Married แต่งแล้ว (อย่า) รัก 20
“ฮึก คุณแม่ คุณย่า ฮึก คุณย่าไม่อยู่แล้ว ฮื่อ!! คุณย่าทิ้งหนูไปแล้วหนูไม่เหลือใครแล้ว”
ฉันปล่อยโฮร้องไห้หน้าห้องห้องหนึ่ง ระหว่างนั่งรอเอกสาร ร้องสะอึกสะอื้นแล้วได้แต่กอดปลอบตัวเอง สิ้นเสียงที่เอ่ยบอกก็ได้ยินเสียงโวยวายดังเข้ามาไม่หยุดสิ่งที่ได้ยินก่อนสายจะหลุดไปคือคุณป้าบอกจะรีบมาหาฉัน ฉันร้องไห้จนหอบเหนื่อย ขณะที่เซ็นเอกสารจากทางโรงพยาบาลก็ยังร้องไห้ ลำบากคุณพยาบาลต้องคอยยื่นทิชชูมาให้
เพราะระบบของทางโรงพยาบาลมีขั้นตอนเยอะ ฉันถึงได้มานั่งร้องไห้ที่ห้องรับรองรอรับคุณย่ากลับบ้าน ถึงแม้ภายในห้องจะวังเวงเพราะมีเพียงฉันและคุณลุงรปภ.หนึ่งคน ฉันก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้ทำให้เงยหน้าขึ้นมองทันที
ป้านิรวิ่งเข้ามากอดปลอบฉันไว้แน่น และนั่นทำให้ฉันร้องไห้อีกครั้ง ท่านนั่งกอดปลอบฉันอยู่หลายนาที ระหว่างนี้ก็ได้ยินเสียลุงขุนคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดคล้ายกับกำลังสั่งคนงาน
“ฝากเตรียมวัดใกล้บ้านด้วย ร้านหีบก็เอาที่ดีที่สุดราคาไม่เกี่ยง ฝากจัดเตรียมทางนั้นเดี๋ยวผมจะดูแลทางนี้เอง” คุณลุงเดินมานั่งด้านข้างฉันอีกด้านก่อนจะวางมือลูบเรือนผมฉันอย่างนุ่มนวล
“คุณย่าไปสบายแล้วนะลูก ไม่ต้องกังวลนะ หนูยังมีพ่อกับแม่นะลูก” คุณลุงเอ่ยปลอบฉันด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และฉันเองก็หวังว่าคุณย่าจะสบาย ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว
“ไม่ต้องห่วงแม่จะอยู่ข้าง ๆ หนูเอง” คุณป้านิรเองก็เช่นกัน ฉันไม่ได้ตอบกลับอะไรท่านทั้งสอง แต่มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นอย่างให้กำลังใจตัวเอง
“เดี๋ยวผมไปโทรหาก่อน”
“ค่ะ”
ห้องรับรองเงียบไปอีกครั้งเมื่อลุงขุนเดินออกห่าง ฉันกดส่งข้อความหาเพื่อนในกลุ่มแชตทันทีเพื่อแจ้งข่าวว่าตอนนี้คุณย่าของฉันเสียแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้สนใจโทรศัพท์อีกเลยแม้จะมีทั้งแรงสั่นหรือเสียงเรียกเข้า ฉันไม่ได้อยากพึ่งพาเขาแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องการแล้วล่ะ
“พักสายตาหน่อยไหมลูก น่าจะสักพักใหญ่เลยนะกว่าจะได้นำร่างออกมา ตีสี่น่าจะได้นะลูก”
“หนูหลับไม่ลงหรอกค่ะ” เอ่ยตอบคุณป้าเสียงแผ่ว
“หนูพลอยร้านหีบโทรมา อยากให้มีดอกไม้แบบไหนลูก” คุณลุงเอ่ยถามฉันอย่างเกรงใจ
“คุณย่าชอบดอกไม้สีขาวค่ะ”
“งั้นพ่อให้เขาเน้นดอกสีขาวเลยนะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ” เวลาเกือบสามชั่วโมงที่นั่งรอ ฉันเขียนสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้นไว้แล้ว หลังจากที่พาร่างคุณย่ากลับบ้านแต่คุณพ่อบอกว่าตามประเพณีจะนำร่างไปไว้ที่วัดเลยซึ่งฉันก็เข้าใจได้ ทำทุกอย่างที่วัดเสร็จ ฉันจะต้องเข้าไปยังที่ว่าการเพื่อดำเนินการขอใบมรณะบัตร เสร็จแล้วจะต้องเข้าจังหวัดต่อเพื่อดำเนินการเรื่องประกันต่าง ๆ และต้องกลับมาให้ทันตอนบ่ายเพื่อที่จะได้เตรียมงานสวดอภิธรรมตอนเย็นในคืนแรก
ส่งคุณย่าครั้งสุดท้ายฉันจะทำให้เต็มที่
จะไม่เหนื่อยเด็ดขาด
ฉันนั่งรถโรงพยาบาลกลับมาพร้อมกับคุณย่า แขนทั้งสองข้างกอดรูปคุณย่าไว้แน่นหัวใจรู้สึกวูบโหวงอยู่ตลอดเวลา ป้านิรท่านเองก็ตามมานั่งและนั่งอยู่ข้าง ๆ ฉันตลอดการเดินทาง เมื่อมาถึงวัดก็เห็นป้าแจ่มและพี่ส้มมารอที่วัดแล้วรวมถึงคนที่รู้จักคุณย่า และมีเรื่องที่น่าตกใจคือลูกชายคุณป้ามาที่โรงพยาบาลตอนกำลังเคลื่อนร่างคุณย่าขึ้นรถโรงพยาบาล และฉันไม่ได้สนใจ ไม่มองหน้าและไม่คุยกับเขาสักประโยค แค่รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกับเขาก็แค่นั้น ฉันน่ะรู้ขั้นตอนหมดแล้ว ไม่หวังพึ่งพาเขาแล้วล่ะ ส่วนกำลังใจฉันได้จากป้านิร ลุงขุนและเพื่อน ๆ ของฉันแล้ว ไม่หวังอยากได้จากเขาแล้ว
ตลอดการจัดการต่าง ๆ ช่วงเช้าเสร็จสิ้นเพื่อนฉันโทรเข้ามาบอกว่าจะมาหาและมาอยู่ช่วยงาน เราคุยกันเพียงเล็กน้อยก่อนที่คุณป้าจะบอกให้ฉันกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อน เพราะที่วัดท่านจะดูให้
“อาบน้ำแล้วพักสักหน่อยนะลูก เดี๋ยวแม่ให้พี่เขาพาหนูไป...”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปเองได้”
“หนูพลอย...” คุณป้าจับมือฉันไว้ยามฉันเอ่ยปฏิเสธท่านด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“คุณแม่ ในช่วงเวลาที่หนูต้องการเขา เขาไม่ได้ต้องการที่จะอยู่ข้างหนู ในตอนนั้นคนแรกที่หนูนึกถึงคือเขาค่ะ” ฉันโทรหาเขาแล้ว ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องโทรหาเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเขาไม่ว่างไม่สะดวกฉันก็ระลึกขึ้นได้ว่าไม่ควรรบกวนเขา
ระยะเวลาไม่นานกลายเป็นฉันหวังพึ่งพาเขาในวันที่อ่อนแอเมื่อก็มานึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากแต่งงานและมีคนรักอยู่แล้ว ตอนนี้เลยไม่อยากรบกวนเขาและเพื่อที่ฉันจะได้ดึงความรู้สึกตัวเองกลับมา เราเถียงกันบ่อยก็จริงแต่ฉันก็เห็นว่ารู้มาตลอดว่าเขาดูแลฉันและคุณย่าดีแค่ไหน แต่มันก็ลบล้างความจริงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้
ความจริงที่เขาไม่ได้รักฉัน
“แต่หนูก็รู้แล้วค่ะ ว่าหนูไม่ควรจะไปรบกวนเขา เอกสารทุกอย่างหนูจัดการได้ค่ะ ฝากคุณแม่ดูแลทางนี้ให้หน่อยนะคะ หนูจะรีบกลับมา”
“เอาที่หนูสบายใจก็ได้ลูก ส่วนอาหารแขกแม่จะจ้างโต๊ะจีนนะ แล้วก็วันงานพิธีหนูอยากให้มีกี่วัน” คุณป้าเอ่ยถาม ฉันแอบขยับตัวเล็กน้อยเมื่อลูกชายท่านเดินมานั่งข้าง ๆ ฉัน ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่เช่นเดียวกัน
“คุณแม่ว่ากี่วันดีคะ”
“สักห้าวันกำลังพอดีนะลูก มีลูกศิษย์คุณย่าที่พอรู้ข่าวก็อยากจะมาส่งท่าน ไหนจะกลุ่มคนที่คุณย่าเคยช่วยเหลือ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ห้าวันค่ะ”
“จ้ะลูก ถึงบ้านหนูก็พักสักหน่อยนะลูก ขับรถไกลอันตราย”
“ค่ะแม่ เดี๋ยวหนูรีบกลับมานะคะ” ฉันหันกลับไปมองหน้ารูปคุณย่าก่อนจะมองท่านนิ่ง ๆ สักพักถึงได้กลับบ้าน ป้าแจ่มบอกแค่ว่าฉันต้องไปเก็บข้าวของให้คุณย่า เพราะท่านไม่กล้าไปเก็บให้เพราะกลัวเป็นการละลาบละล้วง เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันก็ขอให้ป้าแจ่มช่วยเก็บของคุณย่า ของที่คิดจะบริจาคก็แยกออกมา ของสิ่งไหนที่จะนำไปทำพิธีส่งมอบให้คุณย่าฉันก็แยกออกมาแล้วอย่างเป็นสัดส่วน
คล้อยหลังที่นั่งอยู่ในห้องนอนคุณย่า ความเงียบเหงา ความอ้างว้างโถมเข้าสู่ความรู้สึกฉันอีกครั้ง และนั่นจึงทำให้ฉันร้องไห้จนหอบเหนื่อย เฝ้าถามตัวเองย้ำ ๆ ว่านี่มันคือเรื่องจริงเหรอ เมื่อไม่กี่วันก่อนเรายังได้นั่งกินข้าว นั่งคุยกันอยู่เลย ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย
“...” นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงคุณย่าสักพักใหญ่ก็รับรู้ว่ามีใครบางคนเดินเข้ามา ฉันรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ฉันไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็น