที่ความจริงแล้วเฉิงเหยาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง โลหิตเย็นเฉียบไปจนถึงฝ่าเท้า
จางหมิ่นและอู่อ๋องคือคนคนเดียวกัน!
“ท่านอ๋อง”