“คุณหนู! คุณหนูมาแล้ว” เจียอีรีบวิ่งเข้ามาพลางนำเสื้อคลุมมาคลุมศีรษะของฉิงหนิงอวี่ไว้
“เจียอี เจ้าทำอะไรเนี่ย”
“ก็คุณหนูเอาผ้าคลุมหน้าออกทำไมเล่าเจ้าคะ หากมีใครมาเห็นเข้าจะทำอย่างไร แค่สีเสื้อผ้าก็เด่นสะดุดตาแล้ว” เจียอีกล่าวเสียงเบาอย่างหวั่นวิตก ผิดกับฉิงหนิงอวี่ที่ไร้ทีท่าทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
“เห็นก็ดิสิ จะได้ถอนหมั้นให้จบๆ ไป”
เจียอีนิ่งอึ้ง ยืนมองฉิงหนิงอวี่ขึ้นรถม้าด้วยความงุนงงอยู่สักพักก่อนจะรีบกระโดดขึ้นตามไป
ฉิงหนิงอวี่ล้วงหยิบกระดาษแผ่นสีน้ำตาลเข้มออกมาจากอกเสื้อพลางมองดูด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นที่สุด มันเป็นสัญญาทางการค้าระหว่างนางและเจิงเฮ่าโหว มีทั้งการลงนามและประทับตราอย่างถูกต้องเป็นทางการ
เพียงเท่านี้ข้าก็อยู่เหนือเซี่ยเย้าเต๋อและตระกูลเซี่ยแล้ว
ไม่เพียงจำได้เฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจวนตระกูลเซี่ยเท่านั้น แต่ฉิงหนิงอวี่ยังล่วงรู้ด้วยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่หลายคนไม่ทันได้ตั้งรับ สั่นคลอนทั้งตำแหน่งขุนนางและการปกครองของราชวงศ์
นั่นคือการช่วงชิงราชสมบัติขององค์ชายแปด
องค์ชายแปดเป็นบุตรชายที่เกิดจากหนึ่งในสนมเอกของฮ่องเต้ นางเป็นญาติผู้น้องกับฮองเฮา มีรูปโฉมและสติปัญญาโดดเด่นเป็นที่โปรดปราน
ทว่าระหว่างเดินทางไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมือง นางกับบุตรชายกลับถูกโจรภูเขาบุกเข้าทำร้าย ศพของนางถูกค้นพบที่ก้นหุบเขาและเคลื่อนย้ายกลับมาที่ราชวังเพื่อทำพิธีศพอย่างถูกต้องสมเกียรติ สร้างความเศร้าโศกแก่ฮ่องเต้และฮองเฮาเป็นอย่างมาก
แต่สำหรับองค์ชายแปดที่ตอนนั้นเพิ่งอายุสามขวบ กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
รถม้าของฉิงหนิงอวี่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปพร้อมสายตาดุดันคู่หนึ่งที่มองจ้องมา บุรุษยกยิ้มมุมปากก่อนสะบัดเสื้อคลุมสีดำและเดินเข้ามาภายในจวนเจิง
“นายท่านหมิน” พ่อบ้านใหญ่รีบเข้ามาคารวะอย่างนอบน้อม พลางผายมือเชิญบุรุษไปนั่งรอที่ห้องรับรองที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ พร้อมสั่งให้เด็กรับใช้ยกสุราและอาหารมากมายมาวางบนโต๊ะ
ไม่นานเจิงเฮ่าโหวก็เปิดประตูเข้ามา เขาฉีกยิ้มกว้างพร้อมเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“นึกว่าท่านจะมาไม่ได้เสียแล้ว” เจิงเฮ่าโหวรินสุราให้อีกฝ่าย ยกขึ้นคารวะหนึ่งจอก จากนั้นกล่าวถามสารทุกข์อยู่ครู่ใหญ่ก็เล่าถึงความเคลื่อนไหวภายในวังหลวง
“อืม... ตระกูลเซี่ยงั้นหรือ ได้ยินว่าหลานชายคนเดียวของสนมเซี่ยจะเดินทางกลับมาเมืองหลวงในเร็ววันนี้ใช่หรือไม่” บุรุษใบหน้าเคร่งขรึมหมุนจอกสุราในมืออย่างครุ่นคิด
“สนมเซี่ยคงหวังให้หลานชายช่วยผลักดันองค์ชายสิบสี่ขึ้นเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปอย่างแน่นอน”
“ท่าทีของขุนนางคนอื่นเป็นเช่นไร”
“ค่อนข้างเอนเอียง จะว่ายึดตามตระกูลฉิงก็ว่าได้ ฉะนั้นตระกูลเซี่ยจึงคิดเกี่ยวดองกับคุณหนูรองเพื่อรวมอำนาจ”
“คุณหนูรอง?”
“คุณหนูรองฉิง ฉิงหนิงอวี่ นางเพิ่งกลับออกไปก่อนท่านจะมาถึง”
บุรุษผู้วางมาดเลิกคิ้วสนใจทันที “คุณหนูฉิงคนนั้นแต่งกายชุดแดงหรือไม่”
เจิงเฮ่าโหวถอนหายใจ ล้วงหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากอกเสื้อ วางลงบนโต๊ะ “ท่านเห็นนางด้วยสินะ ไม่รู้เหมือนกันว่านางคิดจะทำอะไร จู่ๆ ก็มาขอเจรจาซื้อที่ดินกับข้า”
เจิงเฮ่าโหวเล่าเรื่องที่ตระกูลเซื่อทาบทามสู่ขอฉิงหนิงอวี่ตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วยเพราะมองแล้วว่าตระกูลฉิงนั้นมีอิทธิพลมากในกลุ่มขุนนางจึงหมายอยากเป็นทองแผ่นเดียวกันเพื่อทำการใหญ่ในภายหน้า
“น่าสนใจดีแท้” แววตาบุรุษเป็นประกายวาบหวาม ยกจอกสุราขึ้นดื่มและเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ กล่าวเสียงเย็นทว่าแฝงความปรารถนาบางอย่าง “ฉิงหนิงอวี่ สตรีผู้นั้นมีบางอย่างสะกิดใจข้า”
เรื่องที่ฉิงหนิงอวี่ไปปรากฏตัวอยู่ที่งานเมื่อคืนแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
กุลสตรีที่ไหนจะไปร่วมงานแบบนี้กัน หรือคุณหนูรองฉิงจะไม่รู้จักแยะแยะขาวดำ กลายเป็นสตรีร่านราคะแล้วอย่างนั้นหรือ
หรือเพราะห่างไกลคู่หมั้นจนเบื่อหน่ายจะรอแล้วอย่างนั้นหรือไม่
ชาวบ้านต่างรือกันไปปากต่อปากสร้างความอับอายแก่ฉิงฮูหยินเป็นอย่างมาก
“เจ้าลูกไม่รักดี! ทำไมถึงทำตัวน่าละอายเช่นนี้!!!” ฉิงฮูหยินสั่งให้ฉิงหนิงอวี่ถลกกระโปรงขึ้นจนถึงน่อง จากนั้นคว้าเอาไม้เรียวยาวขึ้นมาและฟาดลงที่เนื้อขาวเนียนจนขึ้นรอยแดง
“ฮูหยินโปรดเมตตา คุณหนูเพียงแค่อยากไปดูงานสังสรรค์ ไม่ได้พบปะพูดคุยกับบุรุษใดเจ้าค่ะ” เจียอีคุกเข่าแก้ต่างให้ผู้เป็นนาย ทว่าคำพูดของฉิงหนิงอวี่กับทำร้ายความพยายามของสาวใช้จนหมดสิ้น
“ข้าไปเจอท่านโหวมา”
ไม้ในมือของฉิงฮูหยินสั่นระริก นางโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ฟาดไม้เข้าใส่ไม่ยั้งหวังให้บุตรสาวคุกเข่าขอโทษในการกระทำของตน แต่นอกจากฉิงหนิงอวี่จะไม่กล่าวคำขอโทษแล้ว นางยังไม่ร้องไห้ออกมาสักแอะ
ฉิงฮูหยินเดือดดาลยิ่งขึ้น นางระบายอารมณ์โกรธจนลืมตัวไปชั่วขณะจึงพลั้งมือฟาดเข้าใส่ตรงรอยต่อของข้อกระดูกเต็มแรง
“กรี้ดดด คุณหนูรอง” เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่โดยรอบกรีดร้องเป็นเสียงเดียว พวกนางได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างหักพร้อมร่างสตรีที่ทรุดตัวลงนอนหมอบกับพื้น
เจียอีรีบรุดเข้าไปดูอาการฉิงหนิงอวี่ด้วยความเป็นห่วง เห็นใบหน้างามบิดเบี้ยว กัดฟันแน่นก็รู้ได้ทันทีว่านางเจ็บปวดมากแค่ไหน