แกร็ก
.....
แกร็ก
“คิดไม่ออกแล้ว!”
กระดาษถูกขยำเป็นก้อนกลมแล้วโยนทิ้งเป็นแผ่นที่สิบ หนูนาปลายตามองเศษซากที่ทิ้งขว้างเองกับมือด้วยสายตาว่างเปล่า
เฮ้อ
ร่างเล็กลุกเดินไปที่ครัว หม้อที่เคยมีข้าวต้มเต็มแน่นบัดนี้แทบไม่เหลือแม้แต่น้ำสักหยด ผ่านมาแค่ครึ่งวันเสบียงของเธอก็หมดเกลี้ยงแล้ว ศาลาวัดไม่ได้บอกว่าจะออกไปหาของกินได้อย่างไร ของสดที่มีติดครัวช่างไร้ประโยชน์เมื่อหนูนาทำกับข้าวไม่เป็น
“จะกลับมาตอนไหนนะศาลาวัด”
ด้วยหน้าที่การงานของหนูนาทำให้เมื่อก่อนเธอมักจะลืมกินข้าวอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนอยู่ที่บ้านจะมีปื๊ด พี่ช้าง และแม่คอยหาของกินมาให้ เมื่อต้องแยกตัวออกมาใช้ชีวิตเองทำให้เธอปรับตัวไม่ทัน ไม่มีคนเตรียมอาหารไว้ให้ทุกมื้อ ทว่ากระเพาะดันเคยชินกับการได้กินอาหารตรงเวลา
“หิวอ่าา”
ในตอนที่กำลังร้องโอดโอยอยู่นั้น หูก็พลันได้ยินเสียงเครื่องยนต์วิ่งเข้ามาใกล้ หนูนาหูผึ่ง รีบวิ่งจากครัวออกไปที่ชานบ้านทันที
“ศาลา... พี่ช้าง! ปื๊ด!”
“หนูนา!” ช้างตะโกนเรียกน้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทิ้งรถให้ปื๊ดเป็นคนจอดแล้ววิ่งหน้าตั้งขึ้นบ้านน้องเขยโดยไม่รอฟังคำอนุญาต “หนูนา! หนูนาของพี่”
หมับ
สองพี่น้องกอดรัดกันด้วยความคิดถึง ช้างน้ำตาซึมเพราะคิดถึงน้องจับใจ เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ เอาแต่คิดว่าน้องจะอยู่อย่างไร สบายดีไหม กินอิ่ม ที่นอนนุ่มหรือเปล่า
“น้องดูซูบลง”
“พี่ช้าง แค่วันเดียวเองนะ” ปื๊ดได้ยินก็อดแย้งไม่ได้ แค่วันเดียวจะบอกว่าซูบลงได้อย่างไร พี่ช้างคิดไปเอง
“แค่วันเดียวข้าก็รู้แล้วไอปื๊ด ข้าเลี้ยงน้องมาตั้งแต่ตัวแดง ๆ เอ็งจะมาเถียงได้อย่างไร”
“เอาเถอะ ๆ อย่าทะเลาะกันเลยพี่ช้าง ไอ้ปื๊ด” หนูนาเป็นฝ่ายห้ามทัพ เธอเหนื่อยเกินกว่าจะต้องมาฟังพี่น้องทะเลาะกันอีก “พ่อกับแม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“ปกติดีจนน่าโมโห ไม่มีท่าทางเป็นห่วงน้องสักนิด”
“ไม่ใช่ว่าไม่ห่วง แต่แม่ใบบัวกับพ่อราชันรู้ว่าพี่หนูนาดูแลตัวเองได้ต่างหาก” ปื๊ดรีบแก้ไขคำพูดช้างทันที กลัวว่าหนูนาจะเชื่อช้างแล้วเข้าใจแม่ใบบัวกับพ่อราชันผิด ๆ
ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่ห่วง แต่เพราะหนูนาโตแล้ว ถึงเวลาต้องใช้ชีวิตเอง เรียนรู้ผิดถูกด้วยตัวเองโดยที่พ่อแม่ได้แต่เฝ้ามองจากที่ไกล ๆ
เมื่อถึงเวลาลูกนกก็ต้องออกจากรัง พ่อนกแม่นกไม่สามารถอยู่กับลูกนกได้ตลอดไป จึงจำต้องสอนลูก ๆ ให้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
“พ่อกับแม่คิดถูกแล้ว หนูนาดูแลตัวเองได้”
“เพราะหนูนาของพี่เก่งที่สุด” น้องว่าอย่างไร พี่ก็ว่าอย่างนั้น ตามใจน้องไม่มีใครเกิน “เออ แล้วนี่น้องเขยอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ออกมารับพี่เมีย”
ช้างถามพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ บ้าน ทว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่พบกับคนที่ตามหา ไม่รู้หายหน้าไปไหน พี่เมียมาตั้งนานแล้วไม่เห็นโผล่หน้าออกมารับ
ใช้ไม่ได้จริง ๆ
“เขาไปทำงานจ้ะ”
“ห๊า! แต่งงานได้วันเดียวก็ไปทำงานแล้วหรือ!” ช้างโวยวายเสียงดัง ดังจนนกที่เกาะพักผ่อนบนจั่วบ้านตกใจพากันบินหนีหัวซุกหัวซุน “อะไรกัน! แทนที่เพิ่งแต่งงานจะใช้เวลาอยู่กับเมีย นี่ปล่อยให้เมียอยู่บ้านคนเดียว ใช้ไม่ได้ ๆ น้องไปเก็บเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านกับพี่ช้างดีกว่า ไม่ต้องอยู่มันแล้ว”
“พี่ช้าง” เป็นปื๊ดที่ขัดขึ้นอีกครั้ง “คนเขามีการมีงานต้องทำนะพี่ ใครจะว่างงานเดินไปเดินมาเหมือนพี่เล่า”
“ไอ้ปื๊ด! นี่เอ็งด่าข้าหรือ”
"เปล่า ฉันแค่พูดอย่างที่เห็น พี่ช้างไม่มีงานทำจริง ๆ นี่จ๊ะ”
"ไอ้..."
“อย่าเพิ่งตีกัน ๆ” หนูนาต้องร้องห้ามอีกครั้ง หัวปวดตุ๊บ ๆ เหมือนจะระเบิดอยู่แล้ว ท้องก็ร้องจ๊อก ๆ เพราะความหิว พี่น้องยังมาตีกันตรงหน้าอีก “มีของกินติดมือมาหรือเปล่าพี่ช้าง หนูนาหิว”
“อะไรกัน! น้องเขยมันไม่เลี้ยงดูน้องพี่เลยหรือ”
“เลี้ยงจ้า ศาลาวัดทำข้าวต้มหม้อโตไว้ให้ แต่หนูนากินหมดแล้ว”
“ไม่ได้เรื่องเลย ถ้าหนูนาอยู่ที่บ้านคงไม่ต้องอดอยากแบบนี้” ช้างโมโหจนควันออกหู เป็นผัวประสาอะไร ปล่อยให้เมียหิ้วท้องหิวแบบนี้ มันน่านัก
หนูนาคร้านจะแก้ตัวแทน ช้างมีอคติกับสารวัตรอยู่แล้ว พูดอะไรไปก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา ทำดีเสมอตัวทำชั่วติดลบ หาเรื่องจะพาเธอกลับบ้านท่าเดียว
ปื๊ดรำคาญความหวงน้องไม่เข้าเรื่องของของช้างจึงแยกตัวไปเทของกินใส่จาน เมื่อมีอะไรลงท้องหนูนาก็อารมณ์ดีขึ้น งานที่ค้างก็เดินหน้าได้ต่อไม่ติดขัด หนูนานั่งทำงานท่ามกลางเสียงบ่นไปเรื่อยของพี่ชาย ช้างบ่นตั้งแต่บันไดบ้านยันห้องน้ำว่าเก่าและไม่น่าอยู่ นี่ถ้ารู้ว่าเมื่อวานเธอเจอครอบครัวงูเห่าคงบ่นไปอีกหลายปี
“อยู่คนเดียวได้หรือไม่หนูนา” ช้างทำหน้าละห้อย หลังจากอยู่เป็นเพื่อนน้องจนเย็นย่ำก็ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านเสียที “หรือจะให้ไอ้ปื๊ดนอนที่นี่ด้วย”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ที่นี่มีห้องนอนห้องเดียวพี่ก็เห็น ข้างนอกยุงเยอะด้วย ให้ไอ้ปื๊ดนอนคงถูกยุงหาม ยิ่งตัวเล็ก ๆ อยู่”
“แต่พี่เป็นห่วงน้อง บ้านพักตำรวจอะไรน่ากลัวขนาดนี้ ถ้าไม่ติดธุระพี่คงนอนด้วยไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรพี่ช้าง นี่เดี๋ยวศาลาวัดก็กลับมาแล้ว หนูนาไม่ได้อยู่คนเดียวเสียหน่อย” หนูนาพูดให้พี่ชายสบายไปอย่างนั้นเอง เพราะแม้แต่ตัวเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศาลาวัดจะกลับมาตอนไหน
หายไปตั้งแต่เช้ามืด จนพระอาทิตย์จะตกดินก็ยังไม่กลับ ถ้าไม่ได้พี่ช้างกับปื๊ดเธอคงตายเพราะความหิวไปแล้ว
“พี่ช้างกับปื๊ดรีบกลับเถอะ ป่านนี้พ่อกับแม่เป็นห่วงแย่แล้ว กลับค่ำมืดมันอันตราย”
“เฮ้อ ไว้พี่มาหาใหม่นะหนูนา” ช้างรวบตัวน้องเข้ามากอดอีกครั้ง “น้องดูแลตัวเองด้วย ถ้าไม่ไหวก็กลับบ้านเรานะ”
“จ้ะ”
หนูนารู้สึกอุ่นวาบในอก เธอโชคดีเหลือเกินที่มีบ้านแสนอบอุ่น มีครอบครัวที่ดี และมีพี่ชายที่รักเธอมากกว่าใครคอยอยู่ข้างหลังเสมอ
“พี่ไปนะ”
“จ้า”
มอเตอร์ไซค์คันเล็กแล่นห่างออกไปเรื่อย ๆ หนูนามองตามสองพี่น้องด้วยความรู้สึกวูบไหวในอก พอต้องกลับมาอยู่คนเดียวก็อดรู้สึกเหงาไม่ได้
“กลับมาได้แล้วศาลาวัด”
.
.
ศิลาอ่านเอกสารทั้งสองคดีเพื่อหาความเชื่อมโยงกันเป็นรอบที่ร้อย รูปถ่ายในสถานที่เกิดเหตุ บันทึกของตำรวจที่สอบปากคำพยานถูกกางไว้เต็มโต๊ะ บางจุดที่น่าสงสัยถูกเขียนกำกับเอาไว้กันลืม รูปภาพและเนื้อหาสำคัญถูกแปะติดบนกระดาน ลูกศรชี้ไปชี้มาจับจุดแทบไม่ได้ เขาพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนว่าทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันที่ตรงไหนบ้างนอกจากสาเหตุการตาย
แล้วก็พบว่ามันไม่มี ไม่มีเลย ทั้งสองคดีเหมือนเป็นการตายปกติ ก็แค่เล่นยาหนักจนร่างกายรับไม่ไหวและพังลงในที่สุด แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมลึก ๆ แล้วเขาไม่คิดว่าทั้งสองเป็นคดีปกติทั่วไป
มันต้องมีอะไรแน่ ๆ ศิลามั่นใจ
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตครับสารวัตร”
“เชิญ”
เมื่อได้รับอนุญาตประตูห้องทำงานก็เปิดออกกว้าง คนที่มารบกวนเวลาทำงานไม่ใช่ใคร เป็นดาบคมคนสนิทที่เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารมื้อเย็น
“ผมเห็นสารวัตรเอาแต่ทำงานไม่ออกมาจากห้องมาสองวันแล้ว อีกอย่างวันนี้สารวัตรก็ยังไม่ได้กินข้าวสักคำ ผมก็เลยสั่งอาหารตามสั่งร้านป้าแต๋วมาให้ครับ กะเพราไก่ไข่ดาวร้อน ๆ ที่สารวัตรชอบ”
“ขอบคุณนะดาบคม ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“จวนจะสามทุ่มแล้วครับ”
“อืม” เวลาเดินเร็วจริง ๆ เดี๋ยวเดียวก็สามทุ่มแล้ว มัวแต่จมกับคดีจนลืมมองเวลาไปเลย เขาคิดว่าตัวเองเพิ่งออกมาจากบ้านพักได้ไม่นานด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวนะ” จู่ ๆ ศิลาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ร่างสูงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนดาบคมผงะถอยหลัง “จะสามทุ่มแล้วหรือดาบ!?”
“ครับ จะสามทุ่มแล้ว ผมกำลังจะกลับบ้านเลยแวะมาดูสารวัตรเสียหน่อย ตอนแรกคิดว่าสารวัตรกลับไปแล้วด้วยซ้ำ” ดาบคมถอนหายใจยาว “สองวันแล้วนะครับสารวัตร แต่งงานแล้วอย่าทำงานเยอะจนลืมภรรยาสิครับ กลับบ้านบ้าง นอนที่ไหนจะสบายเท่านอนที่บ้านตัวเอง จริงหรือไม่ครับ?”
“เอ่อ... ผม”
“ผมขอโทษที่ก้าวก่ายครับ เพียงแค่อยากแนะนำในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนก็เท่านั้น”
“ผมไม่ได้จะว่าอะไร ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว”
ศิลาไม่ได้โกรธที่อีกฝ่ายก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว เพราะที่ดาบคมพูดมันไม่ผิดเลย ตอนนี้เขาแต่งงานแล้ว แม้จะแต่งเพราะความผิดพลาดไม่ใช่เพราะความรัก แต่เขาก็ไม่ควรทิ้งให้ภรรยาต้องอยู่บ้านตามลำพังแบบนี้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีคดีแปลก ๆ เกิดขึ้นในอำเภอ
ศิลาทำงานจนลืมวันลืมเวลา สองวันสำหรับเขามันสั้นเพราะเอาแต่จดจ่อกับคดี แต่สำหรับหนูนาจะเป็นอย่างไร เธอจะตกใจแค่ไหนที่สามีหายหน้าไปถึงสองวันสองคืนทั้ง ๆ ที่เพิ่งแต่งงานกัน
“สารวัตรเอาเสื้อผ้ากลับไปด้วยหรือครับ”
“อืม ผมว่าจะไม่นอนที่นี่แล้วล่ะ”
“ดีแล้วครับ”
ดาบคมยิ้มกว้างด้วยความยินดี ตั้งแต่สารวัตรย้ายมาที่นี่เขาไม่เคยเห็นเจ้านายกลับบ้านก่อนตะวันตกดินเลยสักวัน หรือหนักกว่านั้นก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานไม่กลับบ้านกลับช่องเป็นอาทิตย์ก็มี ข้าวปลาแทบไม่กิน เขาเป็นห่วงนายไม่น้อยที่ทุ่มเทกับงานจนลืมตัวเองแบบนี้
พอแต่งงานแล้วดูเหมือนว่าสารวัตรหนุ่มจะเริ่มคิดได้ทีละนิด ดูท่าทางแล้วคงรักหลงภรรยามาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าสารวัตรแต่งงานกับใคร เพราะงานแต่งจัดขึ้นเงียบ ๆ และเป็นส่วนตัว ศิลาไม่ได้เชิญเพื่อนร่วมงานไปสักคน คนในสถานีได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าอาจจะเป็นคนรักจากกรุงเทพฯ ที่ศิลาคบหามานานโดยที่ไม่มีใครรู้
ดาบคมตั้งใจว่าถ้าว่างเมื่อไหร่จะต้องเข้าไปขอบคุณคุณนายสารวัตรเสียหน่อย เขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าผู้หญิงที่เจ้านายเลือกมาเป็นภรรยาจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน
แต่ที่แน่ ๆ คุณนายจะต้องนิสัยดีและเรียบร้อยมากแน่นอน เรื่องนี้คมมั่นใจ
.
.
ศิลาก้าวขาขึ้นบันไดของบ้านหลังน้อยที่เงียบผิดปกติ ที่จริงถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนแต่งงานคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าบ้านจะเงียบเหงาแบบนี้ ทว่าในยามที่มีใครบางคนมาอยู่ด้วยกันแต่บ้านกลับเงียบสนิทแบบนี้มันดู...แปลก
ไฟทั้งบ้านเปิดไว้เพียงดวงเดียวคือบริเวณทางเดิน แม้แต่ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวก็มืดสนิท ศิลาคิดในแง่ดีว่าหนูนาอาจจะเข้านอนแล้ว เพราะกว่าเขาจะได้ออกจากสถานีก็เกือบ ๆ สี่ทุ่ม
กึก
ขายาวเป็นอันต้องหยุดชะงักลงในตอนที่กำลังจะเดินผ่านชานบ้าน ศิลาเพ่งสายตามองเงาของใครบางคนที่นั่งโยกตัวอยู่บนเก้าอี้หวาย ข้าง ๆ มีตะเกียงเจ้าพายุเล็ก ๆ ตั้งไว้ รอบตัวมีเศษกระดาษถูกขยำทิ้งนับสิบ
“หนูนา” ศิลาเดินเข้าไปใกล้เมื่อมั่นใจว่าเป็นใคร “ทำไมมานั่งเงียบ ๆ ตรงนี้ ยุงเยอะนะ”
“.....”
“แล้วทำไมไม่เปิดไฟ หรือว่าไฟเสีย หรือคุณไม่รู้ว่าเปิดตรงไหน หรือว่า...”
“นายกลับบ้านแบบนี้ทุกวันเลยหรือ”
“ครับ?”
“นายกลับบ้านแบบนี้ทุกวันเลยหรือ” เสียงเรียบ ๆ ถามซ้ำด้วยประโยคเดิม “กลับดึก บางครั้งก็ไม่กลับเอาดื้อ ๆ”
“.....”
“เป็นแบบนี้ตลอดเลยหรือ”
“...ครับ” เสียงที่ตอบออกไปแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ศิลาไม่เคยรู้สึกว่าการขยันทำงานของตัวเองจะเป็นเรื่องที่ผิดมาก่อน
จนกระทั่งมีใครบางคนตั้งคำถามกับมัน
“อืม”
เอ่ยเพียงแค่นั้นร่างเล็กก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องนอน ศิลามองตามด้วยความรู้สึกแย่ ๆ ที่ตีตื้นขึ้นมาในอก เขากำลังถูกหนูนาโกรธหรือเปล่า
แต่ถ้าเธอจะโกรธก็สมควรแล้ว มีอย่างที่ไหนไม่กลับบ้านตั้งสองวัน เขาลืม ลืมจริง ๆ
ลืมว่าแต่งงานแล้ว
ลืมว่าไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวอีกต่อไป
สารวัตรหนุ่มไม่มีอะไรจะแก้ตัว เขาผิด ผิดคนเดียว
“หนูนา”
“มีอะไร”
“คุณโกรธผมใช่ไหม”
หนูนาหันกลับมามอง ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนแสงไฟสลัวให้เห็นดวงตาคู่นั้น ศิลาดูรู้สึกผิดที่ทิ้งเธอไว้ที่บ้านหลังนี้ตามลำพัง
สองวันสองคืนเต็ม ๆ
ก็สมควรแล้ว ถ้าไม่รู้สึกผิดเลยเธอจะเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านเดี๋ยวนี้ สุดจะทนแล้วเหมือนกัน
“คืนนี้นายนอนข้างนอก”
แต่ใช่ว่าแค่รู้สึกผิดจะทำให้เธอหายโกรธ
“ครับ?”
“ทำโทษที่นายลืมฉัน”
“หนูนา ผม...”
“เชิญค่ะ สารวัตร”
ตั้งแต่รู้จักกันมาหนูนาไม่เคยเรียกเขาว่าสารวัตรตรง ๆ นี่เป็นครั้งแรก น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบชวนให้ขนลุกไปทั้งตัว ศิลารีบจดจำไว้ในใจว่าถ้าเมื่อไหร่ที่หนูนาเรียกชื่อตำแหน่งเขาถูกต้อง เมื่อนั้นแปลว่าเธอกำลังโกรธ
โกรธมาก ๆ ด้วย