ฉันเพิ่งรู้ว่าพ่อขับรถพาพวกเรามาทางภาคอีสาน เพราะฉันอ่านตามป้ายข้างทางหลังจากที่ตื่นนอน และพ่อก็พาลงไปภาคใต้ พ่อวางโทรศัพท์ไว้ตามปั๊มตามจังหวัดที่เราผ่าน ก่อนที่การเดินทางของพวกเราจะมาจบกันที่ภาคเหนือเป็นที่สุดท้าย
ตอนนี้เราอยู่กันที่จังหวัดน่าน พวกเรานั่งรถกันทั้งวันทั้งคืนสามคืนเต็มๆ มีจอดแวะพักข้างทางบ้าง เพราะพ่อไม่ยอมพาไปนอนโรงแรมหรือรีสอร์ตไหนเลย จนมาถึงที่นี่
บ้านที่พ่อพาพวกเราเข้ามาพักเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่มีเนื้อที่เยอะมากอากาศก็ดีมากเช่นกัน แต่ฉันไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องอากาศอะไรหรอก รู้แต่ว่าตอนนี้ร่างกายเพลียมาก ง่วงนอนมากด้วย สภาพจิตใจยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันดิ่งลงจนถึงเหวแล้วตอนนี้
ยอมรับว่าฉันรู้สึกโกรธพ่ออยู่บ้างที่ไม่ยอมปริปากอธิบายอะไรให้ฉันเข้าใจบ้างเลย ทำให้ฉันทั้งงงทั้งสับสนไปหมดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านฉันในตอนนี้
“อายเข้าไปพักก่อนก็ได้ลูก เดี๋ยวตื่นมาค่อยกินข้าว” พ่อเอ่ยบอกฉันขึ้นหลังจากที่พวกเราเดินเข้ามายังด้านในตัวบ้าน บ้านหลังนี้ถือว่าไม่เลวเลย เล็กกะทัดรัดน่ารักดี ฉันเดินเข้าห้องไปตามที่พ่อบอกอย่างว่าง่าย เพราะร่างกายฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ ตอนนี้
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน ก่อนจะตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้ยินเสียงคนทะเลาะกันด้านนอก ซึ่งเสียงนั้นฉันคุ้นเคยดี เพราะเป็นเสียงของพ่อกับแม่ฉันเอง นี่ถือเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ฉันเห็นพ่อกับแม่ของฉันทะเลาะกัน ด้วยที่ผ่านมาพ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันเลย ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรกับครอบครัวของฉัน ปัญหานั้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่พ่อก็จะยอมแม่ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่ารอบนี้เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนี้
“ฉันต้องอยู่บ้านสับปะรังเคหลังนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” วิยะดาตวาดอัฐพลด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน ขอเวลาผมอีกนิด ผมจะรีบเคลียร์ทุกอย่างให้ลงตัวให้เร็วที่สุด” อัฐพลตอบกลับภรรยาของเขาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า เพราะเขาต้องขับรถมาคนเดียวตลอดทางจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้พัก แม้จะมีจอดรถพักบ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าหลับ เพราะเป็นห่วงลูกและเมีย
“เร็วที่สุดของคุณมันอีกนานแค่ไหน ฉันบอกไว้ก่อน ฉันไม่มีวันยอมอยู่ที่นี่ไปเป็นเดือนแน่” แม่อารยาเอ่ยขึ้นเสียงดังและแข็งกระด้าง ดูเธอจะอารมณ์เสียเป็นอย่างมากกับสถานการณ์ของครอบครัวเธอในตอนนี้ และเหมือนเช่นทุกครั้งเมื่อเกิดปัญหา เธอก็มักจะโทษสามีแต่เพียงผู้เดียว
เนื่องจากวิยะดาเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ครั้นเมื่อต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เธอคงรับไม่ได้ ยิ่งจะให้เธอมาอยู่ในที่ที่กันดารแบบนี้ ยิ่งไม่มีวันที่คนอย่างเธอจะรับได้
“ให้ฉันมาอยู่บ้านทุเรศๆ แบบนี้คุณคิดได้อย่างไร ถ้าพวกเพื่อนๆ ในสมาคมของฉัน หรือพวกนักข่าวรู้เข้าว่าฉันต้องมาอยู่บ้านหลังเล็กๆ ที่ต่างจังหวัดแบบนี้ คุณเคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน และถ้าเรื่องมันร้ายแรงมาก คุณจะลากฉันไปติดร่างแหกับคุณด้วยทำไม เอาพวกเรามาลำบากด้วยทำไม ทำเองก็รับผิดไปคนเดียวสิ” วิยะดากดดันสามีของเธอทุกทางให้เขารีบพาเธอกับลูกไปอยู่อย่างสุขสบายเหมือนเดิม เธอไม่สนว่าตอนนี้สามีของเธอจะเจอกับปัญหาอะไร เธอรู้แค่ว่าตัวเธอต้องการชีวิตสุขสบายเหมือนเดิม และอัฐพลก็ต้องรีบหามาให้เธอให้ได้
“ผมสัญญา ผมจะไม่ทำให้คุณกับลูกต้องลำบากนานนักหรอก” อัฐพลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอ่อนล้า
“ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ เพราะถ้าคุณทำอย่างที่พูดไม่ได้ก็อย่าหาว่าฉันใจดำก็แล้วกัน” วิยะดาพูดขึ้นด้วยความโมโห น้ำเสียงบ่งบอกความไม่พอใจอย่างชัดเจน ก่อนที่เธอจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้อง แต่ก็ต้องชะงักไปชั่วครู่ เมื่อเธอหันมาเจออารยา บุตรสาวของตนที่กำลังมองเธอด้วยสายตาสับสน เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เพราะเธอต้องการให้อารยาไปเอาคำตอบจากอัฐพลด้วยตัวเอง เธอจึงเดินเลี่ยงเข้าห้องของเธอซึ่งอยู่ถัดจากห้องของอารยาไป