น้ำทิพย์เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็ตกลงกันว่าจะไปเชียร์ชานนท์ที่สนามบาสด้วยกัน
พออารยาบอกกับน้ำทิพย์เสร็จ เธอก็รีบวิ่งออกไปทางประตูหลังของโรงเรียนด้วยความเร่งรีบ
“อ้าว! อายจะไปไหน ไม่ไปเชียร์นนท์ด้วยกันเหรอ” น้ำทิพย์ตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นอารยารีบร้อนวิ่งออกไปทางหลังโรงเรียน
“ทิพย์ไปก่อนเลย เดี๋ยวอายตามไป” หญิงสาวเอ่ยบอกน้ำเสียงอ่อนหวาน ก่อนที่ร่างบางระหงจะรีบวิ่งออกไปหาพ่อตัวเองที่รออยู่
“พ่อคะ พ่อเอารถใครมาคะ” อารยาถามขึ้นด้วยความแปลกใจ คิ้วบางขมวดเข้าหากันพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อเธอเห็นรถที่พ่อของเธอขับมารับเธอ เพราะรถที่พ่อเธอขับมาวันนี้ไม่ใช่รถของที่บ้านของเธอ
“อายรีบขึ้นมาก่อนลูก ค่อยคุยกับบนรถ” อัฐพลเอ่ยบอกบุตรสาวของตนอย่างเร่งรีบ แม้จะยังสงสัยอยู่ แต่อารยาก็เลือกที่จะทำตามอย่างว่าง่าย หญิงสาวเดินไปขึ้นด้านหลังรถ เพราะด้านหน้าข้างคนขับมีแม่เธอนั่งอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ยิ่งทำให้อารยารู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้น
“พ่อคะ นี่พ่อจะพาพวกเราไปไหนคะ แล้วไปนานไหมคะ คืออายยังทำธุระที่โรงเรียนไม่เสร็จเลยค่ะ” อารยาเอ่ยขึ้นเมื่อพ่อของเธอออกรถด้วยความเร่งรีบ หลังจากที่เธอขึ้นมานั่งยังไม่เรียบร้อยดีด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวพ่อเล่าให้ฟังลูก แต่ตอนนี้เราต้องออกจากกรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุด” อัฐพลเอ่ยตอบในขณะที่มือจับพวงมาลัยแน่น เท้าเหยียบคันเร่งไม่หยุด ตายังจ้องเพ่งมองถนนไม่ละไปไหน
“ออกจากกรุงเทพฯ! มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ บอกอายที” หญิงสาวเอ่ยถามคนเป็นพ่อขึ้นด้วยความตกใจ แต่พ่อกับแม่ของเธอก็เลือกที่จะนิ่ง และดูเหมือนว่าพ่อของเธอจะยิ่งเพิ่มความเร็วของรถมากขึ้นเรื่อยๆ
อารยานั่งอย่างกระวนกระวายใจ เพราะตอนนี้ใจเธออยู่ที่สนามบาสแล้ว แต่อีกใจก็อดที่จะกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเธอตอนนี้ไม่ได้ เธอรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ ในใจ
ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปนานแค่ไหน พอรู้ตัวอีกทีก็เช้าตรู่ของวันใหม่แล้ว ฉันมองไปรอบๆ รถด้วยความงวยงง รู้สึกไม่คุ้นกับสถานที่แห่งนี้เลย และไม่รู้เลยว่ามันคือที่ไหน
“ไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยกันก่อน เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล” พ่อเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินลงจากรถไปทำธุระส่วนตัว เหลือเพียงฉันกับแม่ที่นั่งอยู่บนรถ แม่ฉันนั่งนิ่งมาก ตั้งแต่นั่งรถมาเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ท่านยังไม่ปริปากพูดอะไรเลยสักคำ
“แม่คะ แม่จะไปเข้าห้องน้ำกับอายไหมคะ” ฉันเอ่ยชวนแม่ไปทำธุระส่วนตัวตามที่พ่อบอก เพราะเห็นท่านยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับตัวเลย
“ไม่! แกจะไปไหนก็ไป แกกับพ่อแกอยากทำอะไรก็ทำ อย่ามายุ่งกับฉัน” แม่ตอบฉันด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเหมือนแม่กำลังโกรธใครมา
ฉันมองแม่ด้วยความสงสัย เพราะทั้งพ่อและแม่ต่างทำตัวแปลกๆ ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ครั้นจะถามแม่ ฉันก็ไม่กล้า ฉันจึงเลือกลงจากรถเดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำหญิงคนเดียว โดยไม่ได้เซ้าซี้อะไรแม่อีก
“อายห้ามใช้โทรศัพท์นะลูก” ขณะที่ฉันกำลังจะโทร. บอกน้ำทิพย์ให้บอกชานนท์ให้ฉันที เรื่องที่ฉันไม่สามารถไปดูเขาลงแข่งในครั้งนี้ได้ ที่ฉันไม่ได้โทร. บอกนนท์เพราะคิดว่านนท์น่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการแข่งในครั้งนี้ ฉันจึงไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเขา ฉันจึงเลือกโทร. หาน้ำทิพย์แทน แต่พ่อก็ห้ามฉันขึ้นมาเสียก่อนยังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่มีคนรับสายแล้ว
ที่ฉันพูดแบบนี้เพราะว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันโทร. หาทิพย์ หลังจากออกจากโรงเรียนมา ฉันก็โทร. หาน้ำทิพย์อยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าทิพย์จะปิดเครื่อง ไม่รู้ว่าทิพย์ลืมเปิดตั้งแต่ออกจากห้องสอบรึเปล่า
ที่ฉันไม่ได้โทร. หาชานนท์ เพราะฉันรู้ว่าในเวลาลงแข่งชานนท์ใช้โทรศัพท์ไม่ได้อยู่แล้ว ฉันจึงคิดที่จะติดต่อไปทางน้ำทิพย์แทน แต่ดูเหมือนกับว่าวันนี้อะไรหลายๆ อย่างไม่เป็นใจให้ฉันเลย เมื่อคืนโทร. เท่าไรก็ไม่มีคนรับ พอตอนเช้ามีคนรับ พ่อก็เข้ามาห้ามเสียก่อน ทำให้จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้คุยกับใครอยู่ดี
“ทำไมคะพ่อ” ฉันถามกลับพ่อทันควัน เพราะพ่อเล่นไม่พูดอะไร หรืออธิบายอะไรให้ฉันรู้บ้างเลย นอกจากห้ามโน่นห้ามนี่ไม่หยุด
“พ่อบอกว่าห้ามโทร. ก็คือห้ามโทร. ไม่ต้องถาม เอาโทรศัพท์อายมาให้พ่อ” พ่อตะคอกใส่ฉันเสียงดัง ตั้งแต่เกิดมาพ่อไม่เคยตะคอกใส่ฉันแบบนี้มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรก แถมสีหน้าของพ่อก็ดูเครียดๆ เหนื่อยๆ ฉันจึงยอมท่านอย่างว่าง่ายดาย เพราะฉันเชื่อว่าพ่อไม่มีวันไม่หวังดีกับฉันแน่
พ่อหยิบโทรศัพท์ฉันไปปิดเครื่องก่อนจะวางไว้ที่โต๊ะม้าหินอ่อน และจูงมือพาฉันเดินกลับไปขึ้นรถ ฉันได้แต่หันหลังกลับไปมองตามโทรศัพท์ของตัวเอง และอยู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาด้วยความคับข้องใจ ฉันไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของฉัน ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไร ฉันไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง รู้แต่ว่าฉันไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพ่อไม่ยอมพูดอะไรแบบนี้ฉันยิ่งอึดอัดใจ หลังจากที่พ่อพามาขึ้นรถ ฉันก็ฟุบหน้าลงบนเบาะปล่อยให้น้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจมันไหลออกมาไม่หยุด จนสุดท้ายฉันก็หลับไปอีกครั้ง