ฉิงหนิงอวี่รีบเบือนหน้าหลบ เซี่ยเย้าเต๋อจึงพลาด กลายเป็นจูบแก้มของนางแทน
“ข้าทำอะไรให้เจ้าเกลียดอย่างนั้นหรือ เจ้าบอกข้าสิ”
“...”
“หนิงอวี่ หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ”
“สัญญาได้ไหมว่าจะมีข้าคนเดียว”
เซี่ยเย้าเต๋อพ่นลมหายใจ “เรื่องนี้อีกแล้ว”
“หากท่านรับปากจะไม่มีใครอื่นนอกจากข้า ข้าก็พร้อมจะให้โอกาสท่าน”
ยิ่งพูดยิ่งงง ยิ่งอธิบายยิ่งไม่เข้าใจ เซี่ยเย้าเต๋อส่ายศีรษะอย่างระอาก่อนเดินออกไปสงบสติอารมณ์นอกร้าน
ฉิงหนิงอวี่นั่งลงบนเก้าอี้ค่อยๆ ปรับลมหายใจตัวเองเช่นกัน เมื่อครู่หัวใจนางเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกนอกอกอยู่แล้ว นางยังคงหลงเหลือความทรงจำที่แต่งเข้าสกุลเซี่ย ตลอดหลายปีที่ไม่ได้รับการใส่ใจหรือจับเนื้อต้องตัวจากสามี ทำให้การใกล้ชิดเมื่อครู่ก่อความรู้สึกดีใจขึ้นแวบหนึ่ง
“มาแล้วๆ เนื้อผ้านี้นำเข้ามาจากเมืองเซียนตี๋เชียวหนา รับรองว่าเหมาะกับคุณหนูรองแน่นอน” เฒ่าแก่ซุ่ยเดินมาพร้อมกับเด็กรับใช้สองคนที่ถือตะกร้าใบใหญ่มาด้วย ทั้งหมดช่วยกันแนะนำเนื้อผ้าแบบต่างๆ พร้อมเสนอราคาสุดพิเศษแก่ว่าที่เจ้าสาว โดยไม่ได้สนใจใบหน้าห่อเหี่ยวของนางแม้แต่น้อย
ฉิงหนิงอวี่ปล่อยให้ชายทั้งสามพล่ามอยู่สักพักจึงชี้นิ้วเลือกส่งๆ และลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรงเพื่อขอตัวกลับ
ฉิงหนิงอวี่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทุกอย่างไม่ได้เป็นตามแผนที่วางไว้
นางต้องการชักนำให้เซี่ยเย้าเต๋อมาพบเจอกับซุ่ยซิงจิงเร็วขึ้นกว่าครั้งที่ทั้งสองพบกันในอดีต อยากเห็นแววตาเวลาพวกเขามองกัน อยากได้ยินคำพูดและรอยยิ้มที่ส่งให้กันและกัน
ไม่แน่ว่า หากเซี่ยเย้าเต๋อมีความรักที่ลึกซึ้งแก่ซุ่ยซิงจิง เขาอาจจะล้มเลิกงานแต่งก็ได้
ฉิงหนิงอวี่จะได้ลบความรู้สึกที่ว่า หากเซี่ยเย้าเต๋อและซุ่ยซิงจิงได้พบเจอกันเร็วกว่านี้ คงได้แต่งงานและมีชีวิตที่มีความสุขไปแล้ว ไม่ต้องมาทนทุกข์อยู่กับนาง ให้นางต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขัดขวางเส้นทางความรักของคนทั้งคู่
“คุณหนู สีหน้าท่านไม่ดีเลย ไหวไหมเจ้าคะ” เจียอีเข้ามาพยุงฉิงหนิงอวี่ที่เดินออกมาจากร้านด้วยสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนใกล้จะเป็นลม
“ข้าไม่เป็นไร”
ฉิงหนิงอวี่เอ่ยเสียงเบา แต่แล้วเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องพบกับความประหลาดใจระคนตกตะลึงไม่น้อย
รถม้าที่นั่งมาหายไปแล้ว?
“เกิดอะไรขึ้นเจียอี”
เจียอีลังเล แต่แล้วก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่รู้ทำไมคุณชายเซี่ยจึงเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา... เขา เขาสั่งให้บ่าวบอกคุณหนู หากคุณหนูยังไม่ล้มเลิกความคิด ยังยึดติดอยู่เช่นนี้ ทั้งชีวิตก็คงหาความสุขไม่ได้”
“ยึดติด ข้าหรือยึดติด”
“คุณหนู บ่าวไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นในร้านกันแน่เจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกเรากลับกันเถอะ”
เจียอีผงะตกใจ “กลับอย่างไรเจ้าคะ ที่นี่อยู่ห่างจากจวนฉิงตั้งไกล หากเดินกลับคงได้ขาลากกันพอดี เงินทองพวกเราก็ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย”
“งั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะสั่งให้คนมารับเจ้าทีหลัง”
“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าค่ะ ข้าจะเดินไปกับคุณหนูด้วย”
สองนายบ่าวพากันเดินไปตามท้องถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าและโรงเตี๊ยม ตอนแรกทั้งสองก็เพลินตาพลางพูดคุยเล่นกันตลอดทาง แต่ระยะทางที่ยิ่งเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีทำทั้งสองเริ่มขำไม่ออกแล้ว
ไม่เพียงปวดขา แต่ยังรู้สึกปวดใจด้วย
ฉิงหนิงอวี่น้ำตาคลอ คิดว่าการดื้อดึงของตนไร้ประโยชน์นัก นางมิอาจล้มเลิกงานแต่ง ไม่อาจหลีกหนีจากเซี่ยเย้าเต๋อ ซ้ำในความรู้สึกส่วนลึกยังอยากให้อภัยและเริ่มต้นใหม่กับเขา
นางทั้งสังเวชและสมน้ำหน้าความโง่เขลาของตัวเองเหลือเกิน
ข้าเพียงอยากมีรักที่ดี อยากมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข อยากสร้างครอบครัวกับชายที่ข้ารัก ข้าไม่ได้อยากจะทำร้ายใครเลย แค่ต้องการใครสักคนที่รักข้าจากใจจริง ทำไมสวรรค์ถึงให้ข้าไม่ได้!
ตั้งแต่เกิด ฉิงหนิงอวี่มักโดนเปรียบเทียบกับบรรดาพี่น้องและไม่ได้การใส่ใจจากบิดามารดาเท่าที่ควร นางจึงใฝ่ฝันอยากเติมเต็มความรักที่ขาดหายในช่วงเวลานั้น
หลงคิดว่าการแต่งงานจะช่วยนำพาสิ่งที่ปรารถนามาให้นางได้ แต่ซ้ำร้ายกลับฉุดนางให้ต่ำลงไปเรื่อยๆ
เท้าของฉิงหนิงอวี่เริ่มแสบร้อนและบวมแดง ท้ายที่สุดเมื่อนางถอดรองเท้าออกก็พบว่ามีบางส่วนที่พองและบางส่วนเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาแล้ว
“คุณหนู! หาที่พักกันก่อนนะเจ้าค่ะ คุณหนูเท้าถลอกหมดแล้ว” เจียอีพยายามจะเข้าไปดึงตัวนายสาวให้ไปหาที่นั่งพักและหลบแดด แต่ฉิงหนิงอวี่กลับผลักตัวเจียอีจนกระเด็น
ฉิงหนิงอวี่อยากสัมผัสกับความเจ็บปวด นางอยากเตือนสติตัวเองว่าเซี่ยเย้าเต๋อกระทำเรื่องร้ายกาจกับตนมากแค่ไหน ควรหรือไม่ที่จะอภัยให้คนแบบนี้
นางจะยังยืนหยัดตามแผนการของตนต่อ ไม่ใช่เพียงเซี่ยเย้าเต๋อที่ต้องชดใช้ แต่ทั้งตระกูลเซี่ย และตระกูลฉิงก็ต้องร่วมชดใช้ให้นางด้วย!
“ฝืนตนเช่นนี้ไม่เจ็บหรือไง” จู่ๆ บุรุษผู้หนึ่งก็ขี่อาชาสีดำมาหยุดข้างหน้าฉิงหนิงอวี่ เขาจ้องมองนางเหมือนอย่างทุกทีที่เคยมอง หยิ่งยโสและเผด็จการ ทว่าลึกเข้าไปในดวงตาดำมืดนั้นคล้ายมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่
“เจ็บสิ” ฉิงหนิงอวี่ตอบเสียงสั่น “เจ็บเจียนจะขาดใจอยู่แล้ว”
รอบกายบุรุษคล้ายแผ่รังสีอำมหิตเยือกเย็นออกมา เขากระโดดลงมาอุ้มตัวฉิงหนิงอวี่ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จากนั้นห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
“หลี่เฉียง! เจ้าจะ...”
“ชื่อจริงของข้าคือหมินเสี่ยวเทียน มิใช่หลี่เฉียง”
ฉิงหนิงอวี่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู หมินเสี่ยวเทียน…ชายผู้นี้ คือใครกันแน่!?