บทนำ
บทนำ
สายลมของต้นฤดูหนาวพัดกรรโชกมาเป็นระยะ แสงเทียนมงคลในห้องหอของตำหนัก‘เฟิ่งหนิง’ของซู่จิ้งอ๋องแห่งดินแดนเทียนสุ่ยกำลังโยกไหวโอนเอนไปมาตามแรงลมที่พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างจนบังเกิดแสงและเงาวูบวาบราวกับเปลวเทียนนั้นกำลังเริงระบำอยู่ก็มิปาน ยามจื่อแล้ว งานเลี้ยงด้านนอกยังคงแว่วได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงและเสียงสรวลเสเฮฮามาให้ผู้เป็นเจ้าสาวซึ่งอยู่ภายในห้องหอได้ยินอยู่เป็นระยะ ถึงอากาศจะหนาวเหน็บแต่สุรามากมายดื่มได้ไม่จำกัดนั่นก็คงทำให้ทุกคนคลายหนาวไปได้ดูท่างานเลี้ยงนี้คงยังอีกยาวไกลท้องฟ้าไม่กระจ่างคงไม่เลิกราโดยง่ายเป็นแน่
ภายในห้องหอขณะนี้นั้นบัดนี้มีสาวน้อยผู้สวมชุดเจ้าสาวอย่างเต็มพิธีการของราชวงศ์จ้าวผู้เป็นใหญ่อยู่เหนือผู้คนทั้งเทียนสุ่ยกำลังนั่งทอดสายตามองตรงไปบนโต๊ะอาหารมงคลกลางห้องสำหรับคู่บ่าวสาว ผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงแสบตาเจิดจ้าอย่างยิ่ง นางมองอาหารน่ากินเหล่านั้นที่ยังไม่มีผู้ใดแตะต้องมันเลยแม้เพียงครึ่งคำด้วยสายตาละห้อยเพราะ‘เจ้าบ่าว’นั้นจนป่านนี้แม้แต่เงาก็ยังไม่ปรากฏกายให้ได้เห็นขณะนั้นเองสายลมด้านนอกเริ่มพัดกรรโชกรุนแรงขึ้นอีกหลายส่วนคาดว่าอีกไม่นานหิมะแรกของต้นฤดูหนาวก็คงจะตกลงมาแล้วเป็นแน่เด็กสาวหิวจนตาลายหิวจนแสบท้องแต่บุรุษผู้เป็นสวามีไม่มานางก็มิอาจแตะต้องอาหารโอชะบนโต๊ะนั้นไปได้
หากแต่เลยยามจื่อมาราวหนึ่งก้านธูปกลับยังไร้เงาของคนผู้นั้น'จ้าวเหลียงอี้'นั่นคือนามของบุรุษผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวและนับจากนี้ก็เขาก็คือสวามีของนางอย่างถูกต้องครบทั้งธรรมเนียมและพิธีการแม้แต่กฎหมายของราชวงศ์แห่งเทียนสุ่ยนางกับเขาก็ถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่นยากจะแยกจากกันต่อให้อยากแยกจากกันแทบตายก็ตาม
‘หานซางจื่อ’ผู้มานามรองว่า ‘เฉียนเกอ’นั่งรอเจ้าบ่าวมากว่าสองชั่วยามผู้เป็นซู่จิ้งอ๋องนั้นกลับยังคงทอดทิ้งให้นางอยู่เฝ้าห้องหอรอเขาอยู่เพียงเดียวดายในราตรีที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันคู่อื่นๆ นั้นสมควรหวงแหนช่วงเวลาดีนี้ดังทองคำพันชั่ง แต่จะเอาอันใดหนักหนากับคู่ของนางเพราะระหว่างนางกับซู่จิ้งอ๋องผู้นั้นแรกเริ่มก็ล้วนฝืนใจด้วยกันทั้งสิ้นที่แต่งงานก็เพราะถูกบีบบังคับทั้งนางเองและเขาดังนั้นราตรีเข้าหอนี้นางต้องอดทนนั่งรอเขาจนก้นเป็นเหน็บชาจะแปลกอันใดเล่า? ...
“ถิงเฟยขอน้ำนมแพะให้ข้าสักถ้วยเถิด ข้ารู้สึกหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว”
เมื่อหิวก็ต้องกินจะให้นางหิ้วท้องรอคอยบุรุษใจคออำมหิตผู้นั้นเห็นทีจะเป็นการอกตัญญูกับท่านแม่ที่สู้อุตส่าห์อุ้มท้องตนเองมาสิบเดือนแล้วยังต้องคลอดนางออกมาอย่างยากลำบากพร้อมกับเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่มาถึงสิบเจ็ดหนาวไม่ขาดไม่เกินในวันนี้เกินไปแล้วนางเป็นเด็กกตัญญู ดังนั้นข้าวนั้นไม่อาจกินได้แต่น้ำนมแพะสักหนึ่งถ้วยคงไม่ฝืนธรรมเนียมจนเกินไปเป็นแน่นางทนหิ้วกระเพาะรอสวามีไม่ไหวอีกแล้วช่างหัวจ้าวเหลียงอี้ไปเถิดนางหิวจนสามารถกินไก่ได้ทั้งตัวแล้วขณะนี้
“เหตุใดจนป่านนี้ซู่จิ้งอ๋องจึงยังไม่มาอีกนะ เลยยามจื่อแล้วแท้ๆ หากเลยฤกษ์งามยามดีของราตรีเข้าหอไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า?”
สาวใช้คนสนิทที่ถูกส่งให้ติดตามคุณหนูสามของสกุลหานมาเป็น ‘ซู่จิ้งหวางเฟย’ หรือพระชายาเอกของซู่จิ้งอ๋องแห่งดินแดน‘เทียนสุ่ย’พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ดีนักเพราะการที่ผู้เป็นนายของตนถูกแต่งเข้ามาวันแรกผู้เป็นสาวมีก็ปฏิบัติเช่นนี้มิใช่สิ่งดีเลยหากเลยฤกษ์งามยามดีกำเกิดสายเลือดมังกรจะทำอย่างไร อนาคตของตำแหน่งพระชายาซู่จิ้งอ๋องนี้ดูแล้วมืดมนยิ่งกว่าท้องฟ้าในยามราตรีในขณะนี้ไปแล้วเจ็ดส่วนในความคิดของเด็กสาวนามว่า ‘ถิงเฟย’ในยามนี้
“ไม่รีบ ไม่รีบ เรื่องนี้ข้าไม่รีบร้อนสักนิดเลยถิงเฟย กว่าจะเลยฤกษ์งามยามดีเวลาเข้าหออันเป็นมงคลเหมาะแก่การให้กำเนิดทายาทสกุลจ้าวก็อีกราวหนึ่งชั่วยาม ซู่จิ้งอ๋องไม่รีบร้อยข้าก็ไม่รีบร้อนอันใดเช่นกัน เจ้าเองก็อย่าได้ว้าวุ่นใจไปเลยนะเอานมมาเถอะข้าหิวจนตาลายหมดแล้ว”
น้ำเสียงหวานกังวานไพเราะกล่าวเนิบนาบและแผ่วเบาฟังราวกับเสียงของกระดิ่งลมกระทบกันผสานกันกับจังหวะที่เอ่ยไม่หนักและไม่เบาฟังเช่นไรก็ชวนให้จิตใจสงบหากแต่ถิงเฟยกลับสงบใจไม่ลงจริงๆ เพราะหากเลยฤกษ์งามยามดีสำหรับพิธีร่วมหอคราวนี้ฝ่ายมารดาสามีคงยากจะญาติดีกับนายหญิงของนางเป็นแน่
ก๊อก! ก๊อก!
“ซู่จิ้งอ๋องใกล้จะมาถึงแล้วขอให้พระชายาซู่จิ้งอ๋องได้โปรดสำรวมกิริยาให้ดีด้วยเพคะ”
เสียงของแม่นมจางคนสนิทของเฝิงกุ้ยเฟยพระมารดาแท้ๆ ของซู่จิ้งอ๋องส่งเสียงกำชับเข้ามาย้ำเตือนผู้เป็นเจ้าสาวก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งจะเริ่มชัดเจนขึ้นมาในหูของหานซางจื่อทุกขณะ เรียวปากงามจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มไร้ความหมายออกมาหนึ่งสายฝ่ายถิงเฟยเองกลับร้อนรนเร่งตรงเข้ามาจัดแจงตรวจดูความเรียบร้อยของคุณหนูสามของตนเองอีกรอบทั้งที่ทุกสิ่งก็ไร้ข้อตำหนิอยู่แล้วโดยแท้
“ไม่ต้องร้อนรนไปสงบใจหน่อยถิงเฟย ร้อนรนไปจะเสียกิริยาแล้วไม่งาม เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าท่านแม่ของข้ากำชับเจ้าอยู่บ่อยครั้งก่อนงานแต่งงานนี้หรอกหรือเด็กดี”
ถิงเฟยนั้นบางครั้งนางก็อยากกรีดร้องให้กับความใจเย็นของผู้เป็นนายของตนเองยิ่งนัก แต่สิบเอ็ดหนาวที่นางติดตามรับใช้คุณหนูสามมาล้วนย่อมทราบดีต่อให้ท้องฟ้าถล่มหรือปฐพีลุกไหม้หานซางจื่อผู้นี้ก็ยังคงรักษากิริยาเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นไม่หลุดจนควบคุมไม่ได้ออกไปแม้เพียงธุลีเดียวแล้วแค่เพียงต้องเผชิญหน้ากับพระสวามีย่อมมิอาจสั่นสะเทือนใบหน้าของหานซางจื่อจนบังเกิดการเปลี่ยนสีได้เป็นแน่แต่สำหรับเด็กสาวเช่นนางมิอาจทำได้เช่นผู้เป็นนายนี่นา
“เอาละพวกเราส่งน้องหกเพียงเท่านี้ก็แล้วกันพี่ใหญ่ พี่ห้าขอให้ราตรีนี้ของน้องหกกับน้องสะใภ้หกมีความสุขมากล้นนะ แล้วก็ขอให้พวกเจ้าเร่งมีหลานให้เฝิงกุ้ยเฟยได้ชื่นใจโดยเร็ว”
เสียงทุ่มที่หานซางจื่อพอจะจดจำได้ว่าคือผู้ใดหูลอยมาเข้าหูแววตาคู่งามสั่นไหวเพียงเล็กน้อยซึ่งมันน้อยมากจนหากมีผู้ใดสักคนผ่านมาเห็นก็คงจับสังเกตไม่ได้เด็ดขาดเพราะผู้เป็นเจ้าของนั้นควบคุมมันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
“ลำบากให้เว่ยเหยียนอ๋องและองค์ไท่จื่อให้ต้องใส่ใจอี้เอ๋อร์แล้ว”
เสียงของบุรุษผู้เป็นสวามีของนางกล่าวโต้ตอบฟังดูนุ่มนวลและนอบน้อมอย่างยิ่งแต่ผู้ใดเล่าจะรู้แจ้งไปกว่าตัวผู้กล่าวออกไปว่าที่แท้จริงแล้วเขารู้สึกเช่นนั้นหรือไม่และแน่นอนหานซางจื่อเองนางก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ผู้ใดสนใจเขากันเล่า
“ระหว่างพี่น้องเหตุใดน้องหกต้องกล่าวเกรงใจกันถึงเพียงนี้เล่า ฮ่า อ่า ฮ่า ใช่หรือไม่ห้าคืนนี้พวกเราล้วนเป็นคนกันเองอย่าได้มากพิธีจะดีกว่านะน้องหก มาๆ ดื่มสุราอีกหน่อยค่อยเข้าหอก็ยังไม่สาย”
เสียงบุรุษอีกผู้ที่ค่อนข้างไปทางเมามายดังลอยมาเข้าหูของผู้เป็นเจ้าสาวอีกครั้ง คาดเดาได้ว่าบัดนี้หน้าห้องหอคงรวมตัวบุตรชายทั้งสามของฮ่องเต้แห่งเทียนสุ่ยแล้วเป็นแน่ นั่นก็คือไท่จื่อ ‘จ้าวหลงเฉิน’ และยังคงมี เว่ยเหยียนอ๋อง ‘จ้าวลู่ฉือ’ พี่ชายทั้งสองของจ้าวเหลียงอี้ไม่นับรวมพี่สาวและน้องสาวของพวกเขาที่ไม่ได้สิทธิ์มาส่งเจ้าบ่าวเช่นพี่น้องผู้เป็นบุรุษ ซึ่งหานซางจื่อนั้นก็พอจะรู้มาบ้างว่าพวกเขาพี่ชายน้องชายทั้งสามนี้ออกจะมีความรักลึกซึ้งระหว่างพี่น้องชวนขวัญผวามากเชียวละ
“เอาละนี่ก็ดึกมากแล้วขอเชิญ ไท่จื่อและเว่ยเหยียงอ๋องกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ ซู่จิ้งอ๋องเองคงต้องเข้าหอแล้วประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์งามยามดีเหมาะสมกับการร่วมหอเอาได้ ขอทั้งสองท่านช่วยเข้าใจความลำบากใจนี้ของบ่าวด้วยนะเพคะ หากดึกไปกว่านี้คงจะเลยฤกษ์มงคลอันยอดเยี่ยมไปจริงๆ แล้ว”
เสียงนี้แน่นอนว่าจะต้องเป็นแม่นมจางผู้เคร่งครัดไปทุกพิธีการไม่ผิดไปซึ่งหานซางจื่อรู้สึกขอบคุณสตรีสูงวัยผู้นั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รู้จักนางมาเพราะนี่เกือบปลายยามจื่อแล้วนางทั้งเหนื่อยทั้งหิวและง่วงนอนอย่างยิ่งอยากเร่งให้จบสิ้นทุกพิธีการแล้วไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วเข้านอนเต็มทนส่วนกิจกรรมหลังเข้าหอนางยิ่งกว่าแน่ใจว่าจ้าวเหลียงอี้จะไม่มีวัน‘ยุ่งเกี่ยว’ หรือ ‘เกินเลย’ กับตนเองเป็นแน่
“ได้สิ ในเมื่อแม่นมจางกล่าวถึงเพียงนี้เช่นนั้นข้ากับน้องห้าก็ส่งเจ้าเท่านั้นก็แล้วกันนะน้องหก”
แอ๊ด…
พอสิ้นเสียงบอกลาพอเป็นพิธีของพี่น้องทั้งสามแล้วไม่นานประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเข้ามาเข้ามาด้วยฝีมือของแม่นมจางที่คอยควบคุมทุกพิธีการให้สำเร็จไปด้วยดีไม่สิสำหรับสตรีสูงวัยผู้นั้นคงมีแต่คำว่า‘ยอดเยี่ยม’อยู่สิ่งเดียวใจชีวิตเท่านั้นกระมัง
“แม่นมจางเร่งกลับไปดูแลเสด็จแม่เถิดทางนี้ไม่มีอันใดแล้วที่เหลือเปิ่นหวางจัดการต่อเองได้ท่านอย่าได้ว้าวุ่นไปเลย”
เสียงของซู่จิ้งอ๋องเอ่ยกับคนของพระมารดาของเขาเสียงราบเรียบยิ่งนัก หากแต่ ‘หานถิงเฟย’ กลับรู้สึกว่าไอ้กิริยาเอ่ยด้วยถ้อยคำราบเรียบเช่นนี้มันกลับน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่าเอ่ยวาจาดุดันจนสาวใช้ตัวน้อยถึงกับเหงื่อกาฬพลันแตกซ่าน
ซึ่งน่าแปลกที่หานซางจื่อนั้นกลับรับรู้ได้ถึงอาการหวาดกลัวนั้นของคนสนิทนางจึงเอื้อมมือมากุมมือของสาวใช้คล้ายจะปลอบขวัญกันอยู่ในคราวเดียวกันหวังไม่ให้อีกฝ่ายนั้นตื่นกลัวบุรุษผู้นั้นจนเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อนทุกสิ่งจะจบสิ้น
“แต่ว่า…”
“แม่นมจางเชิญ!”
“เพคะ!”