บทที่ 1.2
ชีวิตใหม่ข้าขอกำหนดเอง
หลังจากกินมันเผาเสร็จซ่งต้าลู่ก็พาซ่งหานลู่ไปล้างเนื้อล้างตัวที่หลังบ้าน ซ่งไป๋ลู่ลอบมองผ่านหน้าต่างบานเล็กในบ้าน ซ่งต้าลู่ผู้นี้มองผิวเผินคล้ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถ ทว่าซ่งไป๋ลู่ผ่านชีวิตมายาวนานย่อมมองออก เด็กชายผู้นี้ไม่อาจดูแคลนจริงๆ
ยามที่ซ่งไป๋ลู่สิ้นลม เมิ่งเฟยอวี่ก็ให้คนนำร่างที่ไร้วิญญาณของนางไปทิ้งที่ป่าตะวันตกอันเป็นสุสานของศพไร้ญาติ ทว่ายามที่หมาป่ากำลังจะเข้ามาแทะกินอาหารอันโอชะ ลำคอของพวกมันก็ขาดสะบั้น ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณนั้นจะหายไป
วิเคราะห์ดูแล้วซ่งไป๋ลู่ที่ยามนั้นบิดาและน้องชายล้วนตายจากไปหมดแล้ว ตัวละครข้างกายนางผู้เดียวที่นักเขียนละเว้นไว้ก็คือ ซ่งต้าลู่ พี่ชายใหญ่ผู้นี้นั่นเอง
“พี่รองข้ายกน้ำมาให้ท่านเช็ดตัว”
เสียงเล็กดังขึ้นที่ด้านหลังดึงความคิดของซ่งไป๋ลู่กลับมาสู่ปัจจุบัน ภาพสองพี่น้องที่อาบน้ำหลังเรือนตอนนี้ว่างเปล่าไร้เงาคน เมื่อหมุนตัวกลับมาก็พบซ่งหานลู่ตัวน้อยที่ถืออ่างไม้ใบใหญ่กว่าตัวเดินเข้ามา มือเล็กบิดผ้าสีหม่นส่งให้พี่สาวอย่างใส่ใจ
“ท่านลุงเกาตัดแต่งต้นกุหลาบหน้าบ้าน ข้าจึงเอาดอกกุหลาบที่เขาไม่ใช้เก็บกลับมาใส่น้ำให้ท่าน”
สังเกตจากปฏิกิริยาที่เด็กน้อยตรงหน้ามีต่อนาง เจ้าของร่างเดิมคงไม่ได้ดีต่ออีกฝ่ายนัก ทว่าทองแท้ไม่กลัวไฟ ซ่งหานลู่ผู้นี้กลับยังคงเติบโตเป็นเด็กชายที่ดีถึงเพียงนี้
“น้องเล็กของข้าช่างมีน้ำใจต่อพี่รองจริงๆ ว่าแต่กิ่งกุหลาบที่ท่านลุงเกาตัดทิ้งพรุ่งนี้เจ้าพาข้าไปขอมาปลูกที่บ้านเราได้หรือไม่”
“เจ้าเพิ่งหายป่วยไม่ควรออกจากบ้านไปโดนลม หากอยากได้ตอนฟ้าสางข้าจะไปเอามาให้”
ซ่งต้าลู่ที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยบอก ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าผืนเก่าสีหม่นมาปูบนพื้นแล้วเอนกายลงนอนที่มุมด้านใน โดยมีซ่งหานลู่เดินไปทิ้งตัวนอนอยู่ข้างเขา
พี่ใหญ่บอกว่าพวกเราเป็นผู้ชายต้องเสียสละ ดูแล ปกป้องท่าน
ซ่งต้าลู่ผู้นี้แม้ไม่ใช่คนช่างเจรจา ทว่ากลับเป็นบุรุษที่ดียิ่งนัก เพียงแต่เพราะเป็นเช่นนี้ภายหน้าซ่งไป๋ลู่ผู้นี้จึงกลายเป็นสตรีเห็นแก่ตัว แม้แต่สามีก็ยังเอาไปขายแลกเงิน
...................................................
ยามฟ้าสางซ่งต้าลู่ต้มข้าวต้มน้ำใสที่วันนี้มีความข้นมากขึ้นจากการใส่เนื้อมันเทศลงไป รสชาติหวานของมันเทศที่ละมุนลิ้นทำให้ใบหน้าของซ่งหานลู่ยิ้มกว้าง ยกชามข้าวต้มของตนขึ้นจรดริมฝีปากดื่มรวดเดียวหมดถ้วย
“ฝีมือทำอาหารของพี่ใหญ่แม้แต่พ่อครัวใหญ่ในวังก็ยังเทียบไม่ได้จริงๆ”
คนตัวเล็กเอ่ยป้อยอ หากแต่แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงถ้อยคำที่กล่าวเอาใจเขาแต่ซ่งต้าลู่ก็ยิ้มรับอย่างพอใจ
“นี่หัวมันเทศที่เจ้าให้ข้าหั่นไว้ให้”
ซ่งต้าลู่ส่งตะกร้าสานที่มีหัวมันเทศยาวขนาดสองข้อนิ้วมือนับสิบชิ้นวางอยู่ให้น้องสาว ซ่งไป๋ลู่รับมาแล้วเอ่ยขอบคุณ ยามที่สองพี่น้องออกจากเรือนไปช่วยคนเป็นป้าทำนา คนป่วยที่ถูกสั่งให้นอนบนเตียงก็เดินออกมาด้านนอก เอาหัวมันเทศที่ถูกหั่นเอาไว้ปักแช่น้ำก่อนที่จะกวาดตามองรอบๆ หยิบถังไม้เก่าที่แตกรั่วจนใช้งานไม่ได้กับจอบใบเล็กขนาดพอดีมือแบกไปหลังเรือน
ภาพต้นหญ้าที่สูงราวครึ่งจั้ง (หนึ่งจั้งประมาณสามจุดสามเมตร) ทำเอาใบหน้าของซ่งไป๋ลู่เจื่อนลงในทันที หากเป็นนางในวัยสามสิบการจัดการต้นหญ้าพวกนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้นางเป็นเพียงเด็กน้อยวัยสิบขวบ ให้ใช้เวลาตลอดฤดูร้อนนี้ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะจัดการป่าหญ้าตรงหน้านี้ได้
ทว่าไม่มีสิ่งใดที่ไป๋ลู่คนนี้จะทำไม่ได้ ก็แค่ป่าหญ้าสามหมู่เท่านั้น แต่ตอนนี้นางต้องจัดการเรื่องมันเทศเสียก่อน
ร่างกลมป้อมนั่งลงหยิบดินบนพื้นขึ้นมาตรวจดู โชคดีที่ดินหลังบ้านของนางเป็นดินร่วนซุยที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มือเล็กจับจอบยกขึ้นขุดดิน เพียงแต่ไม่รู้เพราะร่างกายนี้ยังเด็กเกินไป หรือตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยออกแรงทำงานหนักกันแน่ เพียงขุดดินแค่หนึ่งถังก็เหนื่อยหอบ สองมือแดงก่ำขึ้นตุ่มน้ำใส
หากให้สองพี่น้องแซ่ซ่งเห็นแผลบนมือนี้เข้าต้องเป็นเรื่องแน่ๆ
ซ่งไป๋ลู่มองมือตนเองแล้วกังวลขึ้นมา แม้จะบอกว่าซ่งไป๋ลู่เป็นตัวร้ายที่พระเอกอย่างเมิ่งเฟยอวี่เกลียดชังเข้ากระดูกแต่ในสายตาของสองบุรุษแซ่ซ่ง โดยเฉพาะซ่งต้าลู่ ซ่งไป๋ลู่เปรียบดั่งไข่มุกกลางฝ่ามือที่พวกเขาล้วนทะนุถนอมอย่างดี หากมาเห็นแผลบนมือนี้คงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ หญิงสาวในร่างเด็กน้อยถอนหายใจยาว ยกถังดินขึ้นบ่าเล็กเดินโซเซไปมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะหยุดเท้าที่ข้างเรือนแล้วนำหัวมันเทศที่แช่น้ำเอาไว้มาปักลงดิน
ท่านป้าชุนบอกว่ามันเทศพวกนี้เป็นของดีที่ลูกชายของนางได้มาจากจวนเจ้าเมืองราคาในตลาดสูงมากทีเดียว
หากเป็นเช่นที่ซ่งหานลู่เคยเอ่ยบอก ภายหน้าถ้าหากนางสามารถเพาะมันเทศนี้ออกมาขายได้ ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องเงินในบ้านแล้ว
ริมฝีปากบางยิ้มกว้าง หยิบเคียวเดินกลับไปที่หลังเรือนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เกี่ยวต้นหญ้งสูงลงมา โดยเลือกเกี่ยวที่กลางพงหญ้าออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตจนถูกสองพี่น้องแซ่ซ่งรู้ทัน
ยามที่ดวงตะวันเคลื่อนตัวเกือบตรงศรีษะ ซ่งไป๋ลู่ก็รีบมุดออกมาจากพงหญ้าล้างคราบเหงื่อไคลบนตัวแล้วกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย
“พี่รอง!”
เสียงของซ่งหานลู่เอ่ยเรียกอยู่นอกบ้าน ก่อนประตูพุๆ จะเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กที่เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซ่งไป๋ลู่ โดยเว้นระยะห่างอยู่ถึงสามก้าวและมีท่าทีหวาดหวั่นเล็กน้อย มือเล็กๆ ยื่นออกมากลางฝ่ามือมีก้อนแป้งสีเหลืองหม่นอยู่หนึ่งก้อน
“พี่รองข้าเอาซาลาเปามาฝากท่าน”
มือเล็กสั่นเทาน้อยๆ ใบหน้าตอบก้มลงหากแต่หางตาลอบมองปฏิกิริยาของคนเป็นพี่ ซ่งไป๋ลู่มองดูซาลาเปาที่เย็นจนแป้งแข็งในมือของซ่งหานลู่แล้วขมวดคิ้วเล็ก ทว่ายามที่เห็นแววตาคาดหวังของน้องชายตัวน้อยก็แสร้งทำท่าตื่นเต้นดีใจเยี่ยงเด็กน้อยไปกับเขา
“ซาลาเปา น้องเล็กเจ้าไปเอามาจากที่ไหนกัน”
“เป็นพี่สามชุนลูกสาวของท่านป้าชุนแบ่งให้ข้า ข้าจึงเก็บเอาไว้อย่างดีเพื่อเอามาฝากท่าน”
ซ่งไป๋ลู่เม้มริมฝีปากบางมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในอกก่อนจะรับซาลาเปาจากมือเด็กน้อยมาฉีกกิน
“อ่ะ... แป้งแข็งมาก”
ซ่งไป๋ลู่แกล้งเอ่ยเสียงขุ่นไม่พอใจก่อนจะเอาซาลาเปาในมือส่งให้เด็กชาย ซ่งหานลู่คิดว่าตนเองนำของไม่ดีมาฝากพี่สาวใบหน้าก็พลันซีดเผือกลองกัดกินซาลาเปาในมือด้วยความกังวล
“อร่อยหรือไม่”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า เด็กน้อยก็รู้ว่าถูกอีกฝ่ายหลอกให้กินซาลาเปาลูกนี้ ทว่าเมื่อมองดูก็พบว่าเมื่อครู่เขากัดไปคำใหญ่มาก ตอนนี้แทบไม่เหลือให้อีกฝ่ายได้กินเลย
“พี่รองข้าขอโทษ ซาลาเปานี่...”
ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ความคิดของเด็กชายนางจับมือเขามากอบกุมเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“น้องเล็ก ข้าดีใจมากที่เจ้ากับพี่ใหญ่เสียสละเพื่อข้ามาโดยตลอด แต่พวกเราเป็นพี่น้องกัน เจ้ากับพี่ใหญ่ปรารถนาให้ข้าได้กินของอร่อย ได้ใช้ของดีๆ ตัวข้าเองก็ปรารถนาเช่นนี้ต่อเจ้าและพี่ใหญ่เช่นกัน”
“พี่รอง...”
ดวงตากลมของเด็กชายแดงก่ำ สบแววตาของพี่สาวด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ในที่สุดพี่สาวก็มองเห็นความตั้งใจของเขา
“เช่นนั้น... ต่อไป... ต่อไปท่านจะไม่ทุบตีข้า ด่าทอข้าแล้วใช่หรือไม่”
รอยยิ้มของซ่งไป๋ลู่พลันแข็งค้าง แม้ความทรงจำมากมายของเด็กน้อยซ่งไป๋ลู่ผู้นี้จะไหลเข้ามาในความคิดนาง แต่เรื่องเลวร้ายที่นางกระทำกับคนในบ้านกลับไม่มีเลยสักนิด ช่างเป็นเด็กดีเสียจริงๆ ความผิดของตนเองกลับไม่เคยจดจำเลยสักนิด
...................................................
หานลู่ น่ารัก น่าเอ็นดูที่สุด