“ตามหมอเร็วเข้า” เจียอีตะโกนบอก
“ไม่ต้อง!” ฉิงฮูหยินตวาดลั่น “ทำเสียหน้าจนลามมาถึงครอบครัว ข้าจำไม่ได้เลยว่าคลอดเด็กแบบนี้ออกมา ลากตัวนางออกไปให้พ้นหูพ้นตาข้า!”
เจียอีตัวลั่น รีบกวักมือเรียกสาวใช้อีกคนให้มาช่วยพยุงฉิงหนิงอวี่กลับห้องพัก
ฉิงฮูหยินยังไม่หายโมโห นางปรายตามองบุตรสาวที่ไม่ได้ดั่งใจและหักไม้เรียวออกเป็นสองท่อนและโยนทิ้งไปด้านข้าง
“บุตรชายทั้งสองของข้าเป็นที่ภาคภูมิใจ ส่วยบุตรสาวคนเล็กก็ตบแต่งออกหน้าออกตาอย่างสมเกียรติ จะเหลือก็แต่ฉิงหนิงอวิ่ เมื่อไรตระกูลเซี่ยจะมารีบเอาตัวนางไปเสียที”
กล่าวถึงตระกูลเซี่ยไม่ทันไร เซี่ยฮูหยินก็มาเยือนทันทีทันควัน
ฉิงฮูหยินต้องสะกดกลั้นอารมณ์ ปั้นแต่งรอยยิ้มออกไปต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติอที่ตอนนี้อยู่ในอารมณ์บึ้งตึงไม่พอใจการกระทำของฉิงหนิงอวี่อย่างมาก
“เรื่องอื้อฉาวของหนิงอวี่ดังไกลไปทั่วทั้งเมืองหลวง อย่างนี้จะให้สกุลเซี่ยเอาหน้าไปไว้ที่ไหน มืดค่ำดึกดื่นแบบนั้น นางไปทำอะไรที่งานเลี้ยงท่านโหว”
เซี่ยฮูหยินอายุมากกว่าฉิงฮูหยินหลายปี หลังจากสูญเสียสามี เซี่ยฮูหยินก็ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเซี่ย เลี้ยงดูเซี่ยเย้าเต๋อ บุตรชายเพียงคนเดียวด้วยความยากลำบาก ทะนุถนอมและหวังกับบุตรชายของตนไว้มาก
“ข้าต้องขอภัยจริงๆ ลูกสาวข้าคึกคะนองไม่รู้จักระวังตนจึงทำให้เกิดข่าวน่าละอาย แต่ข้าสัญญาจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน”
หากฉิงหนิงอวี่ถูกถอนหมั้นอีก ข่าวเสียๆ หายๆ จะยิ่งกระพือปีกหนักขึ้นแน่ เช่นนั้นหากจับนางใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างไรก็คงจะขายไม่ออกเป็นแน่
“ข้าก็ไม่อยากตำหนิลูกสาวเจ้ามากหรอก เข้าใจว่าอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น...” เซี่ยฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นจิบให้ชุ่มคอก่อนเอ่ยต่อ “ข้าเลยคิดว่าจะเร่งวันแต่งให้เร็วขึ้นอีกหน่อยจึงเขียนจดหมายไปหาเย้าเต๋อให้เดินทางกลับเมืองหลวงเร็วกว่ากำหนด”
ฉิงฮูหยินชะงัก ตาค้าง
“นางซุกซนเช่นนี้ จำต้องมีคนคอยกำราบ” รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น “ฉิงฮูหยินเห็นว่าอย่างไร”
ได้ยินอีกฝ่ายถาม ฉิงฮูหยินจึงได้สติรีบตอบ “เป็นความคิดที่ดียิ่ง ข้าเองก็เป็นกังวลอยากให้หนิงอวี่รีบออกเรือนจะได้ไม่ออกไปเที่ยวซนเช่นนี้”
ฉิงฮูหยินรู้สึกโล่งใจอย่างมาก รีบกล่าวสรรเสริญเยินยอในความคิดอันชาญฉลาด ซ้ำยังใจกว้างของเซี่ยเป็นการใหญ่
หลังจากตกลงเรื่องงานแต่งและสิ่งจำเป็นต่างๆ อยู่นานครู่ใหญ่ เซี่ยฮูหยินก็ขอตัวกลับ
ฉิงฮูหยินเดินไปส่งนางที่รถม้า หลังจากเห็นรถเคลื่อนตัวออกไปแล้วก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากออกเบาๆ นางตบอกตัวเองด้วยความดีใจที่สกุลเซี่ยยังคงยึดการหมั้นหมายเหมือนเดิม
“ฮูหยินเจ้าคะ”
ขณะฉิงฮูหยินหมุนตัวเดินกลับเข้าจวนอย่างอารมณ์ดี เสียงสาวใช้นางหนึ่งก็ร้องเรียกตามหลัง
สาวใช้ยื่นกระถางดอกจวี๋ฮวาสีแดงสดมาให้ “มีคนให้นำมามอบให้คุณหนูรองเจ้าคะ”
ฉิงฮูหยินนิ่วหน้า “ใคร”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ มีชายคนหนึ่งนำมาฝากเด็กเฝ้าประตูไว้”
“เจ้านี่มันไม่ได้เรื่อง! ซี้ซั่วรับของคนแปลกหน้ามาได้อย่างไร ไปเรียกเด็กเผ้าประตู...”
กล่าวไม่ทันจบประโยค ฉิงฮูหยินก็ถึงกลับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะไม่เพียงสาวใช้นางนี้ที่ถือกระถางดอกจวี๋ฮวา แต่สาวใช้อีกสิบกว่าคนทางด้านหลังก็เดินเข้ามาพร้อมกระถางดอกไม้เช่นกัน
“นี่มันอะไรกัน...”
ฉิงฮูหยินลมแทบจับ นี่ใครคิดเล่นพิเรธน์ส่งดอกจวี๋ฮวามามากมายขนาดนี้ ไม่เพียงเท่านั้น สีของมันยังสื่อถึงความนัยไม่ซื่อ
ดอกจวี๋ฮวาสีแดง ให้ความหมายว่ารักใคร่ชอบพอ
“เอาไปทิ้งให้หมด อย่าให้หนิงอวี่เห็นดอกไม้นี้”
แต่ฉิงฮูหยินไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ที่นางมัวแต่พูดคุยกับเซี่ยฮูหยิน ได้มีสาวใช้บางส่วนนำดอกจวี๋ฮวาไปมอบให้ฉิงหนิงอวี๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉิงหนิงอวี่นอนราบอยู่บนเตียงมองกระถางดอกไม้พลางครุ่นคิดไม่ตก
“คุณหนูทายาก่อนนะเจ้าค่ะ” เจียอิงค่อยทายาบนขาที่แดงช้ำของฉิงหนิงอวี่อย่างเบามือ ยิ่งเห็นว่ามันเริ่มปูดบวม นางก็เผลอหลั่งน้ำตาเงียบๆ
“เจียอิง เจ้ากำลังร้องไห้หรือ”
“...”
“คนที่ถูกตีคือข้า แต่ไหงคนที่ร้องกลับเป็นเจ้าเล่า” ฉิงหนิงอวี่กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ แม้จะรู้สึกเจ็บเจียนตาย แต่เพราะเคยพบเจอเรื่องที่เจ็บปวดกว่านี้มาแล้ว แผนแค่นี้จึงนับว่าไกลหัวใจนัก
“คุณหนูไม่น่าหาเรื่องใส่ตนเลยนะเจ้าคะ ตั้งแต่บ่าวอยู่รับใช้คุณหนูมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นฮูหยินลงมือกับคุณหนูหนักขนาดนี้เลย”
ฉิงหนิงอวี่ไม่ตอบ หันกลับไปมองกระถางดอกจวี๋ฮวาต่อ “เจ้าว่าใครส่งมาให้ข้า”
“ต้องเป็นคนไม่รู้กาลเทศะอยู่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีคู่หมายอยู่แล้วใครบ้างไม่รู้ ยังกล้าส่งดอกไม้ที่สื่อความหมายเช่นนี้มาให้ท่าน หน้าต้องหนามากเป็นแน่”
ได้ฟังสาวใช้วิเคราะห์แล้ว ฉิงหนิงอวี่ก็ผงกศีรษะเห็นด้วย คนที่ส่งของที่มองปราดเดียวก็เข้าใจจุดประสงค์จะต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่
ฉิงหนิงอวี่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตนยืนดูดอกไม้ชนิดนี้อยู่ในสวนบ้านท่านโหว หรือจะเป็นคนของท่านโหวอย่างนั้นหรือไม่
“ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าคนผู้นั้นมาดีหรือร้าย หากมาดีเขาก็อาจจะเป็นอีกทางรอดของข้า”