“อ้อ แล้วที่บอกว่า ระหว่างการแก้อาถรรพ์ก็ห้ามยุ่งกับชายที่มีเจ้าของอีก ผมว่า... ผู้หญิง... แบบคุณคงห้ามใจตนเองไม่ได้หรอก”
“ฉันทำได้แน่ค่ะ เพราะฉันไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีเจ้าของหรือไม่มีก็ตาม”
“งั้นเหรอ ตกลงว่าคุณจะยอมมาเป็นคนรับใช้ของคุณยายผมให้ได้ว่างั้นเถอะ”
“ค่ะ ฉันตั้งใจแล้ว ฉันไม่ยอมถอยหรอก”
“สำหรับคุณยาย ผมดูแลท่านเป็นอย่างดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคนใช้มาดูแลเพิ่มหรอก ผมว่า ก่อนที่คุณจะมาดูแลคุณยายผม หรือมาเป็นคนรับใช้ของคุณยายผม คุณมาฝึกเป็นคนรับใช้ผมก่อนดีไหม”
“ไม่ค่ะ”
หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ดวงตาคู่สวยลุกวาวครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ไม่ให้โมโห เพราะกลัวจะเสียโอกาส
“คือฉันหมายความว่า ฉันจะไม่ทำอะไรนอกเหนือจากคำทำนาย แต่ฉันสามารถไปเป็นคนงานในไร่ของคุณได้ ถ้ามันจะทำให้คุณอนุญาตให้ฉันได้เจอกับคุณยาย”
“จะลองดูก็ได้ ผมอนุญาตให้คุณอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณยายของผมเห็นว่าคุณไม่สมควรอยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลานั้นเราค่อยมาตกลงกันใหม่”
“ขอบคุณค่ะ”
“และสุดท้าย ก่อนที่คุณจะออกไปจากห้องน้ำ ผมต้องพิสูจน์ก่อนว่าคำพูดของคุณพอเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง”
“พิสูจน์ยังไงคะ”
มินตรามองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาหวาดหวั่น
“พิสูจน์แค่ข้อแรกก็พอแล้ว”
“ข้อแรก แสดงว่าคุณไม่เชื่อว่าฉันโสดจริงเหรอคะ”
“ผมไม่เคยเชื่ออะไรใครง่ายๆ หรอก จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตนเอง”
“แล้วคุณ... จะพิสูจน์... ยังไง”
หญิงสาวถามเสียงเบาหวิว พร้อมกับเงยหน้าสบตาคมที่เริ่มทอประกายร้อนแรงของคนตัวโตตรงหน้าด้วยใจที่เริ่มเต้นผิดจังหวะ และแทบจะลืมหายใจเมื่อเขารั้งเอวเธอเข้าไปปะทะความแข็งแกร่งสมชายชาตรีของเขา
เธอเหมือนถูกชายหนุ่มตรึงเอาไว้ด้วยมนตร์สะกดที่ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ ถูกเขาตรึงเอาไว้ด้วยสายตาพราวระยับนั้นด้วยแรงเสน่หาแห่งบุรุษเพศ ที่เหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเธอแนบสนิทไปกับกายแกร่งดุจหินผาของเขา แล้วทุกอย่างรายรอบกายเหมือนจะถูกลืม
สายลมเย็นที่พัดมากับสายฝน พาละอองของมันสาดเข้าหาสองหนุ่มสาว แต่ทว่าทั้งสองกลับไม่รู้สึกอะไร นอกจาก...
ใบหน้าหล่อคมเข้มปนดุที่โน้มต่ำลงมา ทำให้หญิงสาวคิดอะไรไม่ออก ได้แต่สบตาเขานิ่ง แล้วแลเห็นริมฝีปากของเขา ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมา
ลมหายใจของชายหนุ่มรินรดลงมาเบาๆ ผ่านพวงแก้มใสที่ตอนนี้แดงระเรื่อยิ่งกว่าผลเชอรี่สุก
และหัวใจดวงน้อยของมินตราก็แทบจะหยุดเต้น เมื่อมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มสอดเข้าประคองที่ท้ายทอย พร้อมกับริมฝีปากหยักได้รูปของเขาที่โฉบลงมา
...สายลมแม้จะเย็นเยียบ ก็ไม่อาจเทียบได้กับสายตาของเขาที่เหมือนจะแช่แข็งเธอได้ มือไม้ก็เย็นเฉียบไปหมด...
มินตราได้แน่นิ่งเป็นหุ่น ไม่อาจไหวติงใดๆ ในอ้อมแขนของคนที่กำลังจูบเธออย่างจาบจ้วงเอาแต่ใจ ริมฝีปากของเขาร้อนผ่าว ทว่าลิ้นของเขาที่สอดเข้ามากลับหวานฉ่ำ เขาคุกคามเธอด้วยจุมพิตสุดวาบหวามที่เป็นเหมือนน้ำหวานที่อาบยาพิษ เพราะมันคือสัมผัสจากชายที่มีเจ้าของแล้ว
จูบของบุรุษแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันวันแรก เขาจูบเธอเพื่อพิสูจน์ว่าเธอยังโสดจริงหรือเปล่าเท่านั้นหรือ บทพิสูจน์ที่น่าหวาดหวั่นนี่น่ะหรือคือวิธีการของจอมเผด็จการอย่างเขา
มินตรารู้สึกไหววูบเหมือนจะเป็นลมครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อคนตัวโตตั้งอกตั้งใจฉวยโอกาสเอากับเธอแบบไม่ให้หยุดพักสูดอากาศเข้าปอดสักครั้ง และแทบจะสำลักรสจุมพิตที่ผสมผสานกับรสชาติของเบียร์ที่เขาเพิ่งดื่มลงไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมาอีกครั้งจนแทบทรงตัวไม่อยู่
“อื้อ...”
คนที่ถูกรังแกเริ่มครางอู้อี้ในลำคอ และดิ้นอึกอักโหยหาอากาศที่เขาปล้นเอาไปจนแทบจะขาดใจ
‘ไม่ไหวแล้ว เธอต้องขาดใจตายคาอกเขาแน่ๆ’
มินตราคิดขณะที่สมองเริ่มเบลอ และลมหายใจเริ่มขาดห้วง แม้ว่าหัวใจยังเต้นโครมครามไม่หยุด แต่เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ
นาทีที่หญิงสาวกำลังอ่อนแรงลงจนเขาต้องกอดประคองเธอเอาไว้ทั้งตัว แดนดินก็คลายริมฝีปากออก มองคนที่กำลังหลับตาพริ้มและสิ้นเรี่ยวแรงด้วยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะอุ้มเธอมาออกจากห้องน้ำแล้ววางร่างเล็กบอบบางนั่งบนแคร่ไม้
มินตรายังเบลอๆ แต่ก็พยายามช่วยเหลือตนเอง จนนั่งตัวตรงได้ในที่สุด จากนั้นจึงหันมามองหน้าคนใจร้ายด้วยแววตาตัดพ้อ และเหมือนจะมีน้ำตาคลอเบ้าน้อยๆ ขณะที่กำลังนึกกร่นด่าเขาในใจ
“ผมก็แค่พิสูจน์ว่าคุณโสดจริงหรือเปล่า เท่านั้น”
“แล้วคุณได้คำตอบหรือยังคะ” เธอกระแทกคำถามออกไปด้วยความรู้สึกแปลบๆ ในหัวใจ