บทที่ 11 เปิดฉากศึกแม่ผัวลูกสะใภ้

4945 คำ
         เช้านี้คุณชายใหญ่ต้องออกไปท่าเรือเพื่อตรวจสินค้าที่ส่งมาจากต่างเมืองแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มที่กำลังจะออกจากบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นดี กลับต้องสะดุดกับเงาตะคุ่มที่ค่อยๆ แอบย่องเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบจนเกือบจะผ่านหลังเขาไปเสียก่อน  "จิ้นเหอ" เหอจิ้นเค่อเรียกผู้เป็นน้องชายที่กำลังแอบย่องเข้าบ้าน จนคนถูกเรียกถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยเพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีใครทันได้เห็นตนเองแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาของผู้เป็นพี่ชาย "พี่ใหญ่ แหะๆ ท่านตื่นเช้าจังเลยนะ" คุณชายรองยิ้มแห้งยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อเมื่อถูกพี่ชายจับได้ "ทำไมเจ้ามาอยู่ตรงนี้"  "คือข้า" คนถูกถามแทบไปไม่เป็นด้วยไม่รู้จะหยิบยกเอาเหตุผลกลใดมาอ้างได้ เพราะรู้ดีว่าผู้เป็นพี่ชายของตนนั้นรู้ทันตนเองแค่ไหน เหอจิ้นเหอจึงได้แต่อึกอักไม่กล้าตอบ "อย่าเหลวไหลมากนัก ท่านพ่อจะโกรธเอาได้" เหอจิ้นเค่อกล่าวเสียงเรียบ ตักเตือนน้องชายในฐานะพี่ เพราะไม่อยากเห็นน้องชายกระทำตนเหลวไหลจนออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป "ขอรับๆ พี่ใหญ่ แล้วนี่ท่านจะออกไปไหนแต่เช้า" เหอจิ้นเหอรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที "ข้าจะไปท่าเรือมีสินค้าเข้ามาต้องไปตรวจสอบเสียหน่อย" "แล้วพี่สะใภ้เล่าขอรับ" "ให้เสี่ยวไป๋ดูแล" "ว่างๆ เจ้าก็เข้าไปช่วยน้องสามดูแลกิจการบ้าง ทั้งร้านแลกเงิน ร้านขายชา กิจการอีกตั้งหลายอย่าง ปล่อยให้นางช่วยข้าดูแลคนเดียวจนนางหัวหมุนไปหมดแล้ว" เหอจิ้นเค่อกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก เพราะพยายามเกลี้ยกล่อมน้องชายให้มาดูแลกิจการหลายครั้งหลายหนแล้วแต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเขาและน้องสาวทำไม่ไหว เพียงแต่อยากให้คุณชายรองได้มีอำนาจหน้าที่ในตระกูลอย่างเต็มที่เช่นที่ตนเองมีเพียงเท่านั้น  ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเห็นน้องชายเที่ยวเล่นไปวันๆ จนดูเป็นคนหลักลอยในสายตาผู้อื่น ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วเหอจิ้นเหอเป็นบุรุษที่เก่งกาจไม่น้อยคนหนึ่ง แต่เพราะความรักสนุกทำให้เจ้าตัวไม่ยอมที่จะรับผิดชอบทำอะไร และใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แม้เหอจิ้นเค่อจะไม่บังคับแต่ก็ยังแอบคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าวันหนึ่งน้องชายจะยอมหันมาดูแลกิจการและเรื่องในบ้านบ้าง อีกส่วนหนึ่งเขาคิดว่าแม้ว่าตนจะเป็นว่าที่ผู้สืบทอด แต่ก็ไม่อยากจะให้อำนาจทุกอย่างตกแก่ตนเองเพียงผู้เดียว เหอจิ้นเหอเป็นน้องชายและเป็นถึงคุณชายรองควรมีอำนาจในตระกูลไม่น้อยหน้าเขาผู้เป็นพี่ เพราะเหอจิ้นเค่อไม่อยากประมาทด้วยฐานะผู้นำที่เขาแทบจะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เวลานี้ ศัตรูของเขาย่อมมีมากมาย กว่าเหอจิ้นเค่อจะทำให้อำนาจในมือตนเองมั่นคงและสร้างให้ตระกูลเหอยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ก็ต้องทำให้หลายคนไม่พอใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา งานหลายอย่างก็ค่อนข้างเสี่ยงหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เหอจิ้นเหอจะได้รับช่วงต่อดูแลตระกูลต่อไปได้โดยไม่ต้องให้เขาเป็นกังวล "โธ่พี่ใหญ่ มีท่านอยู่ทั้งคนทุกเรื่องในบ้านไม่จำเป็นต้องใช้ข้าหรอก น้องสามช่วยท่านก็เหมาะสมแล้ว นางเก่งจะตาย ดุอย่างกับแม่เสือออกอย่างนั้น ช่วยท่านได้สบายมาก ส่วนข้าโง่เขลาขนาดนี้เห็นบัญชีก็ปวดหัวแล้ว ข้าทำไม่ไหวหรอกน่า" คุณชายรองรีบกล่าวอย่างประจบหวังจะเอาตัวรอดจากตรงนี้ให้ได้ "ตามใจเถิดพี่จะไม่บังคับจิตใจเจ้า แต่เจ้าก็ควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควรบ้าง เจ้าเป็นถึงคุณชายรองของตระกูลหาใช่เด็กแล้ว" เหอจิ้นเค่อตามใจน้องชายแม้จะไม่ถูกใจกับคำตอบนักแต่เขาก็ไม่อยากบังคับ  "ขอรับ ๆ ข้าจะเชื่อฟัง คราวหน้าจะไม่กลับเช้าเช่นนี้อีก" คุณชายรองกล่าวแอบยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะรีบคำนับพี่ชายแล้ววิ่งหนีหายกลับเรือนไป 'คราวหน้างั้นหรือ? เฮ้อ..' คุณชายใหญ่ส่ายหน้าอย่างระอาใจเมื่อรู้ว่าเสียทีเจ้าน้องตัวแสบ สั่งสอนไปไม่ฟังแม้แต่น้อยยังคิดจะมีคราวหน้าเพื่อไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ต่ออีก 'ไว้ค่อยจัดการกับเจ้าทีหลังเจ้าตัวแสบ...' ร่างหนาจึงเดินออกไปขึ้นรถม้าเพื่อไปท่าเรืออย่างที่ตั้งใจไว้ . . . เหอจิ้นเหอนั้นด้วยความที่เป็นคนรักสนุกและหวงแหนอิสระในชีวิต เขาจึงไม่คิดจะนำตนไปผูกติดยึดมั่นกับสิ่งใดเพียงแต่เที่ยวสนุกไปวันๆ ตามต้องการก็มีความสุขมากแล้ว เรียกได้ว่าเขาเป็นพวกคุณชายเจ้าสำราญที่รักสนุกคนหนึ่ง แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็หาใช่คนเลวร้ายอะไร เหอจิ้นเหอเป็นชายหนุ่มรูปงามที่เรียกได้ว่าครบเครื่องและเก่งรอบด้านไม่แพ้ผู้เป็นพี่ชาย แต่ก็รักสนุกเกินไปเสียจนไม่คิดจะสนใจการงานใดๆ ของตระกูล ทั้งที่ผู้เป็นพี่พยายามสนับสนุนให้เขาได้ดูแลบริหารกิจการร้านค้าของตระกูลบ้าง แต่เหอจิ้นเหอก็ปฏิเสธมาโดยตลอด เหอจิ้นเหอมักอ้างว่าตนเองโง่เขลาเบาปัญญา ซึ่งนั่นเป็นข้ออ้างที่เหอจิ้นเค่อรู้ดีอยู่เต็มอกว่าไม่ใช่เรื่องจริง น้องชายเขานั้นเป็นชายหนุ่มที่เก่งกาจไม่น้อยคนหนึ่ง โดยเฉพาะด้านศาสตร์และศิลป์ จำพวก วาดภาพ เล่นดนตรี แต่งกาพย์ กลอน เป็นนักกวีผู้หนึ่งที่ไม่เป็นสองรองใคร แต่เพราะนิสัยเจ้าสำราญของเจ้าตัวกลับทำให้นิยมชมชอบสุรานารีและใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมา เหอจิ้นเหอไม่ชอบทั้งการดูแลกิจการและไม่คิดจะสอบเป็นขุนนางแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตเช่นนี้เพราะชื่นชอบในสิ่งที่ทำ แม้พี่ชายจะไม่เห็นด้วยนักแต่ก็ไม่อยากบังคับจิตใจน้องเหอจิ้นเค่อจึงยอมแบกรับภาระทุกอย่างเป็นผู้ดูแลจัดการทุกเรื่องให้ กิจการที่มีเห็นจะมีเพียงหอสุราเท่านั้นที่เหอจิ้นเหอจะยอมเข้าไปช่วยดูแลบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนมากก็เข้าไปเที่ยวเล่นเสียเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะเรื่องที่เหอจิ้นเหอเป็นคนรักสนุกเช่นนี้จึงนำความหนักใจไม่น้อยมาให้ท่านเจ้าเมืองและฮูหยินใหญ่ผู้เป็นบิดามารดา เพราะพวกเขาพลาดเรื่องคุณชายใหญ่ปล่อยให้เกิดเรื่องจนต้องรับสะใภ้ชายเข้าบ้านจนได้รับความอับอาย คุณชายรองจึงตกเป็นเป้าหมายขึ้นมาทันทีด้วยไม่อยากปล่อยให้ผิดพลาดได้สะใภ้ที่ไม่เหมาะสมเช่นผู้พี่ แต่เพราะความเจ้าชู้จนขึ้นชื่อของชายหนุ่มทำให้ไม่มีหญิงสาวตระกูลสูงที่ฐานะเทียมกันบ้านไหน กล้าแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้รองตระกูลเหอ แม้ตระกูลเหอจะใช้แม่สื่อมากมายไปทาบทามก็ล้วนแต่เสียเปล่า จนเหล่าแม่สื่อพากันกุมขมับไปทั่ว ถึงตระกูลเหอจะมากไปด้วยทรัพย์สินและอำนาจ แต่ด้วยกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของเหอจิ้นเหอ บิดามารดาของหญิงสาวเพียบพร้อมเหล่านั้น จึงปฏิเสธการสู่ขอกันถ้วนหน้า ด้วยกลัวว่าลูกสาวต้องช้ำใจที่ได้สามีเจ้าชู้ไม่ได้ความ พวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธเหล่าแม่สื่อที่ตระกูลเหอส่งไปจนสิ้น แม้ว่าเหอจิ้นเหอนั้นจะเป็นหนุ่มเนื้อหอมของเมือง ที่มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาหมายปอง แต่หญิงเหล่านั้นล้วนไม่เป็นที่ถูกใจฮูหยินใหญ่และนายท่านเหอผู้เป็นบิดามารดาสักคน ด้วยเพราะฐานะที่ต่ำต้อยและส่วนมากคนที่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกับเหอจิ้นเหอนั้น ล้วนอยากเข้ามาเกี่ยวพันเพราะหวังใช้ความร่ำรวยและชื่อเสียงตระกูลเหอเป็นสะพานสู่อำนาจเท่านั้น เหอจิ้นเหอเองก็พอจะรู้ทันจึงไม่คิดสานความสัมพันธ์ต่อกับพวกนางเหล่านั้นด้วยรู้ดีว่าคนเหล่านั้นต้องการอะไร แม้เขาจะเจ้าชู้มากมายแค่ไหนแต่สิ่งที่เขาต้องการแท้จริงกลับมีเพียงรักแท้ หญิงสาวมากมายที่ผ่านเข้ามาล้วนได้ในผลประโยชน์ที่ต่างตอบแทนกันและกัน คู่รักชั่วคืนจึงกลายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนและชักนำให้มีหญิงสาวมากหน้าหลายตามาพัวพันในชีวิต จนทำให้เหอจิ้นเหอกลายเป็นบุรุษเจ้าสำราญอย่างสมบูรณ์ที่ยังคงตามหารักแท้อย่างไม่มีหวังไปเรื่อยๆ หากจะมีหญิงหนึ่งที่มีความสนิทสนมต่อคุณชายรองมาช้านานและมีน้ำหนักในหัวใจของเขาไม่น้อย ก็คงจะมีเพียงคุณหนูรองตระกูลจาง จางหมิงหลิง น้องสาว จางเลี่ยงจิน ผู้เป็นเพื่อนสนิทของเหอจิ้นเค่อเท่านั้น ที่ดูว่าคุณชายรองจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ  แต่ก็ดูว่าเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าได้ให้ความสำคัญกับหญิงสาวผู้นี้ นอกจากสายตาของผู้เป็นพี่ชายที่พอจะมองเห็น เหอจิ้นเหอกับจางหมิงหลิงนั้นเป็นคนจำพวกที่เรียกได้ว่า คู่กัด ที่เจอหน้ากันทีไรมีอันต้องได้ปะทะคารม ด้วยนิสัยขี้แกล้งของชายหนุ่มที่ชอบยียวนกวนโมโหจนทำให้คุณหนูจางต้องโกรธเสียทุกครั้งไป จางหมิงหลิงนั้นเป็นดรุณีวัยแรกแย้มรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูสามเหอจิ้นชิง นางและคุณหนูสามเป็นเพื่อนสนิทกันเช่นพี่ชายของพวกนาง ด้วยทั้งสองคนมีนิสัยคล้ายคลึงกันหลายส่วนจึงได้คุยกันถูกคอนัก แม้ว่านางจะเป็นน้องคุณชายเหอจิ้นเหออยู่หลายปี แต่เพราะเหอจิ้นเหอที่ชอบกลั่นแกล้งนางเป็นประจำ จึงทำให้นางนั้นไม่เคารพชายหนุ่มในฐานะผู้อาวุโสกว่าเท่าที่ควร จางหมิงหลิงนั้นไม่ค่อยชอบหน้าคุณชายรองเสียเท่าใดนัก เพราะเจอกันทีไรก็มีอันต้องถูกยียวนกวนอารมณ์หรือไม่ก็ถูกกลั่นแกล้งให้อารมณ์เสีย หญิงสาวจึงค่อนไปทางเกลียดขี้หน้าชายหนุ่มเสียมากกว่า แต่เพราะความสนิทสนมของนางกับคุณหนูสามและพี่ชายนางที่สนิทกับคุณชายใหญ่จึงทำให้ชีวิตนางต้องมาวนเวียนพบเจอกับคุณชายรองอยู่ร่ำไป "อ้าวคุณหนูจาง นี่เจ้ามาหาน้องสาวข้างั้นหรือ" จางหมิงหลิงที่มีนัดพบเจอกับคุณหนูสามในบ่ายวันนี้กำลังก้าวเดินเข้าตระกูลเหอแต่ก็ต้องมาถูกทักจากคนที่ไม่อยากจะพบหน้าตั้งแต่ก้าวเข้ามาถึง เหอจิ้นเหอกำลังจะออกไปหอสุราร้องทักสาวน้อยที่เห็นหน้าเขาก็ทำหน้าบูดบึ้งขึ้นมาด้วยอารมณ์ดี "เจ้าค่ะ" "เจ้าค่ะ แค่เนี้ยะนะ" ชายหนุ่มยิ้มยั่วท่าทียียวนเหมือนต้องการบางอย่าง คุณหนูนางมองด้วยความฉงนหากไม่ให้นางตอบเช่นนี้จะให้ตอบอย่างไรได้ "เจ้าค่ะ แค่นั้นเจ้าค่ะหาไม่แล้วท่านจะให้ข้าตอบท่านแค่ไหนกัน" หญิงสาวกล่าวจบก็เบือนหน้าหนีเตรียมจะเดินหนีออกไปอย่างรำคาญเต็มทน แต่ก็ถูกอีกคนขวางทางเอาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน "เจ้าค่ะพี่รองไง" คุณชายรองแกล้งเย้าด้วยรอยยิ้มระรื่น สายตาคมเข้มจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบทำเอาหญิงสาวรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยเพราะใบหน้าหล่อเหลาคมคร้าม เข้ามาจ้องนางใกล้ๆ จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของคนตรงหน้า แต่ก็ต้องตีหน้าโกรธแล้วโต้กลับไปอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายเหนือกว่าตน "ทำไมข้าต้องพูดเช่นนั้นกับท่านด้วย" "อ้าวก็ข้าอายุเยอะกว่าเจ้าตั้งสามปี"  "แก่น่ะหรือ" หญิงสาวเลิกคิ้วถามอย่างยียวนด้วยความเป็นต่อทำเอาคุณชายรองพูดไม่ออกจนติดจะโกรธขึ้นมา "นี่เจ้า" "ไปดีกว่า" คุณหนูจางสะบัดหน้าหนีเดินเลี่ยงออกมาอย่างไม่สนใจคนเกเรตรงหน้าอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมลดละ คุณชายรองกล่าวตามหลังนางมา หวังกวนโมโหอีกฝ่ายตามนิสัยปากเสียของตนที่ชอบทำใส่หญิงสาวประจำ ทั้งที่กลับสตรีทั่วหล้าเขาล้วนปากหวานด้วยแต่กลับคุณหนูจางผู้นี้คุณชายรองกลับไม่เคยทำเช่นนั้น "ปากอย่างนี้ถึงได้ยังโสดอย่างไรเล่า ผู้หญิงอะไรช่างปากร้ายนัก" คำพูดเช่นนี้ทำให้หญิงสาวต้องหยุดเท้ากึก ก่อนหันกลับมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนไม่แพ้กัน "ข้าหรือปากร้าย เป็นท่านมากกว่าคุณชายรอง ไร้มารยาท เป็นบุรุษต่อปากต่อคำกับสตรีเช่นนี้ช่างไร้ยางอายนัก อ้อแล้วก็นะ ข้าไม่โสดแล้ว ข้ากำลังจะหมั้นกับคุณชายตระกูลลู่ ญาติผู้น้องของคุณชายลู่เฟยหลง ชื่อลู่เจี้ยน จำเอาไว้ด้วย " หญิงสาวกล่าวอย่างฉุนขาดนึกโมโหที่ถูกต่อว่าและล้อเลียนว่าไม่มีใครจีบจากคนตรงหน้าหลายครั้ง คราวนี้บิดานางเพิ่งได้รับการทาบทามจากตระกูลลู่ผู้เป็นคหบดีใหญ่อีกตระกูลหนึ่งของอี้โจว หญิงสาวจึงตอกกลับชายหนุ่มไปทันที "ทำไมข้าต้องมาเสียเวลาคุยกับท่านด้วยเนี่ย ไปดีกว่า" จางหมิงหลิงกล่าวออกมาด้วยความโมโหก่อนเดินจากไปหาคุณหนูสามตามที่ตั้งใจมาตั้งแต่ต้น แต่คำพูดเหล่านั้นที่ทิ้งไว้กลับทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับยืนนิ่งอึ้ง "ลู่เจี้ยน" ชายหนุ่มนึกถึงคนที่เพิ่งถูกเอ่ยอ้างถึง หลังจากได้ยินเรื่องเมื่อครู่คุณชายรองยังไม่รู้ว่าเขาจะตกใจกับที่อีกฝ่ายกำลังจะหมั้นก่อนดีหรือว่าจะตกใจที่ลู่เจี้ยนเป็นว่าที่คู่หมั้นของจางหมิงหลิงก่อนดีกันแน่ คนตระกูลลู่หาใช่คนดิบดีอะไร ทั้งนิสัยเห็นแก่ได้ วางก้ามทำตัวใหญ่โต เกกมะเหรกเกเร ชกต่อยทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นไปทั่ว ทั้งยังตบตีทำร้ายสตรีในหอนางโลมเป็นเรื่องปกติ จนเป็นที่เลื่องลือ คนเช่นนี้หรือจะจริงใจกับหมิงหลิง เรื่องเหล่านี้เขาที่เป็นนักเที่ยวเช่นกันล้วนเคยได้ยินได้ยลมาจนชิน สตรีในหอสุราและหอนางโลมต่างเกี่ยงกันรับใช้คนตระกูลนี้ด้วยนิสัยที่ไม่รู้จักถนอมบุปผางาม คิดได้เช่นนั้นเหอจิ้นเหอก็ใจกระตุกวูบจนไปไม่เป็นเพราะกำลังเป็นห่วงกวางน้อยที่กำลังติดลงไปในกับดักของนายพรานเช่นคุณหนูจางที่กำลังถูกหลอกไม่รู้ตัว . . .  หลังจากฮูหยินใหญ่ได้ฟังคำโป้ปดจากคุณหนูเฉินก็เก็บเอามาคิดตลอด ว่าจะหาทางสั่งสอนชายเจ้ามารยาเช่นหยางจิวเมิ่งอย่างไรดี จนในที่สุดนางก็คิดออก แผนการกลั่นแกล้งสะใภ้ชายที่ถูกทุกคนเอาใจนักหนานั้นถูกตระเตรียมการไว้เป็นอย่างดี เพราะวันนี้ทางสะดวกด้วยฮูหยินเฒ่าต้องไปสวดมนต์ถือศีลที่วัดหลายวันตามปกติเช่นทุกครั้ง ฮูหยินใหญ่ที่รอจังหวะเล่นงานสะใภ้ของตนเองจึงเรียกได้ว่าทางสะดวก ด้วยเพราะฮูหยินเฒ่าผู้เป็นแม่สามีของนางมักไปวัดทำบุญสวดมนต์ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกหลานอยู่เสมอ เดือนละหนึ่งถึงสองครั้งเป็นประจำและแต่ละครั้งที่ไปก็หลายวันจึงเป็นช่องทางให้นางคิดวางแผนจัดการหยางจิวเมิ่งทันที วันนี้ฮูหยินใหญ่สบโอกาสที่ไม่มีใครคอยอยู่ให้ท้ายสะใภ้ชายของตน  ด้วยเพราะทุกคนต่างต้องออกไปจัดการธุระและงานของตนเองกันหมด ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงนางและหยางจิวเมิ่งเพียงเท่านั้น ส่วนคุณชายเล็กและฮูหยินรองต่างก็เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนไม่กล้าออกมายุ่มย่ามอยู่แล้ว ฮูหยินใหญ่จึงมีโอกาสจัดการสั่งสอนสะใภ้ของตน หลังจากทุกคนทานข้าวและแยกย้ายกันไปในช่วงเช้า ฮูหยินใหญ่จึงแสร้งไปคุยกับหยางจิวเมิ่งในทันทีด้วยหมายจะสั่งสอนให้เด็กเมื่อวานซืนรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง "เจ้าน่ะ ข้าได้ข่าวว่าก่อนนี้ปลูกผักขายงั้นหรือ เช่นนั้นช่วยไปดูสวนผักหลังบ้านให้หน่อยสิ คนรับใช้พวกนั้นดูแลไม่ได้เรื่องผักรอบนี้ไม่งามเลยหน้าตาดูไม่ได้แม้แต่น้อย " ฮูหยินใหญ่แกล้งกล่าว เพราะนางรู้ดีว่าหยางจิวเมิ่งต้องยอมตกปากรับคำเป็นแน่ แล้วก็เป็นไปตามที่นางคาดหยางจิวเมิ่งรับปากทันที ด้วยเพราะความเกรงใจแม่สามีอย่างไรเสียเขาก็มาอยู่อาศัยในตระกูลเหอนี้อย่างสุขสบายมาหลายวันแล้วควรจะช่วยเหลือตอบแทนอะไรพวกเขาบ้าง เพียงแค่ไปดูแลผักในสวนหลังบ้านแค่นี้คงไม่เป็นอะไร "ได้ขอรับท่านแม่ข้าจะไปช่วยดูให้" "เช่นนั้นป้าหวังเจ้านำฮูหยินน้อยไป จัดการให้ดีล่ะ" ฮูหยินใหญ่สั่งกำชับ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้คนสนิทอย่างรู้กันก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจร่างบางที่ยืนอยู่ตรงนั้นอีก "เจ้าค่ะฮูหยิน" ป้าหวังเป็นคนสนิทของฮูหยินใหญ่นางติดตามฮูหยินใหญ่มาตั้งแต่ฮูหยินใหญ่ยังไม่ออกเรือน ป้าหวังจึงทำทุกอย่างตามที่ฮูหยินใหญ่สั่งอย่างภักดี และนางเองก็เกลียดชังหยางจิวเมิ่งไม่ต่างกัน เพราะเด็กคนนี้ทำให้คุณชายใหญ่ของนางต้องพลอยมัวหมอง แผนการของฮูหยินใหญ่นางจึงคิดช่วยสนองอย่างที่สุด ร่างบางเดินตามป้าหวังไปอย่างพาซื่อไม่คิดว่าสวนผักหลังจวนตระกูลเหอจะกว้างใหญ่มากมายอะไรนัก แต่เมื่อมาถึงก็ต้องตกตะลึง ด้วยพื้นที่ทำสวนของที่นี่กว้างใหญ่กว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้มากนัก "พวกเจ้าหยุดมือก่อนซิ" ป้าหวังหันไปสั่งการให้คนงานที่กำลังดูแลสวนทั้งหมดหยุดมือ "วันนี้ฮูหยินน้อยจะมาจัดการที่นี่แทนพวกเจ้าก็ไปพักเถอะ" คำพูดจากปากป้าหวังทำให้หยางจิวเมิ่งตะลึงค้างอย่างคาดไม่ถึงนี่ใจคอพวกนางจะให้เขาทำสวนผักที่ใหญ่ขนาดนี้เพียงผู้เดียวจริงหรือ "ฮูหยินน้อยฝากด้วยนะเจ้าคะ ผักเหล่านี้วันนี้ยังไม่ได้รดน้ำเลย ฮูหยินใหญ่สั่งว่าท่านเป็นผู้ชำนาญการงานหยาบเช่นนี้คนที่เคยต่ำต้อยเช่นท่านคงทำได้ไม่ลำบากนัก รบกวนด้วยนะเจ้าคะ" ป้าหวังกระตุกยิ้มร้ายพร้อมสายตาที่แฝงไปด้วยความแข็งกระด้าง ที่แท้เขาหลงกลถูกพวกนางคิดแผนเล่นงานเข้าเสียแล้ว แต่อีกฝ่ายเป็นถึงฮูหยินใหญ่ผู้เป็นแม่สามีแล้วหยางจิวเมิ่งจะทำอย่างไรกับนางได้กันเล่า หากแข็งข้อไม่ทำตามทะเลาะกับนางคงต้องลำบากเหอจิ้นเค่อเป็นแน่ อีกทั้งท่านพ่อก็สั่งสอนนักหนาว่าต้องกตัญญูกับพ่อแม่สามีดุจเป็นพ่อแม่ของตนเอง หยางจิวเมิ่งจึงได้แต่ก้มหน้ารับไปเช่นนั้นเพราะเขารู้ดีว่าจุดหมายของเรื่องนี้มิใช่ผลผลิตของผักเหล่านี้ แต่เป็นการกลั่นแกล้งเขาต่างหากเล่า "แต่ท่านป้าขอรับ ฮูหยินน้อยตั้งครรภ์เช่นนี้ไม่เหมาะกระมังขอรับที่จะให้มาทำงานหนักขนาดนี้ ฮูหยินน้อยยังไม่หายแพ้ท้องเลยนะขอรับ คุณชายสั่งข้าว่าให้ดูแลฮูหยินน้อยให้ดีหากเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรายงานคุณชายได้อย่างไรกัน" เสี่ยวไป๋เห็นท่าไม่ดีจึงพยายามห้ามปราม "ไร้สาระตั้งครรภ์แล้วอย่างไร ฮูหยินใหญ่สมัยก่อนตอนที่บ้านนี้ยังไม่ร่ำรวยถึงเพียงนี้ก็ต้องทำงานหนักเช่นกันแม้จะตั้งครรภ์คุณชายคุณหนูคนไหนฮูหยินใหญ่ท่านก็ทำงานจนคลอดมิเห็นจะเป็นอันใดสักคน คนตั้งครรภ์น่ะยิ่งทำงานหนักๆ ยิ่งดีจะได้คลอดง่าย เจ้าเป็นเด็กจะรู้อะไรกัน นี่ฮูหยินใหญ่หวังดีกับท่านหรอกนะเจ้าคะฮูหยินน้อย" "ขอรับ ฝากขอบพระคุณท่านแม่ด้วย ข้าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดี" ร่างบางได้แต่ยิ้มรับอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นงานถนัดของเขาจริงๆ แค่ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ คงไม่เป็นอะไร เพราะอาการแพ้ท้องของเขาตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว "ฮูหยินน้อย" "เอาน่าเสี่ยวไป๋ข้าทำได้ นี่งานถนัดของข้าเลยนะ" ร่างบางยิ้มให้เสี่ยวไป๋ที่กำลังทำหน้าหงิกเพราะโกรธที่ป้าหวังแกล้งฮูหยินน้อยของเขา "นั่นสิ คนต่ำๆ ทำงานหยาบๆ ก็เหมาะกันแล้วล่ะ" "ป้าหวังเจ้า"เสี่ยวไป๋ได้ยินคำเหน็บแนมเหล่านั้นก็เริ่มอารมณ์ขึ้นจนยากจะห้ามคิดจะออกปากเถียงแทนนาย แต่ถูกจิวเมิ่งห้ามปรามเอาไว้ก่อน "นั่นสินะ คนต่ำๆ ก็มักพูดจาเช่นนี้แหละ เสี่ยวไป๋เจ้าก็อย่าถือสาเลย เราไปทำงานกันเถอะ" หยางจิวเมิ่งปรายตามองป้าหวังอย่างระอาก่อนเดินจากไป ทิ้งให้นางอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กเมื่อวานซืนเช่นเขาถอนหงอกเอาเช่นนี้ ใครบอกว่าเด็กนี่ไม่ร้ายกัน หยางจิวเมิ่งนั้นแม้ว่าเขาจะสุภาพกับทุกคน แต่ใช่ว่าจะยอมให้คนอื่นรังแกง่ายๆ เพียงแต่เขาเลือกที่จะตอบโต้หรือไม่เท่านั้น บางครั้งหากทนได้ก็ไม่อยากหาเรื่องให้มากความไปเพราะนิสัยรักสงบของตนเอง ถูกรังแกไปบ้างเล็กน้อยดีกว่าต่อความยาวสาวความยืดให้ปวดหัว แต่สำหรับบางคนที่คิดรังแกเขาเช่นป้าหวังอย่างนี้ เมื่อนางเหยียดหยามศักดิ์ศรีเขามากเข้า เขาจึงเลือกจะสั่งสอนนางบ้างพอให้ได้รู้สติ อย่างไรเสียก็เป็นผู้อาวุโสเขามิอยากจะไปด่าทอต่อปากต่อคำให้มากความ เพียงแค่โต้กลับให้พอรู้สึกตัวบ้างก็เท่านั้น "แต่ท่านป้าขอรับ ฮูหยินน้อยตั้งครรภ์เช่นนี้ไม่เหมาะกระมังขอรับที่จะให้มาทำงานหนักขนาดนี้ ฮูหยินน้อยยังไม่หายแพ้ท้องเลยนะขอรับ คุณชายสั่งข้าว่าให้ดูแลฮูหยินน้อยให้ดีหากเกิดเรื่องขึ้นข้าจะรายงานคุณชายได้อย่างไรกัน" เสี่ยวไป๋เห็นท่าไม่ดีจึงพยายามห้ามปราม เสี่ยวไป๋นั้นไม่เคยต้องทำงานในสวนผักเช่นนี้กลับรู้สึกเหนื่อยนัก ส่วนมากเขาเป็นลูกมือหยิบจับทำงานเล็กน้อยในบ้าน งานในสวนผักนี่ช่างหนักไม่น้อยเลยจริงๆ ไหนจะแดดที่ร้อนไหนจะต้องตักน้ำมารดผัก อีกทั้งแปลงผักที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเพียงทำงานมาได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี เด็กน้อยก็เหนื่อยแทบขาดใจ ขณะที่ฮูหยินน้อยของเขานั้นยังคงสามารถทำงานไปได้เรื่อยๆ แม้จะเหนื่อยอยู่บ้างแต่หยางจิวเมิ่งก็สามารถทำได้อย่างดี เขาค่อยๆ ทำไปอย่างชำนาญ หากรู้สึกเหนื่อยก็หยุดพักบ้างสักครู่ด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนเก่าจึงทำให้เขาเหนื่อยง่ายกว่าแต่ก่อน แต่ก็พยายามทำงานให้สำเร็จตามที่ฮูหยินใหญ่ต้องการ "ฮูหยินน้อย พักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ ข้าว่าท่านเหนื่อยเกินไปแล้ว" "ไม่เป็นไรเสี่ยวไป๋ อีกสักครู่คงเสร็จ หากเราเสียเวลาพักผ่อนแดดจะยิ่งแรง" "แต่ฮูหยินน้อยข้าว่าให้ข้าไปเรียนฮูหยินเฒ่าให้ท่านไปพูดกับฮูหยินใหญ่ดีหรือไม่ขอรับ ท่านอย่าทำต่อเลยหากเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่นะขอรับ" "อย่ารบกวนท่านย่าเลย ท่านชรามากแล้วข้าไม่อยากให้ท่านย่ากังวล" "แต่ว่า" "รีบทำเถอะ อีกนิดก็เสร็จนะเสี่ยวไป๋ เดี๋ยวต้องดูแลวัชพืชอีก" "ขอรับๆ " สุดท้ายสองคนนายบ่าวก็ช่วยกันทำจนเสร็จ แต่กว่าจะจัดการเสร็จก็กินเวลาเข้าไปเสียจนบ่ายคล้อยแล้วเสี่ยวไป๋นั้นปวดล้าไปทั่วร่างด้วยไม่เคยต้องทำงานหนักเช่นนี้ ส่วนหยางจิวเมิ่งแม้จะคุ้นเคยการทำงานหนักแบบนี้แต่ด้วยขนาดสวนใหญ่เช่นนี้ก็ทำเอาเหนื่อยไม่น้อย นับว่าโชคดีจริงๆ ที่วันนี้อาการแพ้ท้องของเขาไม่กำเริบขึ้นมา หาไม่แล้วคงลำบากเป็นแน่ . . . หลังจากทำงานเสร็จทั้งสองคนก็พากันกลับมาที่เรือน หยางจิวเมิ่งต้องอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยเพราะงานในสวนนั้นทำเอาเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนดินโคลนไปเสียหมด หลังจากอาบน้ำชำระกายแล้วร่างบางก็ล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย หยางจิวเมิ่งหลับยาวไปจนถึงตอนเย็นจึงตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเหอจิ้นเค่อกลับมาในห้อง "เมิ่งเอ๋อร์วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง แพ้ท้องหรือไม่" เหอจิ้นเค่อเข้ามาถึงห้องเห็นร่างบางตื่นพอดีจึงเดินเข้ามาดูอาการชายหนุ่มนั่งลงที่ข้างเตียงลูบแก้มเนียนของคนที่นอนงัวเงียอยู่ด้วยความเอ็นดู "ไม่ขอรับท่านพี่ ข้าทานยาครบตามเวลาวันนี้ไม่แพ้เลยขอรับ" ร่างบางตอบอย่างไม่ค่อยเต็มตื่นนักด้วยดวงตาที่ยังปรือปรอยอยู่เล็กน้อย "งั้นหรือดีแล้ว ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเดี๋ยวจะได้ไปทานข้าวเย็นกัน พรุ่งนี้พี่ต้องเดินทางไปต่างเมืองไปคุยเรื่องการค้าและนำสินค้าไปส่งด้วย" "ขอรับ ท่านพี่จะไปนานกี่วันขอรับ" หยางจิวเมิ่งถามออกไปอย่างนั้นเองไม่ทันได้คิดอะไร แต่กลับไม่ใช่กับอีกคนคุณชายใหญ่รู้สึกมีความสุขมากที่หยางจิวเมิ่งถามเขาเช่นนี้ คำถามที่แสนง่ายดายแต่ให้ความรู้สึกถึงการมีเหย้ามีเรือนมีภรรยาที่รอคอยการกลับมาของเขาทุกๆ วัน มันช่างรู้สึกดีอย่างประหลาดนัก แม้ตระกูลเหอจะมีผู้คนมากมายคอยเป็นห่วงและรอเขา แต่กลับจิวเมิ่งนั้นมันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่แตกต่างออกมาอย่างชัดเจน  "ก็คงราวๆ ห้าถึงหกวัน ถ้าหากสามารถเร่งให้เร็วกว่านี้ได้พี่ก็จะเร่งกลับมา จะได้ไม่ต้องทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียวนานๆ " "ไม่เป็นไรขอรับท่านพี่ ข้าอยู่ได้ ท่านพี่ทำงานเถิดอย่าเป็นห่วงข้ากับลูกเลยข้าจะดูแลเขาให้ดี" หยางจิวเมิ่งตอบพลางลุกขึ้นมาเหอจิ้นเค่อจึงช่วยประคองร่างบางให้ลุกขึ้นจากเตียง  "เจ้าด้วยไม่ใช่แค่ลูกที่ข้าเป็นห่วง เมิ่งเอ๋อร์เดี๋ยวนี้เราสองคนเหมือนสามีภรรยากันไปทุกทีแล้วเจ้าว่าหรือไม่" หยางจิวเมิ่งได้ฟังก็ตาสว่างในทันที ความร้อนเห่อขึ้นใบหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อจู่ๆ ได้ยินได้ฟังคำพูดเช่นนี้ "หะเหตุใด ท่านจึงกล่าวแบบนั้นล่ะขอรับ" ใบหน้าหวานแดงซ่านด้วยความอายถามไปอย่างไม่กล้าสู้สายตาหลอมละลายจากอีกคนด้วยความสงสัย "ก็เดี๋ยวนี้เราอยู่ใกล้กันได้มากขึ้น ข้าคุยกับเจ้าได้ทุกเรื่อง เจ้าก็ทำตัวเป็นภรรยาที่ดี อยู่บ้านรอสามีอย่างนี้" นิ้วเรียวของเหอจิ้นเค่อเชยคางมนขึ้นมาให้คนตรงหน้าได้สบตากัน ความหวามไหวแล่นเข้าหัวใจของร่างบางอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม "เอ่อ..." หยางจิวเมิ่งเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อทำลายสถานการณ์ประหลาดตรงหน้า ริมฝีปากเล็กเพียงเม้มปากเข้าหากันเหมือนเคยอย่างประหม่า ร่างบางทำได้เพียงเสตาหลบสายตาคมเข้มตรงหน้าที่มองกันอย่างไม่ลดละเพราะดวงหน้าหวานถูกอีกฝ่ายเชยคางไว้ไม่ยอมปล่อย "เมิ่งเอ๋อร์" น้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนหวานที่เอื้อนเอ่ยพร้อมสายตาที่ทอประกายอ่อนโยนทำเอาร่างบางเหมือนกำลังจะต้องมนต์สะกด "ขอรับ" ริมฝีปากคู่สวยขานรับอย่างไม่เต็มเสียงนักด้วยความรู้สึกสับสนที่สัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นระรัวจนรู้สึกเหมือนจะหายใจขัดเวลานี้ ส่งสายตากลับไปหาคนตรงหน้าด้วยความวูบไหวในอกเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกคนเอื้อนเอ่ยออกมา "คืนนี้พี่ขอนอนข้างเจ้าได้หรือไม่" TBC. #พรวิเศษ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม