หนูนานั่งเงียบ ๆ ระหว่างเดินทางไปบ้านใหม่ ดวงตากวางมองข้างทางที่ต้องผ่านป่าเขารกทึบ ถนนดินแดงฝุ่นคลุ้ง แต่เมื่อเข้าตัวเมืองถนนกลับลาดยางเรียบสะอาด รอบข้างแม้มีต้นไม้เยอะแต่ก็ไม่ได้รกน่ากลัวเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา
ความเจริญยังคงเข้าไม่ถึงหมู่บ้านของเธอ แม้ความจริงแล้วระยะทางระหว่างหมู่บ้านกับตัวเมืองไม่ได้ไกลกันมากนัก ไม่อยากจะคิดเลยว่าหมู่บ้านที่อยู่ไกลกว่านี้จะเป็นอย่างไร อาจจะไม่มีไฟฟ้าใช้เลยด้วยซ้ำ
โชคดีของหมู่บ้านกอบัวที่มีลุงสองดูแล ลุงสองพยายามทำทุกทางเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สรรหาอาชีพใหม่ ๆ ให้ชาวบ้านทำ งบที่ได้มาไม่มีแม้แต่แดงเดียวที่ลุงสองเก็บไว้เอง ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่ที่ชาวบ้านชื่นชมการกระทำของลุงสองก็เพราะข้าราชการส่วนมากมักจะโกงกิน เงินงบประมาณกว่าจะมาถึงชาวบ้านตาดำ ๆ ไม่รู้ถูกกินไปเท่าไหร่ หลายหมู่บ้านที่มีผู้นำไม่ดีถึงได้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปาก
“ถึงแล้ว”
เสียงทุ้มปลุกให้หนูนาตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอมัวแต่คิดถึงเรื่องหมู่บ้านจนไม่รู้ตัวเลยว่ามาถึงบ้านใหม่แล้ว ดวงตากวางกวาดมองไปทั่วด้วยความสนใจ บ้านใหม่หรือเรียกง่าย ๆ ว่าบ้านสวัสดิการของตำรวจตั้งตระหง่านตรงหน้า
“มันเก่าไปหน่อย คุณพอจะอยู่ได้ไหม”
แบบนี้ไม่หน่อยแล้วมั้ง...
บ้านที่เห็นตรงหน้าเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง ดูผ่าน ๆ ไม่ต่างอะไรจากบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างคือความคับแคบและความเก่าของมัน สภาพภายนอกเหมือนผ่านการใช้งานมาเป็นร้อยปี ไม่รู้ว่าหลังคารั่วผนังเป็นรูหรือเปล่า
หนูนาไม่ใช่พวกเลือกกินเลือกนอน แต่สภาพแบบนี้มันก็ค่อนข้างจะเกินไป...หน่อย บ้านที่เก่าที่สุดในหมู่บ้านกอบัวยังมีสภาพดีกว่านี้ด้วยซ้ำ มันทำให้เธออดตั้งคำถามไม่ได้ว่านี่หรือบ้านพักของข้าราชการ
“นี่บ้านพักสารวัตรหรือ”
“ที่จริงไม่ใช่” ศิลาสารภาพ “ผมแลกกับนายดาบคนหนึ่ง คนนั้นเขามีครอบครัวหลายคน ทั้งแม่ ภรรยา และลูก ๆ ผมที่ตัวคนเดียวจึงตัดสินใจยกบ้านพักประจำตำแหน่งสารวัตรให้ แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่แทน”
“อืม...” ที่แท้ก็บ้านของตำรวจยศน้อย มิน่า ถึงได้ซอมซ่อแบบนี้
“เมื่อก่อนผมไม่ได้อยู่กับใครจึงไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่ ๆ มีไปก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ สู้ยกให้คนที่จำเป็นต้องใช้มันดีกว่า อีกอย่างดาบคมก็ขยันขันแข็งและตงฉิน ควรได้รับอะไรตอบแทนบ้าง”
เหตุผลของสารวัตรหนุ่มทำให้หนูนามองชายคนนี้ดีขึ้นมานิดหน่อย
แค่นิดหน่อยเท่านั้น
“แต่ถ้าคุณอยู่ไม่ได้ผมจะลองคุยกับดาบคมดู เขาอาจจะยอมเปลี่ยนให้ เพราะตอนที่ผมยกให้เขาก็ค่อนข้างลังเล”
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยู่ได้ ของยกให้คนอื่นไปแล้วจะเอาคืนได้อย่างไร” หนูนาพูดพลางเปิดประตูรถออกไป เธอมองบ้านหลังเล็กและบริเวณรอบ ๆ พร้อมกับความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัว “แต่ฉันว่าเราต้องแปลงโฉมมันสักหน่อย”
“แปลงโฉม...”
“อืม!”
.
.
“ศาลาวัด ตรงนั้น กระเถิบอีกนิด ใช่! ไม่ต้องขยับแล้ว”
“ไม่เบี้ยวแล้วนะ”
“ไม่เบี้ยว ๆ” หนูนาตอบหนักแน่น “รีบลงมาได้แล้ว เราต้องไปถางหญ้าอีก ไม่รู้อยู่มาได้อย่างไร ไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอหรือ ถึงเป็นตำรวจงูก็ฉกได้นะ”
ศิลามองตามแผ่นหลังบางที่เดินหายลับไป เสียงบ่นแง้ว ๆ ยังคงดังเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย ตั้งแต่มาถึงบ้านหลังนี้ทั้งเขาและภรรยายังไม่ได้หยุดพักเลย เหตุเพราะหนูนาทนกับสภาพบ้านไม่ไหว ชวนแกมบังคับให้เขามาช่วยกันแปลงโฉมบ้านให้น่าอยู่ขึ้น
ศิลายกยิ้มน้อย ๆ หนูนาสร้างความแปลกใจให้เขาอีกแล้ว เธอไม่รังเกียจบ้านโทรม ๆ แม้ว่าบ้านที่จากมาจะใหญ่โตโอ่อ่ากว่าหลายต่อหลายเท่า ทั้งยังมีความคิดจะแปลงโฉมให้มันน่าอยู่ขึ้น แม้แต่เขาที่อยู่มาครึ่งปียังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะบ้านพักสำหรับเขาก็แค่ที่หลับนอนเพียงวันละไม่กี่ชั่วโมง หรือบางเดือนก็แทบไม่ได้กลับมาเหยียบเลยด้วยซ้ำ
“ศาลาวัดดดดด ทำอะไรอยู่ ออกมาเลยนะ อย่าให้รู้ว่าอู้!”
“กำลังไปครับ”
“เร็ว ๆ เลย!”
ศิลาส่ายโคลงหัวเบา ๆ แล้วก้าวขายาว ๆ ออกไปด้านนอกของบ้าน แม้บ้านหลังนี้จะมีขนาดเล็ก แต่พื้นที่บริเวณบ้านกว้างใหญ่และไม่ติดกับบ้านใคร บรรยากาศร่มเย็นเงียบสงบไม่ค่อยมีใครเข้ามารบกวน
ศิลาชอบที่นี่ เขากำลังติดต่อกับผู้ใหญ่เพื่อขอซื้อที่ดินตรงนี้มาสร้างบ้านถาวรของตัวเอง
“ของดีทั้งนั้นเลย” หนูนาชี้ต้นชมพู มะม่วง ขนุน ทุเรียน และผลไม้อีกหลายชนิดด้วยความชอบใจ “มีอย่างละสามสี่ต้น อยู่ที่นี่ไม่ต้องซื้อกินแล้ว”
“คุณชอบผลไม้หรือ”
“ชอบมาก ฉันต้องได้กินผลไม้ทุกวัน ไม่อย่างนั้นจะน้ำตาลตก อารมณ์จะเสีย ร่างกายจะอ่อนแรง”
“แค่ข้ออ้างจะกิน”
“เอ๊ะ มารู้ดีกว่าตัวฉันได้อย่างไร” หนูนาเท้าสะเอว ตีสีหน้าขึงขัง “ลงมือจัดการหญ้าพวกนี้กันเถอะ ฉันกลัวว่าเราจะถูกงูฉกเอา”
“ผมอยู่มาครึ่งปีไม่เคยเจอ”
“ไม่เคยเจอก็ใช่ว่าจะไม่เจอในอนาคต ไม่ต้องต่อรองเลยศาลาวัด รีบทำ จะได้พักผ่อน”
หนูนาจัดการลงมือถางหญ้ารก ๆ ด้วยตัวเอง โดยที่มีสารวัตรหนุ่มคอยช่วยไม่ห่าง ไม่นาน รอบบริเวณบ้านก็สะอาดสะอ้านทว่ายังร่มรื่น น่าเอาโต๊ะออกมาตั้งไว้นั่งเล่น กินลม ชมวิว อ่านหนังสือ
“บ้านนี้ใช่ว่าจะย่ำแย่ แค่คนอยู่ไม่ค่อยดูแล”
ศิลารู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ เหมือนกำลังถูกต่อว่าเข้าให้
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะเขานั้นแทบไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ เสื้อผ้าบางส่วนอยู่ที่สถานีด้วยซ้ำ บางครั้งหากงานรัดตัวมาก ๆ เข้าก็กินนอนมันที่นั่นเพื่อประหยัดเวลาเดินทาง บ้านพักถึงได้รกร้างเช่นนี้
“ห้องนอนอยู่ที่ไหนศาลาวัด”
“ข้างบน ทางนี้ครับ”
หนูนาเดินตามคนตัวโตขึ้นบ้าน บนตัวบ้านไม่ได้มีสภาพเก่าอย่างที่คิด ค่อนข้างสะอาดแต่ดูเหมือนไม่มีคนอยู่อาศัย
“นายไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลยหรืออย่างไร”
“คุณรู้”
“ก็พอจะเดาได้” ดวงตากวางกวาดมองไปรอบ ๆ “บ้านเรียบร้อยขนาดนี้ ไม่เหมือนบ้านที่มีคนอยู่เท่าไหร่”
“ที่บ้านเรียบร้อยเพราะผมมีแม่บ้านคอยทำความสะอาดและส่งอาหารให้เวลาที่ผมกลับบ้าน”
“นายไม่ค่อยกลับบ้านจริง ๆ สินะ”
“ครับ ผมกินนอนที่สถานีมากกว่า”
“อ้อ” หนูนาพยักหน้ารับเรียบ ๆ ไม่ได้ถามต่อว่าทำไมต้องสารวัตรต้องไปกินนอนที่ทำงาน
สารวัตรหนุ่มเดินนำภรรยาไปที่ห้องนอน เมื่อเปิดเข้าไปก็เจอกับห้องนอนเรียบ ๆ ขนาดเล็ก ของทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน เตียงนอนขนาดใหญ่ปูผ้าเรียบตึงตั้งตรงกลาง โต๊ะอ่านหนังสือและตู้เสื้อผ้าวางชิดกับผนัง ตกแต่งด้วยสีขาวครีมเป็นส่วนใหญ่ทำให้ห้องดูกว้างกว่าความเป็นจริง
ที่สำคัญที่นี่มีเครื่องปรับอากาศ หนูนาคิดว่าคงเป็นเพราะในตัวเมืองต้นไม้น้อย อากาศจึงร้อนกว่าหมู่บ้านของเธอ ที่หมู่บ้านกอบัวไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ แม้พ่อจะหามาติดไว้ที่ห้องนอนของทุกคนแต่ก็แทบไม่เคยได้เปิดใช้เพราะอากาศที่นั่นเย็นสบายทั้งปี
น่าแปลก ทั้ง ๆ ที่ห่างกันไม่ถึงห้าสิบกิโล แต่ทุกอย่างกลับต่างกันเหลือเกิน ราวกับอยู่คนละโลก
“คุณนอนที่นี่ ผมจะไปนอนข้างนอก”
“ทำไมต้องไปนอนข้างนอก”
“ที่นี่มีห้องนอนห้องเดียวครับ”
สายตาของหนูนาเหมือนจะยังไม่หายสงสัย สารวัตรหนุ่มจึงจำต้องอธิบายขยายความเพิ่ม
“ผมคิดว่าคุณคงอยากนอนแยกมากกว่านอนด้วยกัน”
ถ้าเป็นก่อนได้เห็นหน้าท้องนั่นเธอยอมรับว่าคิดแบบนั้นจริง ๆ แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว
“ไม่ ฉันนอนกับนายได้”
“แต่...”
“ไม่มีแต่หรอกศาลาวัด อย่าทำให้มันยุ่งยาก ทำเหมือนว่าเราไม่เคยนอนด้วยกันไปได้” หนูนารีบพูดเร็ว ๆ แล้วชวนอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย “ฉันหิว หมดแรงจะเถียงด้วยแล้ว มีอะไรให้กินบ้าง”
“คุณไปอาบน้ำก่อน ผมจะออกไปทำอะไรให้กิน”
“ทำเป็นด้วยหรือ” หนูนาแปลกใจ ไหนเมื่อกี้บอกว่ามีแม่บ้านเอาข้าวมาให้ ทำไมตอนนี้ถึงพูดว่าจะทำเอง
“ครับ ผมต้องทำกินเองทุกวันสมัยเรียน” ศิลาไม่ได้พูดต่อว่าเรียนที่ไหน เขาไม่อยากทำตัวเหมือนโอ้อวดว่าเคยเรียนที่เมืองนอกเมืองนา
ศิลาเรียนที่อังกฤษช่วงมัธยมปลายหรือไฮสกูล เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง จากนั้นพอกลับมาไทยก็ตัดสินใจเข้าเรียนตำรวจตามความฝัน ใช้เวลาไต่เต้าเกือบสิบปีจึงได้ขึ้นเป็นสารวัตรในวัยยี่สิบแปดปี จนตอนนี้เขาอายุยี่สิบเก้า อยู่ในตำแหน่งสารวัตรมาได้หนี่งปีแล้ว
“อย่าให้ฉันท้องเสียก็แล้วกัน” หนูนาวางท่า แม้ในใจจะกำลังยิ้มกริ่ม สบายแล้วหนูนาเอ้ย ผัวทำกับข้าวเป็น ไม่อดตายแล้ว เพราะเธอทำไม่เป็น!
สารวัตรหนุ่มแยกตัวออกไปทำกับข้าว โดยใช้วัตถุดิบหลักอย่างไส้กรอกที่หนูนาอยากกิน ส่วนหนูนานั้นแยกตัวไปอาบน้ำ ที่บ้านหลังนี้ไม่มีห้องน้ำในห้องนอน เธอต้องเดินผ่านครัวไปจึงจะถึงห้องน้ำที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุด
หนูคิดในใจอย่างเริงร่า เธอวางแผนไว้ว่าหลังจากกินข้าวกินปลาเรียบร้อยแล้วเธอจะเริ่มจับสารวัตรกิน หลังจากที่เมื่อคืนอดไปเพราะอีกฝ่ายชิงหลับไปก่อน
วันนี้ไม่รอดแน่ ก้อน ๆ ที่หน้าท้องนั่นเธอจะลูบไล้ให้สมใจอยากเลยเชียว
ฟ่อ!
“เห้ย!”
เจ้าของเสียงเสียงหวานผิดกับอุปนิสัยอุทานออกมาเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“บอกแล้วว่าไม่เคยเจอไม่ได้แปลว่าจะไม่เจอ” สาวน้อยวัยยี่สิบปีวางเสื้อผ้าและข้าวของลง ก่อนจะหยิบไม้กวาดแถวนั้นขึ้นมา “ไปเสีย เราไม่เคยบาดหมางกัน อย่ามายุ่งวุ่นวาย ต่างคนต่างอยู่”
ฟ่อ!
“พูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร ไปสิ ไป”
ฟ่อ!
“ยังอีก เอ๊ะ นั่นมัน...” เธอชะงักค้าง เพ่งมองสิ่งนั้นให้แน่ใจ
“หนูนา มีอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มตะโกนถามมาจากครัว "ผมได้ยินเสียง..."
“ศาลาวัด นี่นายไม่อยู่บ้านนานจนงูมาทำรังแล้วหรือ!!”
.
.
มื้อกลางวันถูกเลื่อนไม่มีกำหนด หนูนานั่งหน้าบึ้งระหว่างรอให้ชาวบ้านที่เชี่ยวชาญมาช่วยเคลื่อนย้ายครอบครัวงูออกไป งูเห่าตัวใหญ่และไข่อีกสามสิบกว่าฟองในห้องน้ำทำให้หนูนาแทบจะเป็นลม ไม่ใช่เพราะความกลัว เธอคุ้นชินกับสัตว์ดุร้ายมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่จะเป็นลมก็เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าสารวัตรจะไม่กลับบ้านจนถูกครอบครัวงูยึดเอาไว้แบบนี้
“เรียบร้อยครับสารวัตรศิลา”
“ขอบคุณมากนะครับ” ศิลาให้เงินกับชาวบ้านคนนั้น ทั้งยังกำชับให้เอาทั้งหมดไปปล่อยในป่า อย่าได้ฆ่าแกงกัน
เมื่อชาวบ้านจากไปแล้วศิลาก็รู้สึกหนาว ๆ ที่แผ่นหลัง พอหันกลับไปมองก็เห็นสายตาไม่สู้ดีของภรรยา สารวัตรหนุ่มเริ่มหวั่นใจ หนูนาในตอนนี้ดูดุร้ายกว่างูเห่าหวงไข่ตัวเมื่อครู่ไม่รู้กี่เท่า
“เหลือเชื่อเลยจริง ๆ วันแรกของการแต่งงานและย้ายเข้าบ้านผัวของฉันมันช่างน่าจดจำ”
หนูนาอยากจะทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ กิจกรรมของคู่แต่งงานใหม่มีคู่ไหนเหมือนเธอบ้าง ทั้งถางหญ้าและจัดการกับครอบครัวงูเห่า ไปเล่าให้ใครฟังเขาคงพากันหัวเราะเยาะจนฟันหัก
ไม่ใช่ว่าคนที่เพิ่งแต่งงานกันจะใช้เวลาไปกับกิจกรรมบนเตียงหรอกหรือ ข้าวใหม่ปลามัน ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์อะไรทำนองนั้น แล้วนี่เธอเจอกับอะไรเข้า นี่หรือชีวิตแต่งงานจริง ๆ ที่ไม่ใช่ในนิยาย
หนูนาให้สัญญากับตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเธอจะแต่งงานครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สองอีกเป็นอันขาด!