คุณชายเหอจัดการงานของจิวเมิ่งเรียบร้อยก็มาคอยตามดูแลร่างบางอยู่ห่างๆ เพราะไม่อาจเข้าใกล้ได้ แม้เป็นห่วงหนักหนาก็ต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อยสองก้าวตามที่อีกฝ่ายสั่งไว้อย่างเคร่งครัด เพราะเมื่อเขาเข้าใกล้เกินกว่านั้น ร่างบางก็มีท่าทีจะอาเจียนทันทีจนชายหนุ่มได้แต่เพียงมองตาปริบๆ อยู่ห่างๆ อย่างไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
นับตั้งแต่หยางจิวเมิ่งกลับมาอยู่บ้านตัวเองเขาก็ทำตัวเป็นองครักษ์เงาแอบตามดูแลห่างๆ มาตลอดไม่เคยห่างหาย ขณะที่เรื่องงานแต่งงานของเขาและจิวเมิ่งนั้น ได้ท่านย่าเป็นผู้ออกหน้าจัดการเรื่องทั้งหมดแทนให้หลานชายคนโปรดด้วยตนเอง
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่จัดเตรียมงานแต่งให้นั้น ก็ได้จัดการส่งแม่สื่อมาทำการสู่ขอหยางจิวเมิ่งที่บ้านนับตั้งแต่วันแรกหลังจากหยางจิวเมิ่งกลับมาอยู่บ้านตัวเอง พร้อมกับของหมั้นหลายหีบตามธรรมเนียมซึ่งแน่นอนว่ามากมายจนทุกคนต้องตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง แม่สื่อขอวันเดือนปีเกิดของหยางจิวเมิ่งไปตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า
หลังจากได้วันเดือนปีเกิดของหยางจิวเมิ่งแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจึงนำดวงของเด็กสองคนนี้ไปให้ซินแสชื่อดังของเมืองผูกดวงให้ ซึ่งผลของดวงทั้งคู่นั้นน่ายินดีไม่น้อย ดวงสองคนสมพงษ์กันอย่างมากเรียกว่าเป็นคู่สร้างคู่สม เพียงแต่ต้องใส่สีตีไข่เพิ่มลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ข่าวลือโด่งดัง แค่คิดฮูหยินผู้เฒ่าก็กระตุกยิ้มร้ายออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องสนุกข้างหน้า
หลังจากจัดการเรื่องราวต่างๆ ทางด้านฤกษ์ยามเรียบร้อย ฮูหยินผู้เฒ่านั้นก็ส่งคนออกไปปล่อยข่าวเรื่องงานแต่งจนโด่งดังทั่วเมือง ก่อนหน้านี้คนของตระกูลเหอส่งของหมั้นไปให้ตระกูลหยางก็โด่งดังอยู่ไม่น้อยแล้วเพียงแต่ยังเป็นเรื่องซุบซิบนินทาที่ยังไม่มีใครล่วงรู้ความเป็นจริง เมื่อได้เวลาเหมาะสมท่านย่าจึงจัดการให้อะไรๆ มันเป็นไปอย่างที่ควรเป็นเสียที
ข่าวการแต่งงานระหว่างบุรุษกับบุรุษแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งวันงานแต่งของคุณชายเหอและลูกชายคนโตของนายอำเภอคนใหม่ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาใหญ่ ที่ผู้คนสนทนากันอย่างสนุกปาก มีทั้งคนที่วางเฉยและคนที่รู้สึกขัดแย้ง เพราะการแต่งงานระหว่างบุรุษด้วยกันเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้จะมีบ้างที่มีคู่รักเช่นนี้แต่ส่วนมากต่างก็ต้องอยู่กันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน มิเคยมีคู่ใดได้แต่งงานกันและยังจัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตออกหน้าออกตาประกาศไปทั่วหล้าอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ดุจเป็นเรื่องปกติธรรมดาเช่นที่ตระกูลเหอกระทำ
ทั่วทั้งเมืองล้วนแต่มีกลุ่มผู้คนจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องนี้อย่างออกรส ทั้งพ่อค้า ประชาชน เหล่าบัณฑิต ทุกคนล้วนให้ความสนใจใคร่รู้กันอย่างเต็มที่และยังลือต่อกันอย่างสนุกปาก หนึ่งในนั้นก็เป็นกลุ่มคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้างให้มาป่าวประกาศเรื่องจริงที่ผสมเรื่องแต่งเล็กน้อยให้สมกับเป็นข่าวลือ
"ข่าวเขาว่า ลูกชายนายอำเภอหน่ะดวงสมพงษ์กับคุณชายเหอ ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินผู้เฒ่าไปให้ซินแสโจวผูกดวงด้วยตัวเองเชียวนา " หนึ่งในกลุ่มผู้สนทนากำลังจ้ออย่างสนุกปากเพราะไปฟังข่าวมาจากหน้าสำนักดูดวงด้วยตัวเองเมื่อได้ทราบข่าวดังกล่าวจึงรีบนำมาโพนทะนาต่อ
"รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะเรื่องนี้ความลับสำคัญ" เขาทำท่ากระซิบกระซาบทำให้ผู้คนที่มุงฟังต่างให้ความสนใจ ทุกคนต่างเงียบกริบรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเพราะต้องการได้ยินความลับนี้ชัดๆ
"เขาว่ากันว่าซินแสโจวทำนายออกมาว่าดวงหยางจิวเมิ่งน่ะเป็นดวงพญาหงส์ หากแต่งภรรยาครอบครัวภรรยาจะล่มจม แต่ถ้าแต่งกับบุรุษด้วยกันดวงเขาจะเสริมดวงสามี ครอบครัวสามีจะร่ำรวยไม่รู้จบชั่วลูกหลาน"
"ห๋า... แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ จริงหรือเนี่ย"
"เจ้าแต่งเรื่องเกินจริงหรือเปล่า"
"นั่นสิ ประหลาดนักไม่เคยได้ยินมาก่อน"
ชาวบ้านต่างแย้งอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก มีด้วยหรือคนที่มีดวงเช่นนี้ คนที่มุงฟังคำนินทาจากนักเล่าข่าวผู้นี้ต่างรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดูเหลือเชื่อนัก แม้คนผู้นี้จะเป็นนักเล่าข่าวและมีอีกอาชีพเป็นเล่านิทานตัวยง ที่มักได้ข่าวคราวของพวกชนชั้นสูงมาจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าวงในเล่าเสมอ ซึ่งแต่ละเรื่องที่เขานำมาเล่าต่อนั้นล้วนมีความจริงเจ็ดถึงแปดส่วนตลอดมา แต่เรื่องนี้กลับทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามันดูเกินจริงไปเสียหน่อย
"ไม่ได้มั่วนา เรื่องนี้ข้าได้ยินมากับหูคนสนิทของซินแสโจวเล่าให้ข้าฟังเองเมื่อเช้า พวกเจ้าก็รู้ว่าข่าวข้าน่ะแม่นแค่ไหนซินแสโจวยิ่งแล้วใหญ่แม่นยิ่งกว่าแม่น" คนเล่าข่าวเมื่อครู่แย้งพร้อมยืนยันสิ่งที่ตนกล่าวนั้นอย่างหนักแน่นจนชาวบ้านหลายคนเริ่มคล้อยตาม
"แล้วท่านเจ้าเมืองกับฮูหยินว่าเช่นไรเล่า"
"นั่นสิลูกชายกลายเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อเช่นนี้ ฮะๆๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่กุมขมับแล้วหรือ" ชายหนุ่มที่ดูเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่ค่อนข้างเย้ยหยัน เขายืนฟังข่าวนี้อยู่ครู่ใหญ่แล้วทั่วเมืองต่างพูดคุยเรื่องนี้เขาจึงอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย แม้บ้านเขาจะรวยและมีทรัพย์สินมากมาย แต่ก็ยังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตระกูลเหอจึงอดไม่ได้ที่จะดูหมิ่นคุณชายเหอด้วยความริษยาส่วนตัว
"โอ๊ยจะว่าอย่างไรได้ก็ท่านฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตให้เด็กสองคนแต่งงานกันเองทั้งยังจัดงานแต่งให้เจ้าคิดว่าไงหล่ะ" นักเล่าข่าวเอ่ยพร้อมเลิกคิ้วถามกลับคนเหล่านั้น
"นั่นสิมารดาท่านเจ้าเมืองออกหน้าเองเช่นนี้ลูกชายจะว่าอย่างไรได้" ท่านป้าที่ขายของอยู่แถวนั้นเข้ามามุงฟังด้วยสักระยะเริ่มออกความเห็น
"แล้วยังงี้คุณชายเหอก็ไม่มีวันมีทายาทให้ตระกูลเหอเลยสิ แล้วจะเป็นผู้สืบตระกูลได้อย่างไร"
"ใช่ ผู้ชายสองคนอยู่กินกันจะเกิดดอกผลอย่างไรได้ หึ" คุณชายผู้นั้นยังคงหยิ่งผยองกล่าวอย่างไม่สนใจนักทั้งที่ในใจรอฟังเรื่องราวต่อ
"โอ๊ยเจ้าไม่รู้อะไร นี่อีกข่าววงในเขาว่ามา" คนเล่าข่าวแหวขึ้นมาเสียงดังก่อนทำท่ากระซิบกระซาบเรียกความสนใจจากคนฟังทั้งหลายให้มุงเข้ามาใกล้กว่าเดิม เขายกพัดที่ถือไว้คลี่มันออกป้องปากแล้วพูดออกมาไม่ดังไม่เบานักแต่ทุกคนล้วนได้ยินชัดเจน
"รู้แล้วเหยียบไว้เลย เขาว่าเพราะหยางจิวเมิ่งเป็นเซียนหญิงมาจุติในร่างชาย เขาสามารถตั้งครรภ์ได้"
ด้วยคำพูดและท่าทางนั้นทำให้คนฟังทั้งหลายตั้งใจฟังอย่างเต็มที่และต่างอ้าปากค้างไปตามๆ กันกับเรื่องราวประหลาดที่เพิ่งได้ยิน
"คุณพระ! จริงหรือนี่"
"อื้อ... ซินแสว่าอย่างนั้น ข้าได้ฟังยังตกใจเลย แต่ซินแสโจวคนดังของเมืองเราทำนายอะไรไม่เคยพลาด พวกเจ้าก็รอดูเถิด หากหยางจิวเมิ่งแต่งเข้าตระกูลเหอแล้วตั้งครรภ์ได้เดี๋ยวเราก็ได้รู้กัน"
"แต่ข้าว่าคงจริงระดับซินแสไม่พูดปดแน่ เขาทำนายแม่นอย่างกับตาเห็น"
"นั่นสิค่าผูกดวงคงแพงมากนะ"
"ไม่แพงเท่าไหร่หรอก เขาว่าตระกูลเหอจ่ายด้วยทองคำห้าร้อยตำลึงทองเอ๊ง..." นักเล่าข่าวผู้นั้นยกมือขึ้นกางนิ้วทั้งห้าชูออกมาแสดงราวกับว่าตนเองเป็นผู้จ่ายก็ไม่ปาน ซึ่งนั่นมันก็ช่วยเสียงฮือฮาจากชาวบ้านที่มุงฟังดังระงมไปทั่วทันที
"ฮ๊า...มันห้าหีบทองเลยมิใช่หรือ"
"นั่นสิ"
"โห... แสดงว่างานนี้ต้องเป็นเรื่องจริงแน่ๆ ระดับตระกูลเหอ ไม่ธรรมดาจริงๆ"
"สมกับแล้วที่เป็นตระกูลเหอ"
"จริงด้วย"
"พวกเจ้ารอดูงานแต่งเถอะ ได้ข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจัดเตรียมงานในสามวันนี่เหลืออีกแค่สองวันแล้วได้ข่าวว่างานนี้ยิ่งใหญ่ตระการตาเพื่อรับขวัญหลานสะใภ้คนโต ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานหยางจิวเมิ่งมากจริงๆ เขาว่าสินสอดยาวเป็นขบวนเลยหล่ะ"
"น่าอิจฉาแท้ๆ ข้าเกิดเป็นสตรียังหน้าตาสู้เขาไม่ได้เพียงเสี้ยว นี่ยังมีงานแต่งที่ใหญ่ที่สุดอีก หยางจิวเมิ่งเขาช่างโชคดีเสียจริง"
"นั่นสิ"
ฮูหยินเฒ่าและเหล่าข้ารับใช้ที่ตามมาคอยช่วยประคองต่างหยุดยืนฟังคำสนทนาของเหล่าชาวบ้าน หญิงชรายกยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ ไม่เสียทีที่นางทุ่มเงินไปมากมายเพื่อไปให้ซินแซคนดังร่วมมือด้วย ข่าวต่างๆ ถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วเป็นไฟลามทุ่งและโด่งดังไปทั่วเมือง
แม้จะยังมีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่ส่วนมากก็ล้วนอดที่จะอิจฉาหลานสะใภ้คนโตของนางไม่ได้ เพราะวาสนาที่หยางจิวเมิ่งได้รับในครั้งนี้ งานแต่งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่นางจะให้คนลือกันให้ทั่วเมืองกำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้ทุกคนมองข้ามเรื่องเย้ยหยันบ้าๆ เช่นบุรุษตัดแขนเสื้อกันเสียที
.
.
.
ต่างกับคนในบ้านเช่นนายท่านเหอและฮูหยิน ทั้งสองคนเอาแต่นั่งกุมขมับด้วยความเครียดเพราะไม่อยากได้สะใภ้ผู้นี้เข้ามาแม้แต่น้อย ถึงแม้จะรู้ดีว่าหยางจิวเมิ่งตั้งท้องทายาทของตระกูลเหออยู่ แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่เต็มใจอยู่ดี ในใจพวกเขานึกเสียดายอดีตคนรักของลูกชายยิ่งนัก
คุณหนูตระกูลเฉินผู้เป็นตระกูลคหบดีที่เป็นสหายเก่าแก่ของท่านเจ้าเมืองมานับสิบปี ลูกสาวของสหายรักของเขาที่หมายหมั้นให้เด็กสองคนลงเอยกัน แต่เพราะเหตุใดก็ไม่ทราบจู่ๆ เด็กสองคนนี้ก็เลิกรากันไป แล้วก็กลายเป็นว่าเขาต้องรับสะใภ้ชายเข้าบ้านหลังจากลูกชายเลิกรากับเฉินเจียวหวงได้ไม่ถึงสองเดือน
เหอจิ้นเค่อไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องราวของเขาสองคนให้คนในบ้านได้ฟังแม้แต่น้อย เพียงแต่บอกว่าเขาและเจียวหวงเลิกรากันแล้ว ด้วยนิสัยของเจ้าตัวที่เป็นคนเงียบขรึมค่อนข้างจะเก็บเนื้อเก็บตัว นอกจากทำงานบริหารกิจการของตระกูลแล้ว เหอจิ้นเค่อก็ไม่เคยเที่ยวเตร่ที่ไหน
จึงคบหากับเจียวหวงตามความคาดหวังของบิดามารดา ซึ่งแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขากับเจียวหวงก็รู้จักคุ้นเคยกันมานานด้วยความสนิทของสองบ้านที่ไปมาหาสู่กัน จึงเป็นรักที่ซึมลึกด้วยความผูกพันมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเกิดเลิกรากันขึ้นมาเหอจิ้นเค่อจึงเจ็บปวดอย่างหนัก เพราะไม่เคยคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาที่ดีมาตลอดต้องมีจุดจบเช่นนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาถูกเหอจิ้นเค่อเก็บเงียบไว้ในใจเพราะไม่รู้จะเอ่ยขึ้นมาเพื่อสิ่งใดให้ใจเจ็บ แม้แต่กับบิดามารดาเขาก็ปริปากบอกให้ทราบแม้แต่น้อย
ท่านเจ้าเมืองกับฮูหยินจึงนึกเสียดายอดีตว่าที่ลูกสะใภ้อยู่เสมอ เพราะใครๆ ก็ต่างกล่าวว่าเด็กสองคนนี้ราวกับเป็นคู่สร้างคู่สม ด้วยฐานะครอบครัว หน้าตากิริยาของคุณหนูเฉินนั้นเป็นที่เอ็นดูของพวกเขามาตลอด จึงยากจะยอมรับว่าที่ลูกสะใภ้เช่นหยางจิวเมิ่งที่ไม่เคยรู้จักกันแม้แต่น้อย ทั้งยังฐานะยากจนกว่าครอบครัวเขาชนิดเทียบไม่ติดจนไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งต้องเกี่ยวดองกับคนระดับนี้เสียด้วยซ้ำ แม้บิดาเขาจะเป็นนายอำเภอแล้วแต่ในสายตาของท่านเจ้าเมืองและฮูหยินนั้น คนตระกูลหยางก็มาจากบัณฑิตจนๆ คนหนึ่งที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาจนได้เป็นขุนนางปลายแถวแค่นั้น
.
.
.
เมื่อวันแต่งงานมาถึงหยางจิวเมิ่งถูกจับให้อยู่ภายใต้อาภรณ์ไหมสีชาดชั้นดีที่ดูสดใสงามตา ขับกับผิวขาวผ่องเนียนละเอียดของร่างบางจนดูงดงามหมดจด เหล่าแม่สื่อที่มาช่วยแต่งตัวล้วนชื่นชมที่เขาเป็นบุรุษแท้ๆ กลับดูงดงามได้ถึงเพียงนี้ ชุดแต่งงานนี้ปักลวดลายหงส์ร่อนด้วยไหมทองคำแท้ โดยช่างฝีมืออันดับหนึ่งของอี้โจวที่มีฝีมือประณีตละเอียดงดงาม แน่นอนว่าท่านย่าของเหอจิ้นเค่อเป็นคนจัดการหาช่างฝีมือดีที่สุดหลายคนของเมืองอี้โจวมาเป็นผู้ช่วยจัดเตรียมชุดแต่งงานนี้ให้เพื่อให้ชุดนี้เสร็จทันวันงานพิธีด้วยเงินจำนวนมากเช่นเคย
แม้แต่งกายคล้ายเจ้าสาว แต่ชุดที่ตัดยังคงเป็นแบบบุรุษแต่ดูอ่อนช้อยกว่าชุดของบุรุษอยู่หลายส่วน เส้นผมดำขลับมันสลวยถูกเกล้าขึ้นสวมด้วยเครื่องประดับศีรษะเช่นชายทั่วไปแต่แผงด้วยลวดลายที่ดูอ่อนช้อยงดงามกว่ามากนัก ภายใต้ชุดแต่งงานที่สวยหรูผู้ที่ต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าสาววันนี้กำลังอยู่ในอาการประหม่าเพราะตื่นเต้นอย่างหนัก
กว่าเหล่าแม่สื่อจะจับคลุมผ้าเจ้าสาวได้ร่างบางวิ่งวนอาเจียนไปแล้วไม่รู้กี่รอบ เหล่าแม่สื่อต่างคอยวิ่งวุ่นดูแลเป็นอย่างดีไม่มีบกพร่องตามคำสั่งที่ได้รับจากฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่กล้าละเลย เวลานี้ใกล้ถึงฤกษ์ส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวแล้ว ขบวนรับเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูเรือนยาวเหยียดไปจนสุดตา ผู้คนล้วนมารอมุงดูกันตั้งแต่เช้าอย่างตื่นเต้น งานแต่งครั้งนี้ตระกูลเหอจัดอย่างวิจิตรยิ่งใหญ่อลังการสมฐานะตระกูลใหญ่ของเมือง
"อาเมิ่งเจ้าเสร็จแล้วหรือยัง" ฮูหยินหยางเข้ามาดูความเรียบร้อยหลังจากใกล้เวลาฤกษ์ยามแล้วยังไม่เห็นเจ้าสาวออกจากห้อง
"อ๊อค..อุ๊บ ขะ ขอรับท่านแม่ ข้าเสร็จแล้ว" หยางจิวเมิ่งกล่าวอย่างพะอืดพะอมทำท่าเหมือนจะอาเจียนขณะที่แม่สื่อกำลังคลุมผ้าให้ใหม่
"เอ้านี่ อมไว้จะได้ไม่คลื่นไส้นัก น่ารำคาญนักเจ้านี่" ฮูหยินหยางส่งส้มเปรี้ยวให้หยางจิวเมิ่งอมไว้และเก็บไว้ทานระหว่างทาง นางเพิ่งได้ทราบว่าเขาตั้งครรภ์เมื่อวานนี้เองเพราะหยางจิวเมิ่งอาเจียนหนักจนเกือบเป็นลมต่อหน้านาง ความลับเรื่องที่ตั้งครรภ์จึงถูกเปิดเผยออกมา คราแรกนางโกรธมากและดุด่าลูกเลี้ยงยกใหญ่ด้วยความโมโหที่ถูกปิดบังเรื่องนี้จนหยางจิวเมิ่งรู้สึกผิดไม่น้อย
แต่สุดท้ายก็เป็นนางที่มีประสบการณ์ตั้งครรภ์ช่วยประคองอาการไม่ให้ล้มป่วยไปเพราะทนรำคาญอาการแพ้ท้องของเจ้าตัวดีนี่ไม่ไหว นางจึงหาส้มเปรี้ยวมาฝานเป็นแผ่นไว้ให้แก้อาการคลื่นไส้ ซึ่งดีว่ามันพอจะช่วยได้บ้างนิดหน่อย เพราะหยางจิวเมิ่งแพ้ท้องหนักกว่าสมัยนางตั้งครรภ์เสียอีก
เจ้าสาวถูกนำตัวมาเพื่อเตรียมเดินทาง หยางจิวเมิ่งร่ำลาบิดาและแม่เลี้ยง น้องชายสองคนเด็กดื้อของเขาที่ในวันนี้ทั้งคู่กลับกอดพี่ชายแน่น อาจเป็นเพราะคนเคยอยู่เห็นหน้ากันทุกวัน แม้จะไม่ค่อยได้เล่นได้คุยกันนักแต่อยู่ๆ มาจากลากันเพราะต้องไปอยู่ที่อื่นอย่างกะทันหันจึงทำให้รู้สึกใจหายไม่น้อย ถึงอย่างไรเด็กย่อมเป็นเด็กแม้พวกเขาจะดื้อขนาดไหนก็ตาม แต่ความผูกพันในฐานะพี่น้องก็ต้องย่อมมีอยู่บ้าง นี่กระมังที่เรียกว่าสายใยความเป็นพี่น้อง ความผูกพันกันในสายเลือด
การร่ำลาครอบครัวครั้งนี้แม้จะไม่ได้เป็นการลาจากกันชั่วชีวิต เพราะตระกูลเหอกับบ้านเขาไม่ได้ห่างไกลกันนัก แต่ก็ทำเอาเจ้าสาวน้ำตาซึม
"อาเมิ่งไปอยู่ที่นั่นอย่าดื้อดึงนะลูกเชื่อฟังพ่อแม่สามีเหมือนเขาเป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ ของลูกและต้องกตัญญูเหมือนเช่นที่เจ้าทำต่อพ่อเข้าใจหรือไม่"
"ขอรับท่านพ่อ ข้าจะไม่ดื้อจะเคารพเชื่อฟังและกตัญญูต่อท่านเจ้าเมืองและฮูหยินเหมือนท่านพ่อและท่านแม่แท้ๆ"
"แล้วอย่าซื่อบื้อจนโดนคนบ้านนั้นกลั่นแกล้งล่ะ เจ้ามันโง่นัก หัดจัดการคนอื่นบ้างใครดีมาก็ดีด้วยใครร้ายกับเจ้าก็ร้ายตอบไปบ้าง"
"ฮูหยิน" ผู้เป็นสามีห้ามปรามเล็กน้อยเมื่อเห็นภรรยาสั่งสอนลูกชายอย่างประหลาดนัก
"ก็จริงนี่เจ้าคะท่านพี่ เจ้านี่ยิ่งโง่ๆ อยู่ ไปสอนให้ยอมมากๆ เดี๋ยวก็โดนแม่สามีกดขี่เอาหรอก"
หยางจิวซือผู้เป็นสามีได้แต่ส่ายหน้าระอากับคำสอนประหลาดของภรรยาแต่ก็ไม่ได้ว่ากระไร
"อาเมิ่ง ไปเถอะลูกถึงเวลาแล้วเดี๋ยวจะเลยฤกษ์"
"ท่านพ่อท่านแม่รักษาสุขภาพด้วยนะขอรับ แต่นี้ไปลูกไม่อาจอยู่ดูแลท่านและน้องๆ ได้แล้ว พวกท่านต้องดูแลตัวเองดีๆ"
"ไปซะทีเถอะน่า อย่าพิรี้พิไรเดี๋ยวเลยเวลามงคล น่ารำคาญ" ฮูหยินหยางรีบไล่เด็กตรงหน้าเพราะไม่อยากได้ยินถ้อยคำที่ทำให้ซาบซึ้งใจใดๆ นางนะไม่ได้รักไยดีเด็กนี่แม้แต่น้อย ไม่มีทาง
"ฮูหยิน" นายอำเภอหยางปรามภรรยาเล็กน้อย จนฮูหยินหยางต้องเก็บปากเก็บคำ
"....."
"โชคดีนะลูก"
"ดูแลตัวเองกับลูกดีๆ ล่ะ" ฮูหยินหยางพูดไม่เต็มเสียงนักก่อนเบือนหน้าหนีไป
หยางจิวเมิ่งคารวะบิดามารดาเลี้ยงอย่างนอบน้อมด้วยความเคารพ สีหน้าเต็มไปด้วยความอาวรณ์และซาบซึ้งใจ ผู้เป็นบิดาคลุมผ้าเจ้าสาวปิดใบหน้าให้บุตรอีกครั้งด้วยตัวเอง หลังทำการร่ำลาบิดาและทุกคนในครอบครัว จิวเมิ่งก็ก้าวออกจากตระกูลหยางขึ้นเกี้ยวตรงไปยังตระกูลเหอทันที โดยมีแม่สื่อคอยประคองและดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ตามคำสั่งฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเคร่งครัด
เกี้ยวรับเจ้าสาวตรงไปยังตระกูลเหอพร้อมกับขบวนแห่สุดยิ่งใหญ่ ประชาชนในเมืองต่างมุงดูกันตลอดทางจนวุ่นวาย งานแต่งนี้คงถูกกล่าวขานถึงไปอีกหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปีหรือหลายปีเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะเป็นงานแต่งที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่เมืองนี้เคยมีการจัดมา ด้วยจำนวนผู้ร่วมขบวนและมโหรีวงใหญ่ที่ร่วมบรรเลงในการแห่เจ้าสาวที่จัดอย่างยิ่งใหญ่หรูหราตระการตาสมฐานะตระกูลใหญ่ของอี้โจว
เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงตระกูลเหอเจ้าบ่าวก็มารอรับตัวอยู่ที่หน้าจวนแล้ว เขาเข้าประคองเจ้าสาวทันทีที่เจ้าสาวก้าวเดินออกจากเกี้ยว มือหนาประคับประคองร่างบางอย่างระมัดระวังตลอดทางด้วยความทะนุถนอม พิธีการเริ่มขึ้นตามขั้นตอนที่ควรเป็นเช่นพิธีแต่งงานของชายหนุ่มและหญิงสาวทั่วไป เมื่อทุกอย่างจบสิ้นเจ้าสาวก็ถูกนำตัวส่งไปยังห้องหอเพื่อรอให้เจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าในขั้นสุดท้ายก่อนจะร่วมหอกัน
ร่างบางที่ถูกส่งตัวเข้ามารอเจ้าบ่าวในห้องหอ ก็พาให้นั่งรออย่างกระวนกระวายด้วยความตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก มือบางทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตนเองแน่นจนยับยู่ยี่ด้วยความกลัวลึกๆ ในใจ ขณะที่หัวใจดวงน้อยๆ เต้นระส่ำจนแทบจะหลุดออกจากร่าง ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวของบางคนที่ผ่านประตูห้องเข้ามา
เหอจิ้นเค่อรีบปลีกตัวออกมาจากผู้ที่มาร่วมยินดีในงานแต่งของเขาอย่างไวที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ก็ยังกินเวลาไปไม่น้อย เมื่อสามารถหลุดพ้นจากแขกในงานมาได้เขาก็รีบตรงมายังห้องหอด้วยความเป็นห่วงร่างบางที่อยู่คนเดียว อาการแพ้ท้องของอีกฝ่ายยังไม่หายดีจึงทำให้เขาเป็นกังวลหนักหนา พอก้าวถึงห้องหอเขาก็รีบตรงไปเปิดผ้าคลุมหน้าออกให้ร่างบางที่นั่งรออยู่ทันที
ภายใต้ผ้าคลุมสีชาดนั้นปรากฏใบหน้าเรียวเล็กงดงามที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาหลบสายตาผู้เปิดผ้าด้วยความประหม่า มือบางยังคงกำชายเสื้อตนไว้แน่นจนบัดนี้มือทั้งสองชื้นไปด้วยเหงื่อ
"..."
"เหนื่อยหรือไม่ มาข้าจะช่วยเจ้าถอดเครื่องประดับและชุดออกจะได้พักผ่อน" ร่างหนากล่าวด้วยสีหน้าที่เจือรอยยิ้มทรงเสน่ห์เล็กน้อย ยามเมื่อได้ยลโฉมเจ้าสาวผู้งดงามตรงหน้า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาโดยสมบูรณ์ในยามนี้
"..."
ร่างบางไม่ได้ตอบอะไรยังคงก้มหน้างุดอยู่อย่างนั้น เขาก็ไม่รู้ตัวเองเขินอายหรืออย่างไรกันแน่แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นของอีกฝ่ายพร้อมกับท่าทีที่นุ่มนวลมันกลับทำให้ใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ จนไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ
ร่างหนาไม่รอคอยคำตอบใดๆ ตรงเข้าไปช่วยจัดการเครื่องแต่งกายของร่างบางทันที มือหนาไล่ถอดเครื่องประดับบนศีรษะออกให้ก่อนจะค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมตัวหนาที่ค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควรออกจนร่างบางเหลือเพียงเสื้อตัวในสำหรับนอน
"เหล้ามงคลท่านย่าสั่งคนให้เปลี่ยนเป็นชาแทน เจ้าจะได้ดื่มได้ ดื่มเหล้าจะไม่ดีกับลูก มาดื่มหน่อยเถอะ"
ร่างหนาส่งจอกน้ำชาไปให้หยางจิวเมิ่งก็รับมาดื่มแต่โดยดี ก่อนที่จอกจะถูกยกดื่มกลับถูกมือหนารั้งห้ามเอาไว้เสียก่อน
"ท่านย่าบอกว่าต้องคล้องแขนดื่มตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับสุราจะได้เป็นมงคล"
ร่างบางได้แต่มองตาปริบๆ ทำตามด้วยความเขินอายจนแทบลืมหายใจเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายอีกทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนและสายตาเป็นประกายของคนตรงหน้าทำเอาใจของเขาเต้นระส่ำไม่หยุด แขนทั้งคู่คล้องเข้าหากันก่อนที่จะยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มจึงยิ่งทำให้เขายากจะหลบเลี่ยงสายตาของคนตรงหน้าที่มองเขาอย่างสื่อความหมาย
ดวงตาคมเข้มเป็นประกายรับกับใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลักของเหอจิ้นเค่อนั้นทำให้ยากจะปฏิเสธได้ว่าอีกฝ่ายรูปงามสง่าดั่งเทพเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเสียจริงๆ แม้จะรู้สึกเขินอายจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็ต้องทำตามคำของคนตรงหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความชิดใกล้จึงทำให้สายตาของเขาทั้งคู่ได้ประสานกันและกันอย่างลึกซึ้ง จอกน้ำชาถูกดื่มจนหมดพร้อมกับอาการผิดปกติของหยางจิวเมิ่งที่เพิ่งเริ่มเกิดอาการแพ้ท้องกำเริบขึ้นมาทันทีที่ได้มองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ
"อุ๊...อ๊วก........."
ร่างหนามัวแต่ตะลึงความงดงามคนตรงหน้าจนเผลอไผลลืมตัว เขาหลงลืมไปว่าการอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากๆ จะทำให้อาการแพ้ท้องของร่างบางกำเริบขึ้นมาได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มอาเจียนจึงรีบเข้าไปลูบหลังให้ห่างๆ ร่างบางอาเจียนออกมาเพียงนิดก็มีแต่ความว่างเปล่าเพราะทั้งวันวุ่นวายกับพิธีจนแทบไม่ได้ทานอะไร หยางจิวเมิ่งเซล้มลงเพราะอาการเวียนหัวตีขึ้นมาฉับพลัน อกแกร่งของเหอจิ้นเค่อเป็นที่พักพิงที่อบอุ่นและแข็งแรงในยามร่างบางเซล้มลงมา
"เป็นอย่างไรบ้างไหวหรือไม่" ชายหนุ่มก้มหน้าลงถามคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความกังวลหลังจากเอาตัวเข้ารับไว้ได้อย่างทันท่วงที
"ไม่ ข้าเวียนหัวมาก มันไม่มีแรง" พูดได้แค่นั้นร่างบางก็ทำท่าจะทรุดลงไปอีกเหอจิ้นเค่อจึงรีบอุ้มเขาไปยังเตียงนอนให้ร่างบางได้พักผ่อน
"วันนี้ยังไม่ได้ทานอะไรใช่หรือไม่" เหอจิ้นเค่อถามภรรยาด้วยสีหน้าเริ่มจะเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงอาการของคนตรงหน้าที่สีหน้าเริ่มซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
"อืม ข้าทานเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด แถมวันนี้ก็วุ่นวายทั้งวันจึงไม่ได้ทานอะไร" ร่างบางเอ่ยตอบไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก เวลานี้เขาทั้งไร้เรี่ยวแรงและวิงเวียนเป็นอย่างมากเหมือนห้องนี้หมุนไม่หยุด หยางจิวเมิ่งจึงได้แต่นั่งพิงหัวเตียงหลับตานวดขมับตัวเองช้าๆ อยู่อย่างนั้นเพื่อพยายามไล่อาการวิงเวียนออกไป
"เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะไปสั่งให้บ่าวนำโจ๊กมาให้เจ้าทานเสียหน่อยจะได้มีแรง"
"อือ"ร่างบางพยักหน้ารับอย่างอ่อนแรง
เพียงชั่วอึดใจโจ๊กร้อนๆ ก็ถูกนำเข้ามาให้ฮูหยินน้อยได้ทาน เหอจิ้นเค่อประคองร่างบางขึ้นและจัดการป้อนโจ๊กให้
"ข้าทานเองดีกว่า กลัวว่าท่านป้อนข้าแล้วจะทำให้ข้าอยากอาเจียนอีก"
"ไหวหรือ"
"อือ ไหว" ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยโจ๊กนั้นมาถือเอาไว้
"เช่นนั้นก็ค่อยๆ ทาน ข้าจะอยู่ข้างๆ หากต้องการอะไรก็บอก ข้าจะหยิบให้"
"ขอบคุณ"
เหอจิ้นเค่อนั่งมองฮูหยินน้อยทานโจ๊กจนหมดดูเหมือนเขาจะหิวมากโชคดีที่โจ๊กเปล่าเป็นหนึ่งในของไม่กี่อย่างที่จิวเมิ่งสามารถทานเข้าไปได้โดยไม่เหม็นจนอยากอาเจียน ร่างบางที่บอบบางอยู่แล้วตอนนี้ดูผอมลงกว่าเมื่อครั้งแรกที่เขาพบกันมากคงเป็นเพราะอาการแพ้ท้องหนักหน่วงที่อีกฝ่ายต้องเจอ แม้จะสงสารหนักหนาก็ไม่รู้จะช่วยเช่นใดได้คุณชายเหอได้แต่ทอดมองคนตรงหน้าด้วยความกังวล
"พรุ่งนี้เช้าข้าจะเชิญท่านหมอมาตรวจเจ้าเสียหน่อย หากปล่อยเช่นนี้เจ้าและลูกอาจจะอันตรายทั้งคู่ แพ้ท้องหนักเช่นนี้ลูกจะเอาอะไรไปเติบโตกัน"
"ก็ดีขอรับแล้วแต่ท่านเถิด"
"ทานเสร็จแล้วเจ้าก็พักผ่อนเถิดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" ร่างหนารับถ้วยโจ๊กออกมาจัดการเก็บให้เรียบร้อยและเรียกคนรับใช้หน้าห้องให้มารับถ้วยไปก่อนจะเดินไปรินน้ำชาให้ร่างบางดื่ม จัดการใช้ผ้าเช็ดปากให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
"..." สีหน้าร่างบางเวลานี้ดูเป็นกังวลเหมือนมีบางอย่างจะพูดแต่ก็ไม่กล้ากล่าวออกมา คุณชายเหอจึงชิงพูดออกมาก่อนเพราะพอจะเดาใจอีกฝ่ายได้
"ไม่ต้องห่วง ข้าจะนอนตรงนี้เจ้านอนให้สบายใจเถิด" เขาพูดขณะที่ตัวเองกำลังจัดที่นอนบนตั่งเล็กๆ ในห้อง
"แต่ท่านจะลำบากเปล่าๆ มานอนที่เตียงนี้เถิดขอรับ ข้าตัวเล็กกว่าให้ข้านอนที่ตั่งนั่นเอง"
"ไม่ได้จะให้เจ้ามานอนตรงนี้ได้อย่างไร จะนอนไม่สบายเอาได้ และบนนี้ไม่กว้างนักหากพลาดตกลงมาจะอันตราย นอนบนเตียงนั้นเถิดเชื่อข้า ข้าไม่ลำบากอันใด" คุณชายเหอยังคงสุภาพและอ่อนโยนเช่นเดิมเขากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นและจริงใจ
"ที่จริง... ท่านจัดให้ข้านอนห้องรับแขกก็ได้นะขอรับ ข้าจะได้ไม่รบกวนท่านให้ลำบาก" ร่างบางกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกเกรงใจเมื่อเห็นเจ้าของห้องต้องระเห็จไปนอนบนตั่งอย่างลำบากเช่นนั้น
"จิวเมิ่ง เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้วจะนอนแยกห้องกันได้อย่างไร"
"..." ร่างบางได้ฟังก็ไม่รู้จะเถียงอันใดได้ ทำได้เพียงก้มหน้าหลบสายตาคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ คำว่าภรรยาได้ยินทีไรก็ไม่คุ้นเคย เขารู้สึกประหลาดเมื่อได้ยินคำนี้ ได้ยินทีไรเหมือนหัวใจเขาจะเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทุกที
"ข้าง่วงนอนแล้ว" ร่างบางเปลี่ยนเรื่องแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังในทันทีเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นอากัปกิริยาที่ผิดแปลกไปของตนเอง แต่มันก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาที่จับจ้องเขาไม่วางตาในเวลานี้ได้เช่นกัน ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนที่คอยแอบสังเกตอากัปกิริยาอีกฝ่ายตลอดเวลานั้น กำลังพอใจอย่างมากที่ได้เห็นว่าร่างบางนั้นเขินอายเพียงใด ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนมะเขือเทศสุกมันฟ้องว่าคนตัวเล็กกว่ากำลังเขินอายอย่างมาก จนดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย
"ฝันดี" คุณชายเหอกล่าวพลางยกยิ้มให้กับความน่ารักของภรรยา ก่อนล้มตัวลงนอนพักผ่อนเช่นกัน
.
.
.
TBC.
#พรวิเศษ