บทที่ 3
ปมพิศวาส
พริ้มเพรายิ้มสวย ตาเริ่มหวาน รู้ตัวว่าไม่ค่อยถูกกับไวน์นักแต่ก็ยังชอบดื่ม เธอดื่มได้ทั้งคืน แต่ต้องค่อยๆ ละเลียด ไม่รีบ ไม่ผลีผลาม
“ฉันอยู่ที่ห้องอาหารของโรงแรม...”
“กับผู้ชายหรือยะ!”
“กับเจ้านายโว้ย! แค่นี้นะนังกิ๊บ ฉันว่าฉันเมาไวน์แล้วว่ะ อ้อ...ไม่ต้องโทรมาเบอร์นี้นะ เบอร์เจ้านาย กลับถึงบ้านจะชาร์ตแบต แกค่อยโทรมานะ แค่นี้แหละ”
“เฮ้ย! เดี๋ยวสินังพริ้ม เดี๋ยว!”
ตู๊ด...
พริ้มเพราตัดสายเพื่อนทิ้ง เพราะรู้นิสัยกมลศักดิ์ดี หากไม่รีบวางสาย คงได้ถูกซักจนขาวสะอาด “ขอบคุณนะคะ นี่มือถือคุณ” ว่าแล้วเอาโทรศัพท์เช็ดชายเสื้อยิกๆ ก่อนจะส่งให้เขา ส่งมันพร้อมกับรอยยิ้มสวย เอาให้สวยค้างคาในดวงตาเขาเลยล่ะ
มาร์คินรับโทรศัพท์คืนมาแบบยิ้มๆ ชักจะเลี่ยนรอยยิ้มหวานของพริ้มเพราเหมือนกัน
“อย่ายิ้มเหมือนอ่อย เดี๋ยวผมเข้าใจผิด”
“หึๆ บ้าสิ คุณเป็นเจ้านายฉันนะ” ว่าแล้วกระดกไวน์อีกแก้ว ไวน์อะไรดีอย่างนี้ กระดกเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที
“แต่ตอนนี้เลิกงานแล้ว คุณก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่บังเอิญเงินไม่พอจ่ายค่าอาหาร และผมเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย”
เขาว่าแล้วยิ้มทั้งตาทั้งปาก พริ้มเพราส่ายหน้ารัวๆ จะให้เขาเอาความดีความชอบเข้าตัวก็กระไรอยู่
“สวรรค์แค่เล่นตลกเท่านั้นเอง เอาล่ะ...ฉันว่าไวน์ของคุณมันชักจะยังไงยังไงแล้วนะ ฉันกำลังตาลายและเห็นคุณมีสองหัว” ว่าแล้วเริ่มกะพริบตาถี่ๆ แก้วไวน์ที่ถืออยู่ถูกปล่อยทิ้งเพราะไม่สามารถยกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากได้อีก
“คุณเมาแล้วพริ้มเพรา”
“ฉันเปล่า...ฉัน...ไม่ได้... ใช่...ฉันเมา!”
เคล้ง!
สิ้นคำพูดของพริ้มเพรา ศีรษะทุยๆ ก็ได้ใช้โต๊ะอาหารต่างหมอน แก้วไวน์ที่ตั้งอยู่ร่วงลงพื้น มันแตกเป็นหลายเสี่ยง ดีที่บนโต๊ะไม่มีจานอาหาร ไม่เช่นนั้นสภาพของหล่อนคงดูไม่จืด
มาร์คินเลิกคิ้วสูงแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาเรียกบริกรมาเคลียร์ค่าไวน์ พอเสร็จเรียบร้อยก็อุ้มพริ้มเพราออกมาจากที่นั่น ท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของใครหลายๆ คน
เวลา 22:30 นาฬิกา
รองเท้าส้นสูงของ เฌอริณ รัชพงษ์ ดาราสาวดาวรุ่ง ถูกถอดไว้ในตู้เก็บรองเท้า เวลานี้ดึกมากแล้ว ไฟในห้องกว้างไม่ได้เปิด ประตูห้องฝั่งตรงข้ามห้องของเธอไม่มีแสงไฟลอดออกมา แสดงว่าคนในนั้นคงหลับไปแล้ว เธอไม่ได้ใส่ใจคนข้างในมากนัก แต่ตรงไปที่ตู้เย็น เปิดมันออกเพื่อจะพบว่ามีความห่วงใยอัดแน่นอยู่ในนั้น
กระดาษโพสต์อิทสีเหลืองมากกว่าหนึ่งแผ่นถูกแปะติดกับทุกกล่องทุกขวด ไม่ว่าจะเป็นกล่องอาหารแช่แข็งหรือแม้แต่ขวดนมและถ้วยโยเกิร์ต มีวันหมดอายุเขียนไว้ด้วยลายมือสุภาพเรียบร้อยยิ่งกว่าผู้หญิง เธอยิ้มให้มัน หันมองประตูห้อง บานนั้น อีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ได้โง่ขนาดกินของหมดอายุซะหน่อย ไม่ต้องทำก็ได้มั้ง”
เธอเอ่ยแล้วหยิบโยเกิร์ตออกมาถ้วยหนึ่ง ดึงโพสต์อิทออก มันเขียนวันหมดอายุว่าเหลืออีกเจ็ดวันเป็นอย่างต่ำ เธอเดินไปที่ประตูบานนั้น เปิดมันออก คนที่อยู่บนเตียงขยับกายยุกยิก แลเห็นใบหน้าขาวรำไร เธอเดินเข้าไปหา นั่งลงข้างเขาแล้วจ้องมองใบหน้านั้น
“หลับเป็นเด็กเชียว” เอ่ยแล้วยิ้มเอ็นดู วางมือข้างหนึ่งบนกระหม่อมแล้วยีผมคนหลับเล่นเบาๆ
“อือ...พี่ริณ มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกี้ ฉันปลุกนายเหรอ”
คนหลับปรือตาขึ้นมอง ไม่ยอมเปิดไฟหัวเตียง คุยกันแบบนี้ก็เข้าใจ
“ตื่นแล้ว” เขาว่า
“งานใหม่เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ”
“ดีแล้วล่ะ นอนต่อเถอะ ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน”
คนบนเตียงรับคำท่ามกลางแสงสลัว มองเฌอริณก้าวตรงไปที่ประตู มองจนลับร่างของคนที่ตนเรียกว่า พี่ แล้วค่อยล้มกายลงนอนต่อ หล่อนก็เป็นของหล่อนอย่างนี้ กับเขาแล้วมักเย็นชาเสมอ แต่เขาไม่เคยโกรธเคือง แค่ยังได้เห็น ได้ยินเสียงลมหายใจของพี่ริณก็พอ
รถคันหรูของบอสมาร์เข้าจอดในซองที่ลานจอดรถหลังใหญ่ ไฟในสวนอันกว้างขวางยังส่องกระจ่างไม่จางหาย เม็ดฝนหล่นร่วงโปรยปราย คล้ายจะช่วยผ่อนคลายความร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ พริ้มเพรายังครางอืออา หล่อนเมามากทั้งที่ดื่มไวน์ไปไม่กี่แก้ว หล่อนปรือตาขึ้นมองเมื่อรถจอดสนิท ก่อนจะหันไปมองรอบๆ แว่นสายตาอันหนาเตอะถูกเขาถอดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท
“บอสคะ!” เลขาขี้เมาเอ่ยเรียกเจ้านาย มีรอยยิ้มสมชื่อพริ้มเพรากระจ่างทั่วใบหน้า “ไหนล่ะเตียง เตียงอยู่ไหน เค้าจาเอา จาเอาๆๆ” คนสวยร้องขอ ทำหน้าเง้าเหมือนเด็กน้อย ทั้งดิ้นเร่าในชุดทำงานของสาวออฟฟิศ นี่เป็นเพราะไวน์อย่างนั้นหรือ
“หึๆๆ เธอนี่...เหลือเชื่อจริงๆ” พูดแล้วส่ายหัว เปิดประตูรถออกแล้วมาอุ้มเอาพริ้มเพราขึ้นสู่อ้อมแขน ไม่มีการขัดขืนให้วุ่นวาย บอกได้คำเดียวว่าตอนนี้หล่อนพร้อมมาก!
“น่ารัก!” จู่ๆ แม่คนเมาก็เอ่ยขึ้น ยิ้มยั่วเย้า ตาหวานเยิ้ม
“ไม่ต้องมาพูดดี ยังไงวันนี้ก็โดนแน่ๆ”
“โอ๊ย...บอสขา...อยากได้อยากโดน...ไวๆ เลย ไวๆ” คนสวยเร่งเร้า พูดพลางยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก