“ฉันให้เพราะรู้ว่าเธอเริ่มคิดได้ ให้เวลาตัวเองบ้างนะริณ ถ้าเหนื่อยก็มองมาที่ฉัน สำหรับฉัน ถ้าเธอต้องการ ฉันมีเวลาให้เสมอ อย่าลืมนะ”
เฌอริณตื้นตันแทบพูดไม่ออก น้ำตาใสๆ รื้นขึ้นมา เธอยิ้มค้าง ยิ้มอยู่อย่างนั้นแล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“ถ้าจะขนาดนี้แต่งงานกับฉันเลยไหม”
“อา...เธออย่าพูดเรื่องน่ากลัวสิ แต่งกับเธอหูฉันได้ชาเพราะเสียงบ่นแน่ๆ หึๆๆ”
“ตาบ้า...ฉันไม่ดีตรงไหนยะ”
“ดี เธอดีทุกอย่างนั่นแหละ เสียอย่างเดียวคือเธอเป็นเพื่อนฉัน และฉันคงไม่แต่งงานกับเพื่อนตัวเองหรอกน่า”
ไวน์ในแก้วถูกยกกระดกยามเอ่ยจบ เฌอริณหน้าเจื่อน เสหยิบแก้วไวน์มาจิบเช่นกัน คงมีสักวันที่มาร์คินใจอ่อน และมองเธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาสามารถลากขึ้นเตียงได้ สักวันเถอะสักวัน!
หนุ่มสาวทิ้งบทสนทนาเอาไว้แค่นั้นเมื่อมื้อค่ำแสนอร่อยมาเสิร์ฟจนครบ เป็นอีกวันที่มาร์คินมีความสุข การได้ร่วมยินดีในวันดีๆ กับสหายดีๆ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์คือความรื่นรมย์ของเขา เฌอริณไม่ใช่แค่เพื่อนรัก หล่อนคือคนในครอบครัว หากหล่อนทำเรื่องที่ผิดมหันต์ คนทั้งโลกสามารถทอดทิ้งหล่อนได้ ยกเว้นเขา เขาไม่มีทางทอดทิ้งเฌอริณ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่มีวัน...
พริ้มเพราตามมาร์คินและเฌอริณมายังห้องอาหารภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง มันหรูเสียจนตำแหน่งผู้ช่วยเลขามีค่าไม่ต่างจากเด็กเสิร์ฟ พวกเขานั่งโต๊ะวิวดีสุดที่มองลงไปเห็นตึกรามบ้านช่อง มันกระจ่างด้วยแสงจากหลอดไฟหลากสี มองๆ ไปแล้วสวยดีไม่หยอก ในขณะที่เธอนั่งอยู่โต๊ะมุมอับที่แทบจะติดกับห้องน้ำ สั่งข้าวผัดกับน้ำเปล่ามาประดับโต๊ะ กินมันอย่างเอร็ดอร่อยทั้งที่รสชาติก็ไม่ต่างจากร้านอาหารตามสั่งข้างถนน วิวเดียวของเธอในตอนนี้คือบอสมาร์กับคู่ควงของเขา
มาร์คินยิ้มแย้มและดูมีความสุขยามอยู่กับเฌอริณ พวกเขาเหมาะสมกันจนเธอใจห่อเหี่ยว แน่ล่ะ เธอก็แค่ผู้หญิงที่บังเอิญไปอยู่บนเตียงของเจ้านาย ส่วนเขาก็ฟาดเรียบตามระเบียบมาร์คิน ที่สำคัญก็คือ เธอปฏิเสธการเป็นนางบำเรอของเขาไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เก็บเงินให้ได้เยอะๆ จะได้ไปใช้ชีวิตแบบไม่แคร์โลกอย่างที่ต้องการเสียที
“แล้วฉันจะมานั่งมองพวกเขาทำไมเนี่ย กลับบ้านดีกว่า” บอกตัวเองแล้วเรียกพนักงานให้มาเก็บเงิน เธอลุกไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระอยู่ในนั้นชั่วครู่ ทว่าพอออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงของมาร์คินก็ยืนขวางทางเธออยู่
“คุณมาทำอะไรที่นี่” ถามเพราะเห็นตอนที่พริ้มเพราเดินมาเข้าห้องน้ำ เขาเองก็กำลังจะกลับ เฌอริณมีธุระด่วนต้องกลับก่อน ดินเนอร์เลยต้องร่นให้จบลงในเวลาอันสั้น
