“จับไว้แบบนี้จะได้ไม่หลงครับ” เหตุผลของเขาทำให้เธอเผยยิ้ม
“แหม... พราวไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ” เธอย่นจมูกใส่เขาอย่างน่ารัก
“ถึงไม่เด็กแล้ว แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะพราวเป็นผู้หญิง พี่จับมือเอาไว้แบบนี้ จะได้มั่นใจว่าไม่พลัดหลงกัน เพราะว่าร้านนี้คนเยอะมากๆ เลยครับ”
พราวมุกเดินเคียงคู่ไปกับตรัย ให้เขาจับมือเอาไว้แบบนั้น มีหลายคน หันมามองเธอกับเขา จนพราวมุกรู้สึกขัดเขินพยายามดึงมือหนีจากมือหนา ของเขา แต่ตรัยไม่ยอมปล่อย เขาไม่สนใจคนอื่นเลยสักนิด
“มานี่ครับ ระวังด้วยคนดี” ตรัยดึงร่างน้อยมากอดเอาไว้เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินสวนออกมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพนักงานทุกคนต้องทำเวลา ในช่วงกลางวันแบบนี้ลูกค้าเต็มร้านจนเสิร์ฟอาหารแทบไม่ทัน
“เป็นยังไงบ้าง” ตรัยก้มมองคนในอ้อมแขน ถามอย่างห่วงใย หัวใจของพราวมุกเต้นแรงแทบกระหน่ำออกมานอกอก
“พราวโอเคค่ะ พนักงานคงรีบน่ะค่ะ ลูกค้าเต็มร้านเชียว” เธอบอกอย่างเขินๆ หันไปมองรอบๆ ร้าน เห็นว่าลูกค้าเยอะจริงๆ
“พี่บอกแล้วไงครับ ว่าให้พี่จับมือเอาไว้ จะได้ปลอดภัย ไม่พลัดหลงกัน”
ตรัยก้มลงกระซิบบอก ลมหายใจของเขาทำให้เธอหน้าร้อนผ่าว ก่อนที่เขาจะพาไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ พนักงานเข้ามาต้อนรับก่อนจะเดินหายไปยกเมนูอาหารมาเสิร์ฟ
“ไงวะไอ้ตรัย วันนี้พาเด็กมาด้วย” เสียงคุ้นๆ ทำให้พราวมุกหันไปมอง เจอกับเชาวน์นั่นเอง เชาวน์เป็นเพื่อนในแก๊งเดียวกับพี่ชายของเธอและตรัย เธอสงสัยว่าเชาวน์มาทำอะไรที่นี่หรือว่ามากินอาหาร แต่ชุดที่ใส่ไม่น่าจะใช่
“เด็กที่ไหน พาน้องพราวมากินกลางวัน”
“อ้าว... น้องพราว มากินข้าวกับไอ้ตรัยได้ไงครับนี่” เชาวน์ทักทาย พราวมุกอย่างสนิทสนม
“พราวมาทำงานกับพี่ตรัยค่ะ”
“เหรอครับ งั้นคงได้มารับประทานอาหารที่นี่ทุกวันสิครับ”
“แล้วนายล่ะ โรงแรมตัวเองมี ไม่บริหาร จะมาเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือไงวะ” ตรัยเอ่ยแซวเพื่อนรัก
“อยากได้คนที่นี่ไปช่วยบริหารโรงแรม แต่เขาไม่ยอมไป ไม่ไปก็เลยต้องมาตามตื๊อแบบนี้ไง” เชาวน์บุ้ยใบ้ไปยังหญิงสาวคนหนึ่ง ดูสวย เรียบร้อย แถมยังพูดคุยทักทายกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง
“ยังจีบไม่ติดอีกเหรอวะ” ตรัยมองตามสายตาของเพื่อนไปยังเจ้าของร้านคนสวย
“จีบยากชะมัดยาด ใจแข็งยิ่งกว่าหิน ใครบอกว่าแม่หม้ายจีบง่าย จีบยากกว่าสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงานเสียอีก”
“สงสัยเข็ดเรื่องผู้ชายมั้ง ยิ่งนายดูเจ้าชู้ปากหวานขนาดนี้”
“ไม่รู้เว้ย! ยังไงฉันจะจีบให้ติดให้ได้ นี่คืออนาคตแม่ของลูก” เชาวน์พูดอย่างหมายมั่น
“แล้วนายมาทำตำแหน่งอะไรวะนี่” ตรัยพูดขำๆ เมื่อเห็นท่าทางของเพื่อน คนนี้ท่าจะรักจริงหวังแต่ง เพราะปกติเชาวน์ไม่จริงจังกับผู้หญิงคนไหน
“พนักงานเสิร์ฟ ล้างจาน ถูพื้น ทำทุกตำแหน่งเว้ย! คุณกั้งเขาชอบคนขยัน” เชาวน์ตบอกตัวเองท่าทีขำๆ พราวมุกอดจะอมยิ้มกับท่าทีของเพื่อนพี่ชายเสียไม่ได้
“นี่นายลงทุนขนาดนั้นเลยเหรอ” ตรัยมองหน้าเพื่อนเหมือนไม่เชื่อ ครั้งก่อนที่เจอกันได้ยินเพื่อนบอกว่ากำลังจีบสาว เพื่อนในแก๊งเลยแซวว่าคงเหล่สาวคนไหนไปตามเรื่อง หรือคั่วสาวคนไหนอยู่ พอเบื่อก็คงเลิก แต่คราวนี้ดูจริงจังถึงขั้นลงทุนทำงานทุกอย่างเพื่อเอาใจเจ้าของร้านคนสวย สรุปว่าคงไม่ใช่เล่นๆ แล้วจริงๆ
“คนนี้ฉันเอาจริง นี่นายสั่งอาหารแล้วใช่ไหม” เชาวน์เอ่ยถามเพื่อนรัก
“สั่งแล้ว โทร. มาสั่งเมื่อสองชั่วโมงก่อน”
“ตามสบายนะ อยากได้อะไรเป็นพิเศษเดี๋ยวจะจัดการให้ น้องพราวด้วยนะครับ กินเต็มที่เลย มื้อนี้พี่เลี้ยงเองครับ ถือว่าฉลองทำงานวันแรก” เชาวน์ตบบ่าเพื่อนรัก
“ไม่เป็นไร ฉันสั่งอาหารเยอะแล้ว แต่ดูเหมือนคนของนายจะเดินมาโน่นแล้ว” ตรัยบุ้ยใบ้ไปยังกังสดาล เธอเดินเข้ามาทักทาย จึงได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ แล้วเชาวน์ก็เดินตามเจ้าของร้านสาวต้อยๆ ไปทำงานต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นี่ละหนา... เขาบอกว่าความรักทำให้คนเปลี่ยนไป ทำได้ทุกอย่างจริงๆ
“พี่เชาวน์มาจีบเจ้าของร้านนี้เหรอคะ”
“ใช่ เธอเป็นแม่หม้ายครับ”
“แล้วพี่เชาวน์กับครอบครัวไม่ถือเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ ถึงเชาวน์มันจะเป็นคนเจ้าชู้ แต่ถ้ารักใครรักจริง เรื่องอดีตพวกนั้นมันไมสนใจหรอก”
“ดูพี่เชาวน์จริงจังมากๆ เลยนะคะ”
“ตอนเจอมันครั้งล่าสุดเห็นมันพูดๆ ว่าคนนี้รักจริง แต่ไม่คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้ แต่คุณกังสดาลเหมาะกับไอ้เชาวน์แล้วครับ นายเชาวน์มันไม่ชอบคนจู้จี้ขี้บ่น”
“ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงจู้จี้เหรอคะ” พราวมุกเลิกคิ้วขึ้นถาม
“ถ้าเป็นผู้หญิงที่รัก สำหรับพี่แล้ว พี่ยอมให้จู้จี้นะครับ” ตรัยหยอด... มองสบตาพราวมุกอย่างสื่อความหมาย
“อาหารมาแล้วน่ะค่ะ” พราวมุกเปลี่ยนเรื่อง เพราะพูดไปพูดมาชักจะ เข้าตัว ยิ่งเจอสายตาหวานเชื่อมของตรัยที่ขยันส่งมาให้ ยิ่งทำให้เธอประหม่า
“กินเลยครับ อาหารที่นี่อร่อยจริงๆ พี่มากินบ่อย รู้สึกติดใจเลยอยากพาน้องพราวมากินด้วยกัน” เขาเชื้อเชิญอย่างใจดี
“โห... น่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ ของโปรดของพราวทั้งนั้น” แค่เห็นอาหารตรงหน้าเธอก็น้ำลายสอ ท้องร้องประท้วงอย่างน่าอาย ตรัยรีบตักอาหารให้เธอแบบไม่ต้องให้รอนาน แถมยังยิ้มเอ็นดูเมื่อเธอลูบท้องไปมาอย่างอายๆ
พราวมุกมองอาหารบนโต๊ะทีละอย่างแล้วยิ้ม มองแล้วละลานตาไป เสียหมด ตรัยแนะนำอาหารทีละจานอย่างเป็นกันเอง แล้วลองตักให้เธอชิม รสชาติกลมกล่อม เข้มข้น กินแล้วถึงกับติดใจ
“ต้มยำกุ้งที่นี่รสชาติจัดจ้าน แซ่บด้วยนะครับ”
“หอมมากเลยค่ะ” ถึงแม้จะหิวขนาดไหน แต่พราวมุกถูกสอนมาอย่างดีเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร เธอค่อยๆ ตักรับประทานอย่างเรียบร้อย ค่อยๆ เคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืน
“อร่อยไหมครับ” ตรัยถามลุ้นๆ
“อร่อยค่ะ พี่ตรัยก็กินบ้างสิคะ ตักให้พราวอยู่นั่นแหละ” เธอตักปลาหมึกให้เขาเพราะจำได้ว่าเขาชอบกิน
“ขอบคุณครับ พราวนี่รู้ใจพี่จริงๆ ว่าพี่ชอบกินปลาหมึก”
“เอ่อ... ค่ะ พี่ตรัยยังรู้ใจพราวเลย” เธอตอบเขินๆ เมื่อเขาพูดเป็นนัยว่าเธอรู้ใจเขา
“ใจตรงกันแบบนี้ ก็ดีสิครับ”
“ดียังไงคะ” ถามแล้วรู้สึกเขิน เดี๋ยวเขาก็หยอดคำพูดกลับมา ทำให้อายอีก
“จะได้ทำงานได้รวดเร็วน่ะสิครับ แค่มองหน้าก็รู้ใจ” เขาตอบอีกทาง พราวมุกยิ้มเขินเมื่อเขาทำหน้าล้อเลียนส่งมา เหมือนจะถามว่าเธอคิดอะไรอยู่
ตรัยกับพราวมุกรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยก็กลับออฟฟิศ ก่อนกลับเชาวน์ฝากขนมปังหน้าหมูมาให้คนที่ออฟฟิศ ทั้งความหอมและรสชาตินั้นไม่เป็นสองรองใคร
ตรัยอวยพรให้เพื่อนจีบกังสดาลติดไวๆ เห็นความตั้งใจและจริงใจแล้วอยากให้สมหวังเร็วๆ พราวมุกเองก็เช่นกัน ลุ้นให้ทั้งคู่มีข่าวดีในเร็ววัน
เวลางานตรัยดูเอาจริงเอาจังมาก ลูกน้องทุกคนต่างเคารพรักทำตามคำสั่งอย่างแข็งขัน ไม่มีใครปริปากบ่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง เธอเห็นทุกคนจริงจังกับงานก็ตั้งใจทำงานด้วย แต่พอช่วงพักออฟฟิศของตรัยกลับสนุกสนานเฮฮาเหลือเกิน
“กลับบ้านกันได้แล้วครับสาวน้อย” ตรัยใช้มือวางค้ำบนโต๊ะที่พราวมุกนั่งทำงานอยู่ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปใกล้จนลมหายใจเป่ารดใบหน้าสวย
“ได้เวลาเลิกงานแล้วเหรอคะนี่ อุ๊ย!” พราวมุกเงยหน้าขึ้นก็เจอกับใบหน้าหล่อเหลาของเขา เธอผละออกห่างอย่างเขินอาย
“ครับ ทำงานเพลินแบบนี้ สงสัยพี่ต้องให้โบนัสสิบสองเดือนเสียแล้ว” เขาพูดล้อเลียนอย่างเอ็นดู
“โบนัสไม่เอาหรอกค่ะ” พราวมุกเก็บของและจัดเอกสารให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบกระเป๋ามาคล้องไหล่ ยิ้มให้เขาเพื่อบอกว่าเรียบร้อยแล้ว
“ไปเที่ยวงานกันไหมครับ” จู่ๆ เขาก็ชวนขึ้นมาเมื่อคิดอะไรได้ พราวมุกชะงักขณะเดินเคียงคู่ไปกับเขาก่อนจะเอ่ยถาม