บทที่ 4.1
วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี
หลังจากกินมื้อเช้าร่วมกัน สามพี่น้องตระกูลซ่งก็แยกย้ายกันออกจากบ้าน วันนี้ซ่งไป๋ลู่ยังคงให้ซ่งหานลู่เก็บผลท้อและนางเก็บผลบ๊วยเช่นเดิม ทว่ายามที่ซ่งต้าลู่มาขนของไปไว้ที่ตระกูลกู้ ซ่งไป๋ลู่ก็แยกผลท้อและบ๊วยออกมาอีกอย่างละหนึ่งตะกร้ากลับมาที่บ้านด้วย
“พี่รองท่านเอาผลท้อกับบ๊วยกลับมาทำไมตั้งมากมาย”
ซ่งหานลู่เอ่ยอย่างเสียดาย ผลไม้สองตะกร้านี้หากเอาไปขายย่อมซื้อเนื้อหมูกลับมาเพิ่มได้อีกสองจินแน่ๆ ซ่งไป๋ลู่มองสายตาของน้องสายแล้วยิ้มกว้างเอ่ยเสียงสดใส
“ผลท้อกับบ๊วยบนเขาเหลือไม่มากแล้ว หากไม่แบ่งมาตอนนี้ยามฤดูหนาวมาถึงคงไม่มีบ๊วยดอง ท้อแห้งให้เจ้ากิน”
ซ่งต้าลู่ที่เดิมทีก็สงสัยไม่ต่างจากน้องชายเมื่อได้ยินน้องสาวอธิบายมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมองแผ่นหลังเล็กที่เดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่จึงเป็นคนเข้าครัว และให้ซ่งไป๋ลู่จัดการกับผลท้อและผลบ๊วยที่เก็บมาเหล่านั้น
“พี่รองท่านทำบ๊วยดองเป็นด้วยหรือ”
ซ่งไป๋ลู่ถึงกับยิ้มแห้งเมื่อได้ยินคำของเด็กชายตัวน้อย แน่นอนว่าหากเป็นซ่งไป๋ลู่คนเดิมคงทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ แต่นางคือซ่งไป๋ลู่นักรีวิวนิยายที่ติดทอปชาร์ตมีผู้ติดตามหลายร้อยคน และเหตุผลหลักที่นางสามารถครองค่าความนิยมเหล่านี้ไว้ได้นั่นก็เพราะนอกจากอ่านและวิเคราะห์นิยายแล้ว ทุกเรื่องที่นักเขียนกล่าวถึงนางยังสืบค้นข้อมูลอย่างละเอียดอีกด้วย ดังนั้นไม่เพียงแค่การแปลรูปถนอมอาหาร ลงครัวทำของกินทั้งคาวหวาน ทำการเกษตร แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ง่ายๆ นางก็สมัครคอร์ดลงเรียนมาหมดแล้ว
“ตอนที่ข้าล้มป่วยท่านเทพบนสวรรค์สอนข้ามา พี่รองของเจ้าคนนี้ถึงได้เก่งเช่นนี้อย่างไรเล่า”
“พี่รองท่านกำลังเล่านิทานหลอกเด็กหรือไง ข้าไม่ใช่เสี่ยวเหม่ยนะ”
เสี่ยวเหม่ยที่ซ่งหานลู่เอ่ยถึงคือกู้เหม่ย น้องสาวของกู้เหยียนนั่นเอง เพียงแต่อีกฝ่ายอายุสามขวบส่วนซ่งหานลู่อายุห้าขวบ ห่างกันเพียงสองปีเท่านั้น เจ้าก้อนแป้งของนางก็คิดว่าตนเองโตมากแล้วอย่างนั้นหรือ
“หากเจ้าไม่เชื่อพี่รองก็จนใจ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเสียงน้อยใจ ยกผลท้อแกะเมล็ดแล้วฝานเป็นแผ่นกลมๆ เดินเข้าไปในครัว ซ่งหานลู่คิดว่าตนเองทำให้พี่สาวน้อยใจก็รีบลงจากแคร่หน้าบ้านวิ่งตามอีกฝ่ายไปในทันที
“เชื่อขอรับ! พี่รองเอ่ยสิ่งใดข้าล้วนเชื่อทั้งสิ้น”
ซ่งไป๋ลู่แสร้งทำสีหน้าพอใจ เมื่อเห็นว่าทำให้พี่สาวคลายโทสะแล้วเด็กชายก็ถอนหายใจยาว เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเนื้ออยู่ในมือพี่รอง หากนางไม่พอใจแล้วหยุดซื้อเนื้อมาทำอาหาร ท้องของเขาคงต้องทรมานแน่นอน
“พี่ใหญ่เตาว่างหรือไม่”
“อืม... ข้าต้มน้ำไว้ให้เจ้าแล้ว”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเอาท้อแผ่นลงไปต้มพร้อมน้ำตาลกรวด ระหว่างรอก็เอาผลบ๊วยที่คัดมาอย่างดีและล้างจนสะอาดแล้วใส่ลงในไห เติมน้ำต้มสุกที่ผสมน้ำตาลและเกลือลงไป ปิดฝาเอาไว้แล้วยกไปวางที่มุมด้านหลัง
“ข้ายกเอง”
เป็นซ่งต้าลู่ที่เข้ามาช่วยยกไหหนักทั้งสามใบ ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเด็กหนุ่มคนนี้ช่างดีเสียจริง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิตของเจ้าของร่างนางย่อมเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต ซ่งไป๋ลู่สลัดความคิดนี้ออกจากหัวก่อนจะหยิบท้อที่ต้มได้ที่แล้วออกมาใส่กระจาดไม้ไผ่สาน วางเรียงเอาไว้ตากแดดในวันพรุ่งนี้
“อาไป๋ อยู่หรือไม่”
เสียงของกู้เหยียนดังขึ้นที่หน้าประตูรั้ว ซ่งไป๋ลู่ไม่ทันออกมาเปิดประตู ซ่งหานลู่ก็วิ่งมาเปิดเสียก่อน
“พี่กู้เหยียนได้เนื้อหมูมาหรือไม่”
กู้เหยียนได้ยินคำถามของเจ้าซ่งน้อยก็ยิ้มกว้างขบขัน ส่งเนื้อหมูหนึ่งจินให้เขา ซ่งหานลู่รับแล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวทันที ขณะที่ซ่งต้าลู่และซ่งไป๋ลู่เดินสวนออกมาขนของเข้าไปเก็บในโรงครัว
“นมแพะของเจ้า”
กู้เหยียนเอ่ยพร้อมส่งถุงหนังสัตว์ที่ใส่นมแพะมาจนเต็มถุงให้ซ่งไป๋ลู่ ทว่ากลับเป็นมือหนาของสหายที่มารับแทน
“ขอบใจเจ้ามาก ผลท้อกับบ๊วยข้าขนไปไว้ที่บ้านเจ้าแล้ว”
“อ่อ...”
เมื่อถูกสหายดักทางเช่นนี้กู้เหยียนก็ทำได้เพียงขานรับ ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองลืมสิ่งสำคัญไป
“นี่เงินของเจ้า”
ครั้งนี้ซ่งต้าลู่ไม่กล้ารับแทนซ่งไป๋ลู่จึงเป็นฝ่ายยื่นมือมารับ คาดคะเนจากน้ำหนักแล้วเก็บถุงเงินใส่เสื้อในทันที
“อาไป๋ เจ้าสมควรนับเงินก่อน”
“ข้าเชื่อใจท่าน”
นางทำการค้ากับกู้เหยียน หากไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความเชื่อใจย่อมร่วมงานกันได้ไม่นาน ทว่าคนที่ได้ยินประโยคนี้กลับร้อนผ่าวจนแก้มสีคร้ามแดงก่ำ ซ่งต้าลู่เห็นท่าทางเช่นนี้ของสหายก็หงุดหงิดใจนัก น้องรองของเขาเพิ่งสิบขวบ สิบขวบเท่านั้น!
“ฟ้ามืดแล้ว อาเหยียนกลับบ้านเถิด”
กู้ฉินเอ่ยเรียกลูกชาย เมื่อเป็นเช่นนี้ซ่งต้าลู่ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจที่ไม่ต้องคิดหาวิธีไล่คนอีก
ยามที่สองพ่อลูกตระกูลกู้จากไปแล้ว สามพี่น้องตระกูลซ่งก็ลงมือกินมื้อเย็น และแน่นอนว่าก่อนนอนซ่งไป๋ลู่ก็จะยกแก้วไม้ไผ่ที่ใส่นมแพะอุ่นมาให้พวกเขาอีกคนละหนึ่งแก้ว และซ่งหานลู่ยังต้องดื่มในตอนเช้าอีกหนึ่งแก้ว
............................................
ซ่งไป๋ลู่มองตะกร้าผลท้อและผลบ๊วย ตะกร้าสุดท้ายแล้วถอนหายใจยาว สามเดือนแล้วที่นางเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ แม้ไม่มีวาสนาได้ทะลุมิติเข้ามาเป็นบุตรีขุนนางใหญ่ หรือเชื้อพระวงศ์เช่นที่นักเขียนนิยมกัน แต่ชีวิตเช่นนี้ของนางก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร คิดดูแล้วหากนางต้องเข้ามาตบตีแย่งชิงความรักจากบุรุษ หรือต้องขบคิดประลองไหวพริบปะทะวาจา นางกลับรู้สึกว่าชีวิตเช่นสบายมากกว่า เรียกว่าวาสนาดีไม่สู้มีชีวิตที่ดี
“พี่รองลูกท้อกับลูกบ๊วยบนเขาไม่มีให้เก็บแล้ว ข้าจะยังมีเนื้อกินหรือไม่”
ซ่งหานลู่ที่ยามนี้หายใจเข้าออกเป็นเนื้อหมูเอ่ยเสียงเศร้า ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาวเอ่ยเสียงจริงจัง
“หากเจ้าอยากมีเนื้อกินทุกวัน ต่อไปก็ต้องช่วยข้าทำสวนเข้าใจหรือไม่”
“ล้วนเชื่อฟังพี่รอง”
เชื่อฟังพี่รองอะไรกัน ทั้งหมดล้วนเพื่อกระเพาะน้อยๆ ของเขาต่างหาก ซ่งไป๋ลู่มองเด็กชายวัยห้าขวบที่ตอนนี้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาก แก้มแห้งตอบกลมยุ้ย ผิวพรรณกระจ่างสดใส เพียงมองเห็นก็รับรู้ได้ถึงสุขภาพที่ดี
หลังจากที่รู้ว่าต่อไปซ่งไป๋ลู่จะไม่มีผลไม้มาฝากขายอีกแล้วกู้เหยียนก็มีสีหน้าสลดลง เพราะสามเดือนที่ผ่านมานี้นอกจากความยินดีที่ได้หน้าเด็กหญิงทุกวันแล้ว ในใจของกู้เหยียนยังภาคภูมิใจกับเงินในกระเป๋าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
“รอเดือนหน้าผลพลับบนเขาเริ่มสุก พวกเราค่อยมาร่วมหุ้นกันอีกนะเจ้าคะ ”
เมื่อได้ยินว่าเดือนหน้านางจะร่วมหุ้นกับตนอีก กู้เหยียนก็ยิ้มกว้าง แววตาที่เศร้าหมองเปล่งประกายเบิกบาน
“ข้าจะรอร่วมหุ้นกับเจ้า”
ซ่งต้าลู่ไม่เข้าใจ ร่วมหุ้น ที่คนทั้งสองเจรจากัน แต่ที่แน่ๆ เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นว่าสหายสนิททำตัวใกล้ชิดน้องสาวของเขา
"วันนี้ข้ายังถอนมันเทศมาได้สามตะกร้า ป้าชุนเคยบอกว่าเป็นของดีมีราคานิยมกินในหมู่ขุนนาง คงต้องรบกวนพี่กู้ช่วยเป็นธุระจัดการแล้ว"
ซ่งไป๋ลู่บอกด้วยรอยยิ้มกว้าง คราวก่อนซ่งต้าลู่ได้มันเทศพันธ์ดีมาจากป้าชุน หลังดูแลมาสามเดือนกว่าในที่สุดก็สามารถนำมาสร้างเงินได้เสียที
“ไม่ใช่เรื่องยาก ข้าค้าขายมาหลายเดือนรู้จักสาวใช้จวนขุนนางแทบทุกหลัง เรื่องนี้ย่อมจัดการให้เจ้าได้อย่างดีแน่นอน"
"ขอบคุณพี่กู้มาก"
"ว่าแต่อาไป๋ ระหว่างนี้เจ้ายังต้องการให้ข้าซื้อนมแพะมาให้อยู่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ หากวันไหนท่านลุงกู้เข้าเมืองรบกวนพี่กู้เหยียนซื้อมาฝากข้าด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ขอเพียงอาไป๋ต้องการ ต่อให้ท่านพ่อไม่เข้าเมืองข้าก็จะเดินไปซื้อให้”
“พี่กู้เหยียนซื้อเนื้อหมูมาด้วยได้หรือไม่”
ยังคงเป็นซ่งหานลู่ที่ร้องอยากกินเนื้อหมูทุกวัน ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาวส่ายหน้าอย่างระอาใจ
............................................
น้องไป๋อายุแค่สิบขวบคนก็จ้องจับจองแล้ว ถ้าผ่านวัยปักปิ่นมีหวังพี่ใหญ่ต้าได้นั่งคุมแน่ๆ