พริ้มเพราตาโต ดวงตากลิ้งกลอกไปมาด้วยกำลังคิดหาคำแก้ต่างที่เข้าท่าที่สุด
“ก็มากินข้าวสิ”
“ที่นี่เนี่ยนะ น้ำเปล่ายังแก้วละเป็นร้อย”
คำพูดที่เหมือนจะดูแคลนกันทำเอาพริ้มเพราหน้าตึง
“แล้วไงคะ คุณคิดว่าฉันไม่มีปัญญามากินที่นี่หรือไง”
“ผมเปล่าพูด”
“แต่คุณคิด! ฉันจะบอกให้นะคะบอส แค่มากินข้าวที่นี่ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรหรอก ใช้แค่เงินก็พอ เงินน่ะ รู้จักใช่ไหม”
มาร์คินพยักหน้าหงึกๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมพริ้มเพราต้องใส่อารมณ์ขนาดนี้ด้วย เขาไปทำอะไรให้หล่อนกันล่ะ
“โอเคๆ ผมกลับโต๊ะดีกว่า”
เขาว่าแล้วเดินจากมา ไม่อยากทะเลาะกับพริ้มเพราในเรื่องไร้สาระ
มาร์คินกลับมาเคลียร์บิล จ่ายค่าเสียหายด้วยบัตรเครดิตสีทองอร่าม ตรงข้ามกับพริ้มเพราที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยว่าเงินในกระเป๋าไม่พอจ่ายค่าอาหาร แถมบัตรเครดิตก็รูดเต็มวงเงินแล้วทุกใบ
พริ้มเพราจำต้องลุกมาหาเจ้านาย ดีที่ตอนนี้แม่สาวเฌอริณกลับไปแล้ว เธอเลยไม่ต้องทนอับอายยามต้องมาขอความช่วยเหลือ
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย มีอะไรให้ผมช่วยงั้นหรือ”
“เคลียร์บิลให้หน่อยค่ะ คือว่า...เงินฉันไม่พอ” อ้อมแอ้มบอกเขาอย่างอายๆ
มาร์คินอมยิ้มแล้วส่ายหัว หยิบการ์ดสีทองออกมายื่นให้บริกรอีกรอบหนึ่ง
“ดื่มไวน์ไหม ผมเลี้ยง”
พริ้มเพราส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ฉันยังไม่หายไข้ดี” เธอว่า
มาร์คินสั่งไวน์มาขวดหนึ่ง นั่งละเลียดมันพร้อมๆ กับมองหน้าผู้ช่วยเลขา มันรื่นรมย์เกินจะกล่าว เพราะตอนนี้หล่อนถอดแว่นสายตาอันหนาเตอะออกแล้ว
“ฉันขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณนะคะ มันเป็นอาการข้างเคียงของคนที่เพิ่งฟื้นไข้น่ะ” เธอแก้ต่าง ยกมือนวดหัวคิ้วด้วยความเมื่อยล้า พอถอดแว่นออกก็เห็นหน้ามาร์คินไม่ชัดเท่าไหร่ หน้าเขาเหมือนภาพวาดสีน้ำมันเบลอๆ ที่คนสายตาสั้นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เธอไม่อยากใส่คอนแทคเลนส์ตอนนี้เพราะใกล้จะได้เวลานอนแล้ว
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ แล้วคุณ...แค่มาทานข้าวจริงเหรอ”
คำถามนั้นทำเอาพริ้มเพรากลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ขอไวน์อีกแก้ว” เธอร้องขอจากบริกร กลิ่นไวน์ที่ถูกเทลงแก้วกำลังยั่วต่อมอยากของเธออยู่ ให้ตายสิ ไวน์แพง ผู้ชายก็หล่อ เหลือก็แค่รสชาติเท่านั้น และเธอกำลังจะได้ลิ้มรสมันแล้ว
“อืม...ดีจัง” เธอว่าแล้วกระดกไวน์เสียเกลี้ยงแก้ว
มาร์คินรินให้หล่อนอีกโดยไม่รอบริกรมาบริการ “คุณชอบไวน์เหรอ”
“ฉันชอบเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด” เธอสารภาพ มาร์คินนิ่วหน้า
“แอลกอฮอล์จะทำให้คุณขาดสติ เหมือนคราวที่แล้ว”
พริ้มเพราทำหน้าบึ้ง
“ฉันไม่เคยขาดสติ และถึงจะขาด เพื่อนก็จะคอยช่วยฉันเสมอ ยกเว้นเมื่อคืนก่อน เป็นคุณที่ฉกฉันไปแทนที่จะเป็นเพื่อนฉัน โอ...ตายแล้ว! ทำไมพวกนั้นไม่โทรหาฉันเลย” ว่าแล้วก็ควานหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เธอพบว่ามันแบตเตอรี่หมด และไม่รู้ว่าหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วย
“คุณโอเคไหมพริ้ม” ถามด้วยห่วงใย ท่าทีหล่อนเหมือนจะสติแตก
“ไม่โอเค ขอไวน์อีกแก้วด้วย เอ่อ...ฉันอยากได้ที่ชาร์ตแบตรุ่นนี้ หรือไม่ก็โทรศัพท์หยอดเหรียญ ฉันต้องโทรหาเพื่อน ก่อนที่จะโดนแช่งชักหักกระดูก"
มาร์คินรินไวน์ให้พริ้มเพราอีกแก้ว ทั้งยังส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้หล่อน
“โทรสิ”
“แต่ว่า...นี่มันโทรศัพท์ของเจ้านาย”
“คิดว่าผมไม่ใช่เจ้านายสักนาที แล้วโทรซะ”
พริ้มเพรากระดกไวน์เกลี้ยงแก้วอีกครั้ง ดึงแว่นสายตามาสวมแล้วเริ่มกดเบอร์เพื่อนรักลงในโทรศัพท์มือถือของมาร์คิน เธอโทรหากมลศักดิ์ก่อน เพราะถ้ากมลศักดิ์รู้ กุ้งนางก็จะรู้ไปด้วย
เสียงรอสายดังอยู่ราวนาทีเศษ
“ฮัลโหล กมลศักดิ์ครับ”
“โอ๊ย...นังกิ๊บ ฉันเอง แกอย่าครับสิ ฟังแล้วจั๊กจี้รูหู”
“เฮ้ย! อีพริ้ม! อีหอยหลอด อีชะนีขี้เมา หายหัวไปไหนมายะข้ามวันข้ามคืน ติดต่อก็ไม่ได้ โทรศัพท์มีไว้ปาหัวหมารึไง!”
“โอย...โดนเป็นชุดเลย แกอย่าเพิ่งด่าฉันสิ ฉันตั้งตัวไม่ทัน”
กมลศักดิ์กัดฟันเบาๆ การที่ติดต่อพริ้มเพราไม่ได้ ทำให้ความห่วงใยผุดขึ้นในหัวใจจนล้น
“ฉันจะบ้าตาย! เกือบจะไปแจ้งความแล้วเนี่ย แกหายไปไหนมาฮะ รู้ไหมว่าคืนก่อนฉันจูงชะนีที่ไหนกลับบ้านก็ไม่รู้” กมลศักดิ์บ่นแล้วปิดประตูห้องเช่าเอาไว้อย่างเดิม เขากำลังจะเดินไปหากุ้งนางที่ห้องข้างๆ ตั้งใจไว้ว่าถ้าพริ้มเพราไม่โทรมาก่อนสองทุ่มจะชวนกันไปโรงพักให้รู้แล้วรู้รอด
“เหมือนฉันจะรู้ล่ะว่าใคร” ชะนีขี้เมาตอบเพื่อนเสียงปลงๆ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ กระดกไวน์อีกแก้วที่มาร์คินขยันรินให้เหลือเกิน เมื่อเช้าเธอกลับบ้านนะ แต่เพื่อนๆ ไปทำงานกันหมดเลยไม่เจอ พวกเธอพักอยู่อะพาร์ตเมนต์เดียวกันแต่คนละห้อง
“หมายความว่าไงยะ”
“คือเรื่องมันยาวน่ะกิ๊บ พรุ่งนี้วันหยุด แล้วจะเล่าให้ฟัง”
“แต่ฉันจะฟังตอนนี้ เล่ามานังพริ้ม”
“ม่าย...ฉันเล่าตอนนี้ไม่ได้”
“ทำไมเล่าไม่ได้ นี่แกอยู่ไหน”
“อยู่...ฉันอยู่ที่ไหนนะคะบอส” ถามเขาแล้วหลับตานึกชื่อโรงแรม เหมือนว่าชื่อนั้นจะเลือนหายไปพร้อมๆ กับแอลกอฮอล์ที่เพิ่มเข้ามาในกระแสโลหิต
“โรงแรม...” มาร์คินบอกชื่อโรงแรม