บทที่ 3 ความเชื่อใจ EP.3

1633 คำ
“ถ้าเป็นน้องไม่ได้นุ่งข้าคงจะทำอย่างอื่นมากกว่าฟาดก้นแน่ว่ะ” อภิเชษฐ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “เอ็งก็คิดแต่เรื่องแบบนี้นะไอ้เชษฐ์ ไอ้ทหารชีกอ” กิตติด่าเพื่อนเสียงดัง “คิดลามกวันละนิดจิตแจ่มใสว่ะ” อภิเชษฐ์บอกเพื่อนหน้าเป็นแล้วหันไปถามแสนคม “แล้วเอ็งลาพักกี่วันวะคม” “ห้าวัน” แสนคมตอบเพื่อน แต่สายตากลับวนเวียนไปมองทางแม่สาวชุดดำนั่นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือเพราะห่วงเธอว่าตอนขากลับจะปลอดภัยไหมที่แต่งตัวล่อแหลมเช่นนั้น ชายหนุ่มแก้ต่างให้ตัวเองในใจ แล้วก็เกิดความรู้สึกหมั่นไส้ตามมา ดูทำท่าสนิทสนมกับเพื่อนผู้ชายซะขนาดนั้น ใครมองจะไม่เข้าใจผิดได้ยังไงล่ะ แสนคมสลัดศีรษะไปมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง หรือเป็นเพราะซัดเหล้าเพียวๆ ไปหลายแก้ว จึงส่งผลให้สมองมึนงง มัวแต่คิดเรื่องไม่เข้าท่าเช่นนี้ “ไอ้คม เอ็งก็เข้าไปขอทำความรู้จักเธอเลยก็สิ้นเรื่องว่ะ หันไปมองแบบนี้เดี๋ยวคอเคล็ดกันพอดี” เป็นเพราะคำพูดของเพื่อนทำให้แสนคมเลิกสนใจและหันมาสรวลเสเฮฮากับบรรดาเพื่อนๆ ต่อ เมื่อหันไปทางโต๊ะนั้นอีกครั้งก็ไม่มีร่างของแม่สาวชุดดำนั่นนั่งอยู่แล้ว หญิงสาวร่างโปร่งระหงสวมชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนขาสั้นที่เดินสวนกันในซูเปอร์มาร์เกต ทำให้แสนคมซึ่งมาซื้อของใช้ส่วนตัวกับบดินทร์ต้องเหลียวไปมอง เพราะผู้หญิงที่เห็นคือแม่สาวชุดดำที่เขาเจอในผับเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง นายทหารหนุ่มมองแล้วก็ถึงกับส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “พี่เป็นอะไรไป เอ๊ะ...ผู้หญิงคนนั้นนี่ครับ มองกลางคืนก็ว่าสวยแล้วนะ เห็นกลางวันยิ่งสวยกว่า” นายทหารรุ่นน้องพูดชมเชย เพราะหน้าตาที่ไร้เครื่องสำอางดูดีกว่าคืนนั้นที่แต่งหน้าเต็มพิกัด “สวยตรงไหน ดูแต่งตัวเข้าสิ ตอนไปเที่ยวผับอาจเป็นเรื่องปกติที่ต้องแต่งตัวแบบนั้น แต่นี่มันกลางวันแสกๆ พี่ไม่สงสัยเลยว่าทำไมข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ถึงมีข่าวข่มขืนกันอยู่บ่อยๆ” แสนคมบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สร้างความแปลกใจให้รุ่นน้องไม่น้อย “สมัยนี้คงเป็นเรื่องปกติแล้วครับพี่ ดูสิสาวๆ ชาวกรุงนิยมนุ่งกางเกงขาสั้นกันทั้งนั้น อาจเป็นเพราะอากาศร้อนก็ได้นะครับ” บดินทร์พูดพลางก็มองรอบๆ ตัวไปพลาง แล้วก็เห็นหญิงสาวหลายคนแต่งกายตามที่เขาพูด “ร้อนอะไรเดินในห้างฯ เย็นๆ นี่นะ” “มันเป็นแฟชั่นมั้งครับพี่ แต่ผมมองว่าผู้หญิงคนนี้แต่งไม่น่าเกลียด ขาออกจะสวย” ที่บดินทร์พูดก็ไม่ผิดความจริงไปนัก เพราะในใจลึกๆ แสนคมก็เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะ คืนนั้นรอดกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยก็บุญแล้ว “ไปกันเถอะ” คนหงุดหงิดบอกรุ่นน้องและห้ามตัวเองไม่ให้หันไปมองผู้หญิงคนนั้นอีก เพราะคิดว่าคงไม่ได้พบได้เจอกันอีกทั้งๆ ที่ใจก็รู้สึกโหวงเหวงชอบกล “ผมเห็นด้วย ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าเราพูดถึง เดี๋ยวจะโดนผลักแบบผู้ชายคนนั้น” ขณะที่พรนับพันซึ่งถูกผู้ชายตัวสูงจ้องเขม็งด้วยสายตาดุๆ ก็นึกแปลกใจว่าตัวเองไปรู้จักมักจี่กับอีกฝ่ายตอนไหนกัน จู่ๆ ก็มามองเหมือนเธอไปทำอะไรให้เขาโกรธอย่างนั้นแหละ ‘บ้าที่สุด!’ หญิงสาวคิดอย่างเคืองๆ ตอนเย็นเธอจะไปงานแต่งงานเพื่อน จึงออกมาซื้อของขวัญและเลยมาซื้อของใช้ส่วนตัวด้วย ครั้นกลับถึงบ้านหญิงสาวก็อาบน้ำแต่งตัวคิดว่าจะออกจากบ้านเร็วสักหน่อย ไม่อยากเจอรถติดในช่วงเย็น เมื่อลงมาข้างล่างก็พบมารดาในชุดราตรีงดงาม สงสัยจะออกไปงานสังคมอีกตามเคย คุณพรพรรณรายกำลังจ้องโทรศัพท์ในมือด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ทันทีที่หันมาเห็น เธอก็ตวาดใส่เสียงดัง “ยายขิม แกจะไปไหนอีกล่ะ ทำเรื่องงามหน้าไว้ยังไม่พอหรือไง” “งามหน้า” คนเป็นลูกทวนคำเสียงงงๆ “ขิมทำอะไรหรือคะ” “แกไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าไม่นึกถึงหน้าใครก็นึกถึงหน้าฉันบ้าง แกลองดูนี่แล้วกันว่ามันงามหน้าอย่างที่ฉันพูดไหม” พูดพลางส่งโทรศัพท์ในมือให้บุตรสาวดู พรนับพันรับมาดูด้วยท่าทีงงๆ แต่ทันทีที่เห็นก็เข้าใจ เพราะเป็นภาพเหตุการณ์ในผับเมื่อหลายวันก่อน ที่เธอถูกผู้ชายมาชวนไปเที่ยว แต่ในภาพจงใจถ่ายเน้นเธอกับผู้ชายคนนั้นอย่างเดียว เลยมองคล้ายว่าเธอถูกโอบมากกว่าถูกจับไหล่ ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดผู้เป็นแม่ถึงได้โกรธนัก “แกก็รู้ว่าฉันเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์เรื่องผู้หญิงไม่ควรแต่งกายล่อแหลมยามค่ำคืน เพื่อลดการก่อเหตุข่มขืนที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ แล้วแกมาแต่งตัวแบบนี้ซะเอง วันนั้นฉันก็เตือนแกแล้วนะยายขิม” น้ำเสียงของมารดาดูเดือดร้อนนักหนา “ใครส่งมาให้คุณแม่หรือคะ” นี่คือสิ่งที่พรนับพันอยากรู้ เพราะคนที่ส่งมาย่อมมีเจตนาไม่บริสุทธิ์เป็นแน่ “หนูมะปรางส่งมาให้” ชื่อที่ผู้เป็นแม่เอ่ยออกมาทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงท่าทีแปลกๆ ของปรางวลัยในคืนนั้น เป็นอย่างนี้นี่เอง แสดงว่าแอบถ่ายภาพเก็บไว้แล้วส่งมาให้แม่เธอดู “ตกลงที่คุณแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเป็นเพราะเสียหน้าที่ลูกสาวตัวเองถูกถ่ายภาพส่งมาให้ดู มากกว่าความรู้สึกเป็นห่วงในตัวขิม” หญิงสาวย้อนถามเสียงขื่นขม คนเป็นแม่ชะงักไปครู่หนึ่ง “แกไม่ต้องมาประชดแม่เลยนะยายขิม แกต้องขอบคุณหนูมะปรางมากกว่า” “ขอบคุณ” พรนับพันทวนคำพูดเสียงสูง “ทำไมขิมต้องขอบคุณ คนเราถ้าหวังดีกันจริงๆ จำเป็นต้องถ่ายภาพส่งมาให้ดูด้วยหรือคะ เพื่อจุดประสงค์อะไร แล้วคุณแม่ไม่ถามขิมสักคำหรือคะว่า เหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นอย่างไร” “ทำไมฉันจะต้องถามด้วย ภาพก็ฟ้องอยู่ทนโท่ว่าแกถูกผู้ชายโอบไหล่ เกิดมาในตระกูลที่ดี ทำไมถึงได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวอย่างนี้” พรนับพันมองมารดาด้วยแววตาเสียใจอย่างลึกล้ำ ที่ผ่านมาแม้จะถูกมารดาต่อว่าต่างๆ นานา แต่สาเหตุหลักก็มาจากตัวเธอเองที่ชอบทำประชดเสียมากกว่า แต่เหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะถามเธอสักคำ ไม่ใช่พอเห็นภาพก็ตัดสินว่าเธอทำตัวอย่างนั้นจริงๆ “คุณแม่เชื่อแต่คำพูดคนอื่น แต่ไม่เคยเชื่อลูกสาวตัวเองเลยสักครั้ง” เสียงของหญิงสาวเริ่มดังขึ้นด้วยแรงอารมณ์ภายในบวกกับความเสียใจ “ไม่สงสัยเลยว่าทำไมคุณพ่อถึงมีผู้หญิงคนอื่นก็เพราะคุณแม่เป็นแบบนี้นี่แหละ” “ยายขิม!” คุณพรพรรณรายตวาดเสียงดังลั่น ตามมาด้วยเสียงดังฉาดที่ใบหน้าของบุตรสาว ท่ามกลางความตกใจของคนในบ้านที่อยู่ตามจุดต่างๆ แม้จะชินกับการทุ่มเถียงของสามีภรรยาหรือแม่กับลูกก็ตาม แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการลงไม้ลงมือกัน ขณะที่คนถูกตบยืนนิ่งด้วยความตกใจตามมาด้วยอาการเสียใจน้อยใจที่ถาโถมเข้ามา หญิงสาวค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบแก้มซ้ายของตัวเอง น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนไหลพรั่งพรู ก่อนจะพูดเสียงเจือสะอื้น “คุณแม่ตบหน้าขิม ขิมจะไม่อยู่บ้านนี้อีกแล้ว” คุณพรพรรณรายยกมือขวาที่ใช้ตบหน้าบุตรสาวขึ้นมาดู วูบหนึ่งเธอรู้สึกเสียใจมากที่พลั้งมือทำร้ายผู้เป็นลูก แต่ด้วยทิฐิทำให้พูดออกไปว่า “ไปเลย อยากจะไปไหนก็ไป ฉันจะคอยดูน้ำหน้าแกว่าจะไปได้สักกี่น้ำ เดี๋ยวก็ต้องซมซานกลับมา” ดวงหน้าของพรนับพันอาบไปด้วยน้ำตา ความน้อยใจเสียใจประดังกันเข้ามาจนท่วมท้นล้นหัวใจ ก่อนจะค่อยๆ เชิดขึ้นอย่างทระนง “คอยดูต่อไปเถอะค่ะ ขิมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก คุณแม่เคยพูดว่าถ้าขิมเป็นแม่คนแล้วจะรู้สึก ขิมขอบอกคุณแม่ไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้าขิมเป็นแม่คน ขิมจะไม่เอาลูกคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเองเป็นอันขาด แต่จะสอนลูกให้ทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถ โดยจะไม่เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน และที่สำคัญขิมจะเชื่อใจคนในครอบครัวตัวเองมากกว่าคนอื่น” พูดจบก็ผลุนผลันขับรถยนต์คู่กายออกจากบ้านไปทันที ทิ้งให้ผู้เป็นแม่ค่อยๆ เดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟา ยกมือที่ตบหน้าบุตรสาวขึ้นดูอีกครั้ง ดวงตาฉายแววเสียใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะจากคำพูดของบุตรสาวที่ทิ้งท้ายไว้ และยิ่งกว่านั้นดวงหน้าที่อาบไปด้วยหยาดน้ำตานั่น คุณพรพรรณรายไม่เคยเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้จากลูกสาวเลยสักครั้ง เพราะอย่างมากเมื่อเกิดปากเสียงกัน อีกฝ่ายก็มักจะยอกย้อนเธอด้วยคำพูดประชดประชัน แต่ไม่เคยเห็นน้ำตาสักหยดอย่างครั้งนี้ นี่เธอทำอะไรลงไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม