บทที่ 4.2 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี

1863 คำ
บทที่ 4.2 วาสนาดีไม่สู้ชีวิตดี เมื่อกู้เหยียนจากไปแล้วซ่งไป๋ลู่ก็เข้ามาในครัวตรวจดูของใช้ว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือไม่ ยามนี้ไม่มีเงินมาเติมในกระเป๋า เรื่องใดไม่ควรจ่ายนางก็ต้องระวังให้มากขึ้น “น้องรอง เจ้าไม่ควรตามใจน้องเล็กมากเกินไป นมแพะกับเนื้อหมูเป็นของมีราคาไม่จำเป็นต้องกินทุกวันก็ได้” ซ่งต้าลู่ที่เดินตามหลังนางเข้ามาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย น้องสาวของเขาหาเงินมาด้วยความยากลำบาก ทว่าแปดในสิบล้วนเอามาลงท้องพวกเขาจนหมดสิ้น “น้องเล็กเป็นเด็กกำลังโตจำเป็นต้องบำรุงให้มาก ภายหน้าสุขภาพจะได้แข็งแรง” “แต่ว่า...” “พี่ใหญ่... สำหรับข้าไม่มีสิ่งใดล้ำค่ามีราคาไปกว่าพวกท่าน” ซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกด้วยความจริงใจ ชีวิตของซ่งไป๋ลู่ผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร่างเดิมในอดีตหรือตัวนางในปัจจุบันล้วนมีเพียงสองพี่น้องแซ่ซ่งที่ห่วงใยนางจากใจจริง ดวงตากลมของซ่งไป๋ลู่แดงก่ำเล็กน้อยเมื่อคิดถึงประโยคหนึ่งในนิยาย เพราะของดีๆ ล้วนเอามาลงท้องซ่งไป๋ลู่จนหมด น้องชายคนเล็กที่อดๆ อยากๆ อายุสิบสามก็ล้มป่วยและตายจากไป เมื่อคิดว่าอีกแปดปีเจ้าก้อนแป้งช่างเจรจาซ่งหานลู่ต้องตายจากไป หัวใจของซ่งไป๋ลู่ก็ไม่อาจยอมรับ ดังนั้นทุกวันนี้ของดีล้วนสรรหามาบำรุงให้เขา อีกทั้งยังพาขึ้นเขาฝึกร่างกายเล็กๆ ให้แข็งแรง “น้องรองเจ้าเป็นคนฉลาดรู้ความ ย่อมรู้ว่าเงินทองสำคัญมากแค่ไหน หากใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้ภายหน้าจะลำบาก” “ขอเพียงมีท่านกับน้องเล็กอยู่เคียงข้าง ให้ยากลำบากอีกสักหน่อยข้าก็ทนได้เจ้าค่ะ” “พี่รอง!” เสียงเล็กสั่นเครือวิ่งเข้ามาในครัวโผเข้ากอดเอวบางเล็กของพี่สาว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พี่สาวของเขาผอมลงเช่นนี้ ในใจของซ่งหานลู่พลันรู้สึกผิดขึ้นมา ยิ่งคิดถึงข้าวในถ้วยที่นางมักแบ่งให้เขากินในใจของเด็กชายก็ยิ่งสั่นสะท้านกระชับอ้อมแขนเล็กแน่น “น้องเล็กเจ้าเป็นอะไรไป หรือว่าอยากกินเนื้อเพิ่ม” “ไม่เอาข้าไม่กินแล้ว ต่อไปข้าไม่กินเนื้อ ไม่กินนมแล้ว” ซ่งไป๋ลู่ขมวดคิ้วเล็ก ดูเหมือนเรื่องที่นางกับซ่งต้าลู่สนทนากันเมื่อครู่เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยผู้นี้จะได้ยินหมดแล้ว “น้องเล็กเจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด พี่รองให้เจ้ากินเนื้อกินนมนั่นเพราะต้องการให้เจ้าแข็งแรง ภายหน้าจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย รู้หรือไม่ค่าหมอค่ายานั้นแพงกว่าค่าหมูค่านมเสียอีก” “จริงหรือขอรับ” “พี่รองเคยหลอกเจ้าหรือ” “ท่านหลอกข้าเสมอ” ซ่งไป๋ลู่พลันยิ้มแห้ง เรื่องนี้หากจะโทษก็ต้องโทษนักเขียนที่สร้างตัวละครซ่งไป๋ลู่ให้เห็นแก่ตัว ไม่ว่าเรื่องใดขอเพียงทำให้ตัวเองสบายล้วนไม่รังเลจะลงมือและผู้ที่ถูกนางล่อลวงรังแกมากที่สุดก็คือซ่งหานลู่ “แต่ไม่เป็นไร... คำพูดของท่านจริงเท็จข้าล้วนเชื่อฟัง” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงขึ้นจมูก แขนเล็กที่เริ่มกลมป้อมเพราะได้รับการบำรุงอย่างดีกระชับเอวบางแน่น “เช่นนั้นระหว่างรอลูกพลับบนเขาสุก พวกเรามาช่วยกันทำสวนก่อนดีหรือไม่” “ล้วนเชื่อฟังพี่รอง” ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมที่เต็มไปด้วยความกังวลของซ่งต้าลู่แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พรุ่งนี้ข้าต้องไปช่วยท่านลุงอี้ขึ้นแปลงข้าวโพด เจ้ารออีกสักสองวันข้าจะขึ้นแปลงให้” “พี่ใหญ่พลิกหน้าดินไว้ให้พวกเราแล้ว เหลือแค่ลงเมล็ดเท่านั้นไม่ได้ยากลำบากอะไรเจ้าค่ะ” ก่อนหน้านี้ซ่งต้าลู่ตื่นแต่ฟ้าสางทุกวันมาพลิกหน้าดินที่บริเวณลานโล่งหลังบ้านทั้งสามหมู่จนแล้วเสร็จ ดังนั้นงานที่เหลือจึงมีเพียงขึ้นแปลง ลงเมล็ดและรดน้ำเท่านั้น “ขึ้นแปลงผักใช้แรงมาก ข้าจะขึ้นให้เอง” “ช่วงนี้ท่านงานล้นมือ อีกทั้งที่นาที่ท่านป้าใหญ่ให้มาก็ต้องเร่งลงกล้า งานเล็กๆ ในสวนหลังบ้านก็ให้ข้ากับน้องเล็กจัดการเถิดเจ้าค่ะ” เดือนนี้เป็นช่วงสุดท้ายของการลงกล้าปลูกผักทำสวนแล้ว หากยังชักช้าเกรงว่าเรี่ยวแรงที่ลงไปก่อนหน้าจะสูญเปล่าเสียหมด “เช่นนั้นข้าจะตื่นแต่เช้ามาช่วยพวกเจ้าขึ้นแปลงผักก่อน” อย่างไรเสียน้องสาวเขาก็เพิ่งสิบขวบ ส่วนน้องชายก็ห้าขวบ จะให้ทนเห็นคนทั้งสองต้องทำงานหนักเพียงนั้นซ่งต้าลู่ย่อมไม่อาจทำใจได้ “แต่...” “น้องรองหากเจ้าไม่ฟังคำข้า เรื่องปลูกผักทำสวนหลังบ้านนี่ก็ไม่ต้องทำอีก” ซ่งต้าลู่เอ่ยเสียงดุ ใบหน้าจริงจัง เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วซ่งไป๋ลู่ก็ได้แต่ยอมถอยให้หนึ่งก้าว อย่างไรเสียร่างกายนี้ก็เป็นของน้องสาวเขา อีกฝ่ายจะรักและห่วงใยย่อมไม่ผิด “เจ้าค่ะๆ ข้าฟังท่าน... ยอมท่านแล้ว เช่นนี้หายโมโหได้หรือไม่เจ้าคะ” คนที่เผลอตัวเอ่ยเสียงดุพลันตระหนักได้ ใบหน้าร้อนพลันผ่าวขึ้นมาจนมือไม้เก้กัง สุดท้ายจึงทำได้เพียงหมุนตัวจากไป “พี่รอง เมื่อครู่พี่ใหญ่โมโหท่านหรือ อ่า... เป็นไปได้อย่างไร หรือปีนี้ฝนจะแล้งกัน” ซ่งไป๋ลู่เห็นสีหน้าท่าทางประหลาดใจของน้องชายตัวน้อยก็ยกมือขึ้นดีดหน้าผากเล็ก “หากฝนแล้งพืชผักในสวนไม่ได้ผลผลิต เจ้าก็จะไม่มีเนื้อกินอีก” “ไม่ได้นะขอรับ” “เช่นนั้นก็รีบไปกินนมแล้วเข้านอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาทำสวนหลังบ้าน” ............................................ เช้าวันต่อมาซ่งต้าลู่ก็ตื่นแต่ฟ้าสางหยิบจอบเดินไปยังลานหลังบ้านขึ้นแปลงผักอย่างขะมักเขม้น ซ่งไป๋ลู่จึงเข้าครัวทำอาหารเช้าง่ายอย่างโจ๊กหมูและไข่ต้มไว้รอสองพี่น้อง ยามที่ตะวันเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไอเย็นของหยาดน้ำค้างระเหยไปจนหมด นางก็ยกผลท้อที่ฝานเป็นชิ้นออกไปตากแห้ง สัมผัสดูความชื้นแล้วตากแดดวันนี้อีกแค่วันเดียวก็สามารถเก็บลงโถเอาไปรวมกับของวันก่อนๆ ได้แล้ว “พี่ใหญ่ท่านหยุดมือแล้วมากินข้าวก่อนเถิด” ซ่งไป๋ลู่เดินไปเรียกเด็กหนุ่มที่ยามนี้มีกล้ามเนื้อมากขึ้นสมกับเป็นบุรุษแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการบำรุงร่างกายเขาของนาง ซ่งต้าลู่ถูกแววตากลมใสจ้องมองร่างกายที่เปลือยท่อนบนสองแก้มก็ร้อนผ่าวรีบล้างตัวหยิบเสื้อตัวนอกมาสวมอย่างรวดเร็ว รู้จักอายเสียด้วย เขาลืมไปหรือไม่ว่ายามนี้นางคือน้องสาววัยสิบขวบของเขา ไม่ใช่หญิงสาววัยปักปิ่นที่ไหน “ข้าขึ้นร่องแปลงผักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” “ขอบคุณท่านมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จข้าจะลงมือปลูกข้าวโพด” ข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกง่ายและดูแลไม่ยาก อีกทั้งยังเก็บเอาไว้ได้นาน หรือจะนำมาแปรรูปเป็นแป้งเก็บไว้ทำอาหารก็ได้หลากหลาย ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงเลือกที่จะปลูกข้าวโพดก่อน จากนั้นค่อยปลูกอย่างอื่นเพิ่มเติมในภายหลัง “พี่รองท่านปลูกข้าวโพดเป็นด้วยหรือ” ซ่งหานลู่ได้ยินพี่สาวเอ่ยบอกว่าจะปลูกข้าวโพดก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนเห็นพี่สาวรองลงมือเกี่ยวหญ้าที่สวนหลังบ้าน ก็ทำเขาตื่นตาตื่นใจไม่น้อยแล้ว วันนี้ยังได้ยินว่าพี่สาวที่แม้แต่แดดก็ไม่ยอมให้สัมผัสกายจะลงมือปลูกข้าวโพดด้วยตนเองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ “ตอนที่ข้าล้มป่วยท่านเทพบนสวรรค์สอนข้ามา” เมื่อได้ยินคำตอบของพี่สาวรอง ซ่งหานลู่ก็ถอนหายใจยาว พี่รองของเขากำลังเล่านิทานหลอกเด็กอีกแล้ว ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งกันว่าข้าไม่ใช่เสี่ยวเหม่ย ซ่งไป๋ลู่มองท่าทางอ่อนใจทว่าไร้ถ้อยคำจะเอ่ยโต้ตอบของน้องชายตัวน้อยก็ขบขัน ก่อนลงมือกินอาหารเช้าโดพร้อมหน้า หลังจากอิ่มท้องแล้วซ่งหานลู่ก็ไปทำนา ขณะที่ซ่งไป๋ลู่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเนื้อหยาบที่รัดกุม แล้วเดินไปตามร่องแปลงที่ซ่งต้าลู่ขึ้นเอาไว้ให้ ถือไม้ไผ่สองเล่มที่มัดติดกันโดยเล่มหนึ่งเจาะรูด้านในจนคล้ายท่อน้ำ มัดให้ระดับสูงกว่าอีกเล่ม ยามที่ปักลงดินแล้วยกขึ้ร อีกมือหนึ่งก็หยิบเมล็ดข้าวโพดออกจากถุงผ้าข้างเอวหยอดลงหลุมอย่างชำนาญ เมื่อเห็นวิธีการปลูกข้าวโพดที่แตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นของผู้เป็นพี่สาวซ่งหานลู่ก็ถอนหายใจยาว “พี่รองท่านทำผิดวิธีแล้ว ข้าวโพดต้องปลูกบนแปลงไม่ใช่ข้างแปลงเช่นนั้น อีกอย่างท่านต้องหยอดเมล็กลงดินด้วยแค่เดินเอาไม้ไผ่จิ้มดินข้าวโพดย่อมไม่อาจงอกออกมา” “น้องรองเจ้าดูนี่ ทุกครั้งที่ข้าเอาไม้ไผ่เสียบดินก็ได้หย่อนเมล็ดข้าวโพดลงไปแล้ว วิธีนี้ไม่เพียงรวดเร็วยังถนอนหลังของพวกเราด้วย” ซ่งหานลู่มองดูวิธีการของพี่สาวด้วยความประหลาดใจ แม้นี่จะผิดแปลกจากที่เขาเคยเรียนรู้มา แต่ในใจของเด็กน้อยก็ยอมรับว่าการทำเช่นนี้ช่วยให้ลงเมล็ดได้เร็วขึ้นจริงๆ “พี่รองท่านไปเรียนรู้วิธีประหลาดนี้มาจากที่ใดกันขอรับ” “ย่อมเป็นท่านเทพสอนข้า” ซ่งหานลู่ถอนหายใจยาวจนใจจะเอ่ยโต้แย้งกับพี่สาว เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางที่ชำนาญราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่พี่รองที่เอาแต่นอนและกินอยู่ในบ้านคนเดิม คิ้วเล็กของซ่งหานลู่ก็ขมวดแน่น หรือว่าตอนที่พี่รองของเขาล้มป่วยนางจะได้พบท่านเทพจริง ซ่งหานลู่ส่ายศีรษะเล็กสลัดความคิดอันเรื่อยเปื่อยของตนเองแล้วสังเกตวิธีการของพี่สาวก่อนจะลงมือทำตาม และเพราะไม่ต้องก้มขุดหลุมหยอดเมล็ดเช่นที่ชาวบ้านแถบนี้นิยมกัน เพียงหนึ่งวันสองพี่น้องแซ่ซ่งก็ปลูกข้าวโพดหนึ่งหมู่แล้วเสร็จ “พี่รองท่านไม่ปลูกต่อแล้วหรือ” “เท่านี้ก็คงพอแล้ว ที่เหลือเอาไว้ปลูกอย่างอื่นเถิด” ............................................
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม