บทที่2

1797 คำ
...จวนรองสกุลสวียังแคว้นฉู่... ทางฝ่ายเจ้าสาวก็หนีหายไปแล้วทางฝ่ายเจ้าบ่าวกลับดูไม่ทุกข์ร้อนเท่าใดนักเห็นแล้วสหายรักเช่นตู้ชิงหลวนคุณชายตู้บุรุษหนุ่มเนื้อหอมผู้หนึ่งแห่งแคว้นฉู่ซึ่งมีวัยยี่สิบหกหนาวเลยอดใจไม่ไหวเลยต้องถามกันให้รู้ความกระจ่างไปสักหน่อยเมื่อพบว่าผู้เป็นว่าที่เจ้าบ่าวนั้นยังไม่ว้าวุ่นใจเอาแต่ตรวจสอบบัญชีราวกับไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ “ท่านจะไม่เดือดร้อนสักหน่อยหรืออีกเพียงสามวันวิวาห์จะมาถึงแล้ว ทว่าเจ้าสาวกลับหายไปเช่นนี้น่ะ?” คนกำลังจะเป็นเจ้าบ่าวซึ่งถูกเจ้าสาวทอดทิ้งไปเพียงชะงักมือซึ่งกำลังดีดลูกคิดไปเพียงอึดใจเดียวเขาก็กลับไปดีดมันอย่างคล่องมือพลางตวัดพู่กันลงไปในสมุดบันทึกใหม่ได้โดยไม่ติดขัดสักนิดเห็นได้ชัดเจนว่านายท่านสวีรุ่นนี้นั้นมิได้นำพาจริงหาใช่เสแสร้ง “คนพี่หนีไปคนน้องก็ยังอยู่เช่นไรท่านนายอำเภอจางคงไม่ฉีกหน้าตนเองหรอกเชื่อข้าเถิดคุณชายตู้” ...ช่างเป็นบุรุษที่อำมหิตเกินไปแล้วสหายข้า... “ท่านจะอำมหิตเกินไปหรือไม่หนานเฉิงกั๋วกงสวี” เพราะเป็นสหายรักกันมาเกินสิบหนาวต้นเหตุที่หนานเฉิงกั๋วกงต้องเร่งคว้าสตรีสักนางมาตบแต่งเป็นหนานเฉิงกั๋วกงฟูเหรินมีหรือตู้ชิงหลวนเขาจะมิทราบไปด้วยกับบุรุษตรงหน้าที่นั่งหน้าเคร่งอยู่กับบัญชีมากมายนั้นมันเพราะเหตุใดกันอย่างไรเล่าตรงกันข้ามนั้นเขาพอรู้มาไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งนิสัยเย็นชาและอำมหิตของสหายตรงหน้าเขายิ่งรู้ดีเกินผู้ใด “ข้าอำมหิตที่ใดกันในเช้าวันนั้นข้าส่งแม่สื่อไปถึงสามจวนแต่เป็นสกุลจางที่รับไมตรีจากแม่สื่อเข่อมาก่อนจวนใดในแคว้นฉู่แห่งนี้ทั้งสิ้นข้าเอากระบี่ไปจี้ลำคอของท่านนายอำเภอจางเช่นนั้นหรือ ก็เปล่าทั้งหมดเช่นนี้ข้าอำมหิตที่ใด เป็นคุณหนูสี่ของสกุลจางต่างหากที่นางอำมหิตต่อข้าอีกเพียงไม่ถึงสิบวันกลับหนีตามพ่อบ้านเฒ่าไปเช่นนี้ข้านั้นช่างน่าสงสารหรือเจ้าว่าไม่จริง?” 'สวีฉีเฟิ่ง'กั๋วกงหนุ่มเอ่ยเนิบนาบแต่ก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่งเพราะในเช้าต่อมาหลังจากงานชมบงกชที่ก็ทราบกันดีว่าจวนหนานเฉิงกั๋วกงนั้นต้องการหาว่าที่เจ้าสาวจึงเชิญสกุลที่มีบุตรีมาร่วมงานแล้วในวันนั้นหนานเฉิงกั๋วกงเขาก็แลเห็นคุณหนูสกุลดีที่ดูจะพอนำมาตบแต่งแก้ทางฝ่ายเหลิ่งกุ้ยเฟยที่คิดจะดึงเขาไปเป็นฝ่ายตนเองด้วยการยัดเยียดองค์หญิง'จ้าวหรูหลัน'บุตรของนางกับฮ่องเต้ลำดับที่เจ็ดมาตบแต่งกับเขาดองกันอีกชั้นให้แนบแน่นขึ้นไปกว่าเดิม เขาที่นอกจากเป็นหลานชายของไทเฮา'สวีหลิงอี'ก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยววุ่นวายอันใดอีกกับราชวงศ์จึงต้องเร่งรีบหาภรรยาเอกให้นางคอยมาปกป้องเขาเอาไว้ก่อนแล้วเป็นสกุลจางที่ไม่รู้สี่รู้แปดยื่นลำคอมาให้เขาเชือดเองพอใกล้วันวิวาห์จะมาผิดสัญญาเห็นที่ว่า’ พ่อค้า’ ใหญ่เช่นเขาคงยากจะยอมขาดทุนไปโดยง่าย ถึงเขาจะรู้ดีว่าฝ่ายเหลิ่งกุ้ยเฟยโดยง่ายแล้วคราวนี้คงไม่ยอมรามือจากเขาไปโดยง่ายเป็นแน่เลยยื่นมือเข้ามาแทรกแซงการสมรสของเขาในคราวนี้คุณหนูสี่นางจึงมาหลบหนีไปเอาได้ในเวลาเหลืออีกเพียงเก้าวันงานวิวาห์ก็จะบังเกิด ทว่าเมื่อช่วงสายเขาได้ส่งท่านพ่อบ้านซูไป’ จัดการ’ เจรจากันให้กระจ่างแจ้งไปแล้วกับจวนสกุลจางว่าเช่นไรวันวิวาห์เขาจะต้องมีเจ้าสาวให้ไปรับ ไม่ว่าสินสอดจะแพงเท่าใดทางจวนหนานเฉิงกั๋วกงล้วนยินดีจ่าย ...โดยเฉพาะหากเจ้าสาวผู้นั้นยิ่งโง่เขายิ่งพึงใจ... คาดว่าเช่นไรท่านนายอำเภอจางคงไม่อยากมีปัญหากับเขาเป็นแน่อย่างไรเขาก็เป็นถึงหนานเฉิงกั๋วกง ไม่นับรวมที่เขาเป็นหลายชายคนโปรดของไทเฮาสวี กับอำนาจในมือที่มีไม่น้อยนายอำเภอขนาดเล็กย่อมไม่คิดเป็นปฏิปักกับเขาอยู่แล้ว ที่สำคัญเขาทราบมาว่าจวนท่านนายอำเภอจางนั้นยังมีธิดาอีกหนึ่งคนที่รูปโฉมมิได้ด้อยไปกว่าฝาแฝดคนพี่เลยแม้แต่น้อยดังนั้นจะเป็นคนพี่หรือคนน้องให้นางเป็นบุตรีจากภรรยาเอกเขาล้วนพึงใจรับเอาไว้ได้หมด ขอเพียงตบแต่งนางมาแล้วเขาไม่ต้องรับองค์หญิงเจ็ดจ้าวหรูหลินเข้าจวนและสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายเขาล้วนพอใจทั้งสิ้นต่อให้ฝาแฝดคนน้องขี้ริ้วขี้เหร่เช่นไรเขาฉีเฟิ่งนั้นก็ไม่เกี่ยงงอนอันใดทั้งสิ้นขอเพียงนางโง่เขลาไม่เรื่องมากวุ่นวายเป็นพอ! ส่วนทางฝ่ายคนถูก’ หมายหัว’ที่จะให้เป็นเจ้าสาวแทนนั้น กลับกำลังปวดศีรษะอย่างรุนแรงที่ในเรือนของตนมีเงินรวมกันไม่ถึงยี่สิบตำลึงสอบถามจนได้ความว่า... “ก็มิใช่คุณหนูกล่าวว่าตัวท่านไม่จำเป็นต้องใช้เบี้ยหวัดก็อยู่ได้จนแก่เฒ่าจึงไม่รับหรอกหรือเจ้าค่ะ?” ...โอ๊ย!... ฟังแล้วคนที่ไม่ยอมขายชีพ...หากเงินไม่มากพอแทบกรีดร้องแล้วดึงทึ้งหนังศีรษะตนเองให้สาแก่ใจอย่างยิ่งเพราะหลับตาแล้วเหตุการณ์ที่จางเยว่เซียงสงบเสงี่ยมบอกบิดาของนางในอดีตเมื่อครั้งที่เพิ่งเสียมารดาไปแล้วบิดาจัดการแบ่งส่วนเบี้ยหวัดให้บุตรสาวทั้งสองคนมิคาดเจ้าของร่างเดิมนี้นางกลับยกในส่วนของตนเองให้พี่สาว “คนดีกับคนโง่เนี่ยมันมีเพียงเส้นบางๆ กั้นขวางนิดเดียวเท่านั้น...นิดเดียวจริงๆ” กรีดน้ำตาด้วยกิริยา’ นางร้ายเงินล้าน’ จนปลายนิ้วก้อยเด้งไปพลางเรียวปากงามนั้นก็พึมพำบ่นให้เจ้าของร่างคนเก่าไปพลาง คิดว่าร่างกายนี้อิ่มทิพย์หรือไรเงินเดือนเลยไม่รับ ...สิ้นคิดเป็นที่สุด!... แล้วช่วงสายของวันนั้นเมื่อท่านหมอฟางตรวจอาการของนางเรียบร้อยจางเยว่เซียงผู้มาไกลจากต่างภพจึงค่อยๆ สอบถามฟื้นฟูความทรงจำให้กับตนเองทีละเรื่องโดยอาศัยประโยคที่ว่านางปวดศีรษะจึงจำอันใดสลับกันไปหมดซึ่งท่านหมอฟางก็วิเคราะห์อาการของโรคนี้ว่ามันคือผลกระทบของการถูกฟาดศีรษะนั่นเอง “ขออนุญาตเจ้าค่ะคุณหนูห้านายท่านเชิญท่านไปพบที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” ...ดูทรงเหมือนงานจะเข้า... นางร้ายเงินล้านคิดในใจแต่กิริยาข้างนอกคือวางใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยรับคำออกไปว่าอีกครู่หนึ่งนางจะเร่งตามไปแล้วจึงหันมาสำรวจร่างกายกับอาภรณ์ว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงให้ฟางปี้เหลียนเดินนำทางไปซึ่งคราวนี้สาวใช้ไม่คิดมากหรือสงสัยอันใดอีกเพราะทราบแล้วว่าคุณหนูของตนเองนั้นนางบาดเจ็บไปถึงภายในสมองด้วย จึงอาจดูแปลกประหลาดขัดนัยน์ตาไปบ้างต้องทำใจ …ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก… “ท่านพ่อ” พอเคาะประตูแล้วเสียงภายในอนุญาตจางเยว่เซียงจึงผลักประตูเข้าไปภายในห้องหนังสือที่บิดานั้นมักใช้เป็นห้องทำงานไปในตัวยามเมื่อกลับมาอยู่ที่จวน นางมองสำรวจโดยรอบจากความเคยชินของตะวันฉาย “มานั่งก่อนอาเซียง” บิดาชี้ไปที่เก้าอี้หญิงสาวไม่ได้ดื้อดึงกิริยาสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนี้มิได้แสดงยากเย็นจางเยว่เซียงขยับเก้าอี้มานั่งตัวตรงเช่นในยามคุณแม่ผู้อำนวยการเรียกไปคุยธุระสำคัญก็มิปาน “ท่านพ่อจะไม่อ้อมค้อมแล้วนะอาเซียงเมื่อช่วงสายท่านพ่อบ้านใหญ่ในจวนรองของหนานเฉิงกั๋วกงสวีเขาได้มาฟังข่าวจากทางฝ่ายเราว่าจะเอาเช่นไรกันดีในเมื่อพี่สาวของเจ้าก็ดันหนีไปเช่นนั้นแล้ว” ...คิดเอาไว้แล้วทีเดียวว่ากรรมหนักจะมาตกใส่ศีรษะของข้า... จางเยว่เซียงพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ว่าการนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเนื่องจากเมื่อเช้ากิริยาของท่านย่ามหาภัยมันแปลกไป คนเช่นเหล่าฮูหยินจางไม่เคยสงบปากสงบคำแล้วหลานรักหายไปตั้งหลายวันไม่บ้าคลั่งตามหานางมองว่ามันผิดปกติ “ท่านพ่อหากลูกเสียมารยาทถามสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่” นางเอ่ยอย่างระวังกิริยามากมายเพราะสถานที่แห่งนี้โลกใบนี้สตรีมิใช่จะมีสิทธิ์มีเสียงมากนักจะทำจะพูดสิ่งใดนางจึงต้องคิดให้ดีจึงค่อยพูดค่อยถาม “ลองถามมาเถิด ท่านพ่อตอบได้จะไม่เก็บเอาไว้” บุตรสาวคนที่ห้าของตนวันนี้ช่างขวัญกล้ายิ่งนักปกติแล้วเขานั้นไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนว่า’อาเซียง’จะกล้าถามผู้ใดมีเพียงใครสั่งนางก็ก้มหน้ายอมรับจนหลายครั้งเขาทุกข์ใจไม่น้อย “เช่นนั้นที่พี่สี่หายไปท่านย่าอยู่เบื้องหลังนี้เป็นความจริงหรือไม่?” “!!!” ท่านนายอำเภอจางมิคาดว่าบุตรสาวผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมาถึงสิบเจ็ดปีกลับถามออกมาได้ตรงเผงมิอ้อมค้อมเช่นนี้จึงตกใจจนพูดไม่ออกไปเป็นครึ่งเค่อจึงค่อยหาลิ้นกับเสียงตนเองเจอ “อันใดทำให้เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออาเซียง” ลองหยั่งเชิงดูว่าที่นางถามออกมานั้นรู้แจ้งหรือเพียงกล่าวมาโดยบังเอิญเท่านั้นแล้วสองพ่อลูกจึงมองจ้องตากันอย่างวัดใจอีกครู่จางเยว่เซียงจึงตัดสินใจว่าจะยอมพูดออกไปเพราะนางคิดดีแล้วว่าย่อมมีประโยชน์มากกว่านางจะเสแสร้งทำเป็นเบาปัญญา “เพราะท่านย่ารักพี่สี่มาก เช่นนี้ก็เพียงพอให้อาเซียงคาดเดาได้แล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” ท่านนายอำเภอจางฟังคำตอบแล้วจึงหัวเราะสาแก่ใจออกมาครู่หนึ่งเพราะมิคาดถูกดุ้นฟืนฟาดศีรษะไปหนึ่งครั้งสลบ ...รู้เช่นนี้เขาฟาดศีรษะนางไปนานแล้ว...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม