บทที่ 1.3 ชีวิตใหม่ข้าขอกำหนดเอง

2407 คำ
บทที่ 1.3 ชีวิตใหม่ข้าขอกำหนดเอง หลังจากที่หลอกล่อให้ซ่งหานลู่กินซาลาเปาจนหมดลูก ซ่งไป๋ลู่ก็เปิดประตูบ้านออกมาดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อพบว่าตลอดริมรั้วหน้าบ้านล้วนมีกิ่งกุหลาบปักชำเอาไว้ ไม่ต้องเอ่ยถามก็รับรู้ได้ว่าทั้งหมดนี่ล้วนเป็นฝีมือ ซ่งต้าลู่ “พี่ใหญ่ ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ” ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายวัยสิบสี่ปี แต่กลับต้องเลี้ยงดูน้องทั้งสองคน ทั้งยังต้องคอยทำงานให้ญาติผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวอย่างซ่งหลี่เถียน ช่างแบกภาระไว้เกินตัวจริงๆ “ขอเพียงเจ้ารู้ความเช่นนี้ ข้าย่อมไม่เหนื่อย” รู้ความ คำพูดนี้ใช่หมายถึงซ่งไป๋ลู่ในอดีตที่วันๆ เอาแต่กิน นอน ข่มเหงรังแกซ่งหานลู่จริงๆ หรือไม่ “ตอนบ่ายข้าจะพา น้องรองออกไปทำนาด้วยกันจะได้ไม่รบกวนเจ้า” ซ่งไป๋ลู่พยักหน้ารับคำ ยามเมื่อสองพี่น้องออกไปแล้วนางก็ลงมือเกี่ยวหญ้งหลังบ้านต่อแม้จะทำได้ไม่เร็วมากนักแต่รวมๆ แล้วก็กว้างยาวถึงด้านละสามผิน (1 ผิง=3.3 เมตร) เลยทีเดียว มือเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าออก เกลี่ยหญ้าที่นางเกี่ยวเมื่อครู่ให้กระจายตัวตากแดดเอาไว้ ยามที่แห้งดีค่อยเก็บเอาไว้ใช้งานต่อ ดวงตากลมหันกลับมามองบ้านที่นางและพี่น้องแซ่ซ่งทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกัน แม้ตัวบ้านจะยังพอกันฝนกันลม แต่บนหลังคาหลายแห่งก็รั่วซึม ซ่งไป๋ลู่พอจะมีความรู้เรื่องการซ่อมแซมบ้านอยู่บ้างดังนั้นสิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเร่งซ่อมแซมบ้านหลังนี้ก่อนที่สายฝนจะกระหน่ำลงมา และหลังจากนั้นสิ่งที่นางต้องจัดการก็คือกักตุนเสบียง ความโชคดีหนึ่งเดียวของซ่งไป๋ลู่ก็คือนางเข้ามาในนิยายช่วงต้นฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การเพาะปลูก และถัดไปจากนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ยังพอมีเวลาให้นางได้เก็บเกี่ยวผลผลิตกักตุนเอาไว้ใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาว เพียงแต่เมื่อมองไปยังห้องครัวที่มีเพียงสี่เสาตั้งหลังคอก็ถอนหายใจยาว ชีวิตใหม่ในนิยายนี้ของนางอัตคัดเกินไปหรือไม่ ยามเย็นซ่งต้าลู่กลับมาพร้อมกับข้าวเปลือกหนึ่งถุงและฝักทองแก่ลูกใหญ่ “ท่านป้าชุนให้มาหรือ” ซ่งไป๋ลู่เอ่ยถามซ่งหานลู่โดยที่สายตาจ้องมองไปยังซ่งต้าลู่ที่กำลังเทข้าวเปลือกใส่ครกไม้ใบใหญ่เพื่อตำแยกเอาข้าวสารออกมา “ท่านป้าชุนเห็นว่าป้าใหญ่เอาเงินค่าจ้างไปหมดจึงมอบข้าวเปลือกกับฟักทองให้เราแทน” เด็กน้อยเอ่ยตอบอย่างใสซื่อ ในใจของซ่งไป๋ลู่จดจำหญิงแซ่ชุนผู้นี้ไว้ในใจทันที ภายหน้านางย่อมตอบแทนอีกฝ่ายอย่างดี เช่นเดียวกับซ่งหลี่เถียนท่านป้าใหญ่ผู้นั้นนางย่อมตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสาสม “พี่ใหญ่แกลบข้าวนั่นเก็บไว้ให้ข้าได้หรือไม่” ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนา แกลบพวกนี้นอกจากเอาไปทิ้งเป็นปุ๋ยก็ไม่มีประโยชน์ใดอีก เมื่อน้องสาวเอ่ยขอเขาจึงกวาดใส่ตระกร้าเอาไว้ให้นาง “หากท่านปลอกฝักทองแล้วเก็บเมล็ดของมันไว้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ” “น้องรองเจ้าจะปลูกฟักทองหรือ” “เจ้าค่ะ” ซ่งต้าลู่ยิ้มกว้าง เรื่องปลูกฟักทองเขาเองก็คิดไว้เช่นกัน เพราะอย่างไรก็ไม่อาจเอาท้องไปผูกไว้กับท่านป้าใหญ่ใจแคบผู้นั้น การดิ้นรนหาทางรอดไว้ให้ตนเองย่อมดีที่สุด เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าน้องสาวของเขาก็มีความคิดถึงอนาคตเช่นกันในใจของเขาก็ยินดียิ่งนัก “อ่อ... ข้าหายดีแล้วอยากออกไปวิ่งเล่นบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ” วิ่งเล่น เมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยคำนี้ความภาคภูมิใจเรื่องที่นางมีความคิดเมื่อครู่ก็พลันจางหายไปในทันที ถอนหายใจยาวพยักหน้ารับแล้วหันไปสบสายตาที่สิ้นหวังของน้องคนเล็ก ดูแล้วซ่งหานลู่ที่อายุเพียงห้าขวบยังมีความคิดมากกว่านางเสียอีก “พี่ใหญ่ ท่านอย่าตำหนิพี่รองเลยรออีกปีสองปีพี่รองต้องคิดได้แน่นอน” ซ่งหานลู่มองตามแผ่นหลังเล็กของพี่สาวที่เดินเข้าบ้านไปแล้วเอ่ยบอกพี่ชายของตนเสียงหนักแน่น หลายวันมานี้เขาสัมผัสได้ว่าพี่สาวของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม และที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนไปในทางที่ดี ดังนั้นเขามั่นใจว่าอนาคตพี่สาวของเขาย่อมต้องพึ่งพาได้แน่นอน “เย็นมากแล้วเจ้าไปก่อไฟ ข้าจะหุงข้าว” “ขอรับ” เช้าวันต่อมาหลังจากที่สองพี่น้องพากันออกจากบ้านไปช่วยคนบ้านตระกูลชุนทำนา ซ่งไป๋ลู่ก็หยิบเคียวไปเกี่ยวหญ้าที่ด้านหลังบ้าน และเพราะวันนี้นางลงมือตั้งแต่เช้า ผ่านไปครึ่งวันที่ดินหนึ่งในสามก็โล่งเตียน แน่นอนว่าครั้งนี้ย่อมไม่อาจปกปิดสองพี่น้องแซ่ซ่งได้อีก “เหตุใดงานหนักเช่นนี้จึงลงมือเอง” ซ่งต้าลู่เอ่ยเสียงดุเมื่อจับมือเล็กมาดูแล้วพบรอยแตกบนฝ่ามือ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือเจ้ายังเด็กเกินกว่าจะใช้ของมีคม” “พี่ใหญ่... ข้าทำดีขนาดนี้ท่านไม่ชมยังดุข้าอีกหรือ” ซ่งไป๋ลู่เห็นเด็กชายดุนางก็จำใจใช้มารยาเด็กน้อยแง่งอนใส่เขา อย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นเด็กหญิงสิบขวบจะคิดเหตุผลมากมายไปทำไม ใบหน้ากลมเบนหลบหน้าพี่ชายพยายามถลึงตาเอาไว้จนแดงก่ำยามที่น้ำตาเอ่อคลอก็หันมาเบ้ปากใส่คนเป็นพี่ “พี่ใหญ่ ท่าน... ดุข้า” และก่อนจะถูกจับได้ว่าเสแสร้งซ่งไป๋ลู่ก็ชิ่งวิ่งหนีเข้าบ้านซุกตัวในผ้าห่มผืนเก่า ใช้มือเล็กโบกพัดดวงตาเรียกน้ำตาออกมา “น้องรองข้าไม่ได้ตั้งใจดุเจ้า” “ใช่แล้วพี่รอง ท่านเก่งมาก เก่งมากๆ พี่ใหญ่อยากชมท่านแต่แค่พูดไม่เก่งเท่านั้น” เป็นเจ้าก้อนแป้งวัยห้าขวบที่ช่างเจรจาเกินวัย อีกทั้งยังปีนขึ้นเตียงมาใช้แขนเล็กของตัวเองกอดคนใต้ผ้าห่ม “พี่รองของข้าโตแล้ว เก่งมากด้วย ข้าดีใจที่สุด” ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำป้อยอปลอบโยนของเด็กน้อยก็อดที่จะขบขันไม่ได้ หากแต่ให้อย่างไรก็ต้องเสแสร้งให้มาก เล่นให้ใหญ่เข้าไว้ หัวกลมๆ ค่อยๆ ออกมาจากผ้าห่มใช้ดวงตาที่แดงก่ำจ้องมองพี่ชายตัวผอมสูงตรงหน้า “พี่ใหญ่ ท่านไม่ดุข้าแล้วใช่หรือไม่” “เป็นข้าผิดเอง คืนนี้ข้าจะออกไปตกปลามาทำน้ำแกงปลาให้เจ้ากิน” ซ่งไป๋ลู่ส่ายหน้าไปมา เด็กชายผู้นี้ทำงานหนักมาทั้งวัน หากยังให้เขาออกไปตกปลาตอนกลางคืนอีกนางก็ใจร้ายเกินคนไปแล้ว “คืนนี้ข้าอยากนอนกอดท่านกับน้องเล็ก” “ได้พวกเราสามคนนอนกอดกัน” ซ่งหานลู่เอ่ยบอกเสียงก้อง ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างขณะที่คนเป็นพี่ชายคนโตกลับใบหน้าซีดเผือดมองเตียงเล็กที่คาดว่าคงรับน้ำหนักพวกเขาสามคนไม่ไหวแน่นอน ซ่งไป๋ลู่ย่อมมองสายตาของอีกฝ่ายออกหากแต่ไม่คิดจะโต้แย้งอะไร เตียงเล็กนอนไม่พอนางก็แค่ลงไปนอนกับพวกเขาสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพี่น้องเอาไว้ ภายหน้าหากนางถูก เมิ่งเฟยอวี่พระเอกของนิยายเรื่องนี้สังหารก็ยังมีคนทำศพเผากระดาษเงินกระดาษทองให้นาง ไม่กลายเป็นศพไร้ญาติ วิญญาณไร้มิตร “รอได้เตียงที่กว้างกว่านี้พวกเราค่อยนอนด้วยกัน” ซ่งต้าลู่เอ่ยตอบเสียงราบเรียบ และสุดท้ายให้คืนนั้นซ่งไป๋ลู่ใช้วิธีใด แผ่นหลังของพี่ชายก็ยังคงแนบอยู่บนพื้นบ้านเช่นเดิม ช่างเป็นเด็กใจแข็งไม่น้อย ................................................... ใช้เวลาอยู่สามวันในที่สุดที่ดินสามหมู่หลังเรือนก็โล่งเตียน ทว่าที่ทั้งหมดสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั้นล้วนเพราะซ่งต้าลู่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง จัดการช่วยเกี่ยวหญ้าหลังเรือน พอฟ้าสางก็เข้าครัวต้มข้าวให้น้องๆ ทั้งสอง ยามสายก็พาซ่งหานลู่ออกไปทำนาด้วยกัน ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาว มองท้องฟ้าที่หมุนเวียนมาครึ่งเดือน หากจะบอกว่านี่เป็นความฝันก็ช่างเป็นยาวนานนัก เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือความฝัน ยามนี้นางก็ไม่อาจอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เรื่องราวชะตาชีวิตดำเนินไปตามนิยายเช่นเดิมได้อีก ข้าจะเปลี่ยนแปลงชะตานางร้ายตัวประกอบผู้นี้เอง แน่นอนว่าจะเปลี่ยนแปลงชะตาในอนาคต นางต้องลงมือสร้างตัวในปัจจุบันให้มั่นคง สร้างชีวิตให้ก้าวหน้าเสียก่อน หางตามองไปที่กล้ามันเทศข้างบ้าน ท่านป้าชุนบอกว่ามันเทศพวกนี้เป็นของดีที่ลูกชายของนางได้มาจากจวนเจ้าเมืองราคาในตลาดสูงมากทีเดียว ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้าง เช่นนั้นก็เริ่มจากการทำสวนมันเทศนี่ก่อนก็แล้วกัน มือเล็กหยิบจอบไปขุดขึ้นแปลงที่ริมรั้ว หักกิ่งมันเทศที่แก่กำลังดีปักชำลงดินแล้วปูโคนด้วยหญ้าแห้ง ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยามก็แล้วเสร็จ ใบหน้ากลมแหงนมองตะวันที่เคลื่อนตัวขึ้นสูง วันนี้นางบอกกับซ่งต้าลู่ว่าจะออกไปเดินเล่น เขาไม่ต้องกลับมากินข้าวเที่ยงกับนาง แม้ครั้งแรกซ่งต้าลู่จะเป็นไม่ยินยอม ทว่ายามเห็นดวงตาที่แดงก่ำของคนเป็นน้องก็ใจอ่อนยอมทำตามอย่างว่าง่าย นี่นับเป็นท่าไม้ตายของนางเลยทีเดียว มันเทศต้องใช้เวลาร่วมสามถึงสี่เดือนจึงสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปขายได้ ดังนั้นตอนนี้ซ่งไป๋ลู่จำต้องหารายได้จากทางอื่นก่อน มือเล็กหยิบตะกร้าหาบใบเล็กใส่บ่าแล้วเดินออกจากบ้าน ที่ด้านหลังหมู่บ้านมีภูเขาใหญ่อยู่ ในช่วงนี้เป็นฤดูร้อนผลท้อและบ๊วยป่ากำลังเริ่มสุก ทว่าชาวบ้านกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกย่อมไม่มีใครสนใจผลท้อป่าเหล่านี้ นี่ไม่นับเป็นโอกาสที่ดีของนางหรือไร ดวงตากลมมองลูกท้อมากมายอย่างตื่นตาตื่นใจ คิดถึงวิธีการแปลรูปหลากหลายอย่างในหัว ทว่าในครัวของนางมีเพียงเตาถ่านเก่าๆ กับกะทะแตกหัก เรื่องจะเอาผลท้อเหล่านี้ไปแปลรูปเก็บไว้กินในฤดูหนาวล้วนเป็นสิ่งที่เกินตัวทั้งสิ้น เพียงแต่แปลรูปเป็นของกินไม่ได้แต่แปลรูปเป็นเงินนั้นไม่น่าจะยากเกินไป เด็กน้อยเขย่งตัวเด็ดผลท้ออย่างทุลักทุเล ทว่าสุดท้ายก็สามารถเก็บผลท้อได้เต็มตะกร้า เดินขึ้นลงเขาอยู่หลายรอบเวลานี้ที่มุมหนึ่งของบ้านก็มีผลท้อกองโตวางอยู่ “พี่รองท่านเก็บผลท้อมาเสียมากมายจะเอามาทำอะไรหรือขอรับ” ซ่งหานลู่เอ่ยถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงสงสัย ขณะที่ซ่งต้าลู่ได้แต่ถอนหายใจยาวมองคนที่เพิ่งหายไข้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นปกติ “ผลท้อกินมากไปจะท้องเสีย ครั้งหน้าเจ้าเก็บมาแค่ตะกร้าเดียวก็พอ” “ใช่แล้วพี่รอง ท่านอย่าได้เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้เลย พวกเรากินผลท้อพวกนี้ไม่หมดหรอก” เด็กชายวัยห้าขวบเอ่ยสั่งสอนพี่สาวคนรองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจริงจังราวกับบุรุษวัยห้าสิบ ซ่งไป๋ลู่ที่เห็นเช่นนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ยกมือขึ้นดีดหน้าผากเล็กของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างหยอกล้อ “ผู้ใดว่าพี่สาวเจ้าจะเอามากินเล่า” “หากไม่เอามากินแล้วจะเก็บมาทำไมกัน” ซ่งต้าลู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น ในใจก็เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะเขาดูแลนางไม่ดี ปล่อยให้อดอยากใช่หรือไม่ ซ่งไป๋ลู่จึงไม่รู้จักหักห้ามใจ เมื่อเห็นของกินก็เก็บมาอย่างละโมบเช่นนี้ หากแต่ยามที่คิดจะตำหนินางภาพดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาก็ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจยาว “ข้าไม่ได้เก็บมากินแต่จะเอาไปขายเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านพอจะช่วยข้าได้หรือไม่” ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนาน้องสาวของเขาไม่รู้หนังสือ ยิ่งหลักการคิดคำนวณยิ่งยากเกินตัว เช่นนี้จะทำการค้าได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องที่น้องสาวเขาตั้งใจลงมือถึงเพียงนี้เขาจะไม่ส่งเสริมได้อย่างไร “ได้! เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะช่วยเจ้าขนผลท้อหกตะกร้านี้ไปหาท่านลุงกู้ ฝากเขาเอาไปขายในเมื่องให้” “จะฝากผู้อื่นไปได้อย่างไร เรื่องนี้ข้าย่อมต้องไปจัดการเอง” ซ่งต้าลู่ถอนหายใจอีกครั้ง ค้าขายไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเมื่อซ่งไป๋ลู่ต้องการลงมือเขาก็ไม่ได้เอ่ยขัดใจคนอยากขายของ เพราะไม่ว่าจะขาดทุนหรือได้กำไรล้วนไม่สำคัญขอเพียงนางพอใจก็พอแล้ว เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่เอ่ยขัด ซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มกว้าง “เช่นนั้นเราไปตั้งแต่เช้ามืดได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้ท่านป้าใหญ่รู้เรื่องนี้” ซ่งต้าลู่ย่อมเข้าใจความคิดของน้องสาว เรื่องนี้หากให้ป้าใหญ่ของพวกเขารู้เข้าเกรงว่าภายหน้าน้องรองของเขาคงถูกไล่ให้ขึ้นเขาไปเก็บผลท้อทุกวันอย่างแน่นอน ................................................... น้องไป๋ลู่ จะเริ่มค้าขายแล้วนร้าาาาาาาา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม