“เรารีบไปหาคุณย่ากันเถอะ” เขาใช้นิ้วโป้งปาดเช็ดลิปสติกตรงมุมปากของญารินออกอย่างเบามือแล้วจึงพาหญิงสาวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ทั้งที่ญารินยังตกใจกับจูบเมื่อครู่นี้ไม่จางหาย
เขาอาจจะเติบโตในวัฒนธรรมที่แตกต่างกับเธอ จึงได้แสดงออกมาแบบนั้นโดยที่ไม่รู้สึกอะไร
หญิงสาวพยายามส่ายหน้าไล่ความคิดเรื่องนั้นออกไปแล้วตั้งสติเตรียมพร้อมกับสิ่งที่เธอต้องพบเจอหลังจากนี้
“สวยจัง” เพียงแค่วินาทีแรกที่ดวงตากลมโตมองเห็นคฤหาสน์หลังงามที่กำลังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ความตื่นเต้นที่มลายหายไปก่อนหน้าก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พยายามตั้งสติและประคองตัวเองบนรองเท้าส้นสูงตามปุณณภัทรเข้าไปในบ้าน
“มากันแล้วเหรอ” เสียงของคนข้างในเอ่ยทักขึ้นทันทีที่ญารินขึ้นมายังห้องใหญ่ชั้นบน เมื่อเดินตามเข้าไปเธอก็พบกับสตรีวัยเจ็ดสิบปลาย ๆ กำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงกว้างโดยมีพยาบาลคอยเฝ้าดูแลไม่ห่าง
“สวัสดีครับคุณย่า”
“เอ่อ...สะ...สวัสดีค่ะ” เมื่อเห็นปุณณภัทรกระพุ่มมือไหว้เธอจึงทำตามเขาบ้าง พอเห็นอีกฝ่ายรับไหว้ความกังวลใจก็เหมือนจะหายไปเปลาะหนึ่ง
“ไหว้พระเถอะจ่ะ”
“คุณแม่คะ คนนี้ไงคะหนูขิม ว่าที่เจ้าสาวของตาปุณ” ปณิตาเอ่ยขึ้นเพื่อนแนะญารินให้แม่สามีรู้จัก
“น่าตาน่ารักน่าชัง เข้ามาใกล้ ๆ ฉันหน่อยสิ” ณฤดียิ้มให้อย่างมีเมตตา หญิงสาวเหลือบมองหน้าว่าที่เจ้าบ่าวของเธอครู่หนึ่งแล้วจึงคลานเข่าไปนั่งข้างเตียงใหญ่แต่ก็ยังก้มหน้างุดไม่กล้าจะสบตา “ยังเด็กอยู่เลยนี่ อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“เอ่อ...ยี่สิบสองค่ะ”
“เด็กกว่าตาปุณเป็นสิบปีเลยน่ะสิ”
“ผมชอบแบบนี้นี่ครับ แต่ขิมเขายังเด็ก กลัวคุณย่าไม่ปลื้มก็เลยไม่พามาเปิดตัว” ปุณณภัทรแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ แต่ภัสสรกลับไม่ยอมปล่อยผ่าน
“คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ เห็นตาปุณบินไปอยู่อังกฤษมาเป็นปี ๆ ”
“คบกันสองจะสามปีแล้วล่ะครับ ผมรู้จักขิมก่อนที่ผมจะบินไปที่โน่น ระหว่างนี้เราก็โทรคุยกันตลอด” เป็นอีกครั้งที่เขาโป้ปดออกไปหน้าตาเฉย เมื่อเห็นว่าสะใภ้รองอ้าปากจะถามต่อ ณฤดีจึงรีบเอ่ยตัดหน้า
“แล้วเราเชื่อใจตาปุณเหรอ อยู่ห่างกันเป็นปี ๆ แน่ใจหรือไงว่ารายนี้เขาจะไม่เจ้าชู้”
“หนูเชื่อใจค่ะ ถึงเขาจะเจ้าชู้บ้างแต่ในเมื่อตอนนี้เขาก็กลับมาแล้ว หนูคิดว่าถ้าเราแต่งงานกัน คุณปุณจะมีหนูแค่คนเดียวค่ะ”
“จะเชื่อได้เหรอ” ภัสสรเบ้ปากใส่แล้วแกล้งเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ปณิตาอดไม่ได้จริงเหน็บกลับไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สรนี่ดีจังเลยนะ ขนาดว่างานที่รีสอร์ตยุ่งแค่ไหนก็ยังมีเวลาว่างมาคอยดูตาปุณให้พี่ ซึ้งใจจริง ๆ ”
“นี่คุณพี่หาว่าฉันยุ่ง...”
“พอเถอะ ต่อหน้าเด็ก ๆ ก็ยังทะเลาะกันอีก” ณฤดีเป็นฝ่ายห้ามเอาไว้อีกครั้งก่อนจะหันมาเอ่ยถามคนที่นั่งเคียงข้างต่อ “ว่าแต่เราเป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ พ่อแม่ทำงานอะไร”
“เอ่อ...” ญารินทำท่าคิดหนัก เหลือบมองปุณณภัทรอีกครั้ง เขาไม่ได้บอกให้เธอเตรียมคำตอบเอาไว้เพียงบอกแค่ว่าแสดงความจริงใจให้ณฤดีเห็นก็พอ เธอจึงตัดสินใจบอกความจริงออกไป “พ่อหนูชื่อมาโนชค่ะ ส่วนแม่ชื่อนวลจันทร์ พ่อกับแม่ทำไร่ทำสวนค่ะ...”
“ว่าไงนะ คิดว่าเป็นคุณหนูไฮโซเสียอีก ที่แท้ก็ลูกชาวนาจน ๆ ” ภัสสรยิ้มเยาะ คนที่ถูกกล่าวถึงจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถาม
“ลูกชาวนาแล้วมันไม่ดีตรงไหนเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับ ถึงจะไม่พอใจแค่ไหนแต่เธอก็ต้องข่มอารมณ์แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลที่สุด
“มันก็ไม่ดีตรงที่มันไม่คู่ควรจะมาใช้นามสกุลอมรภิรมย์น่ะสิ บังเอิญว่าฉันเป็นคนแพ้กลิ่นโคลนสาบควายเสียด้วยสิ”
“คุณอาคงจะดูละครมากแล้วล่ะค่ะ สมัยนี้เขาไม่ได้ใช้ควายไถนากันแล้วนะคะ เขาใช้รถไถกันทั้งนั้น แล้วอีกอย่างมันมีกฎหมายข้อไหนบอกเอาว่าห้ามไม่ให้ลูกชาวนาอย่างหนูแต่งงานกับคนมีฐานะเหรอคะ” ญารินสวนกลับในทันทีจนปณิตาแอบอมยิ้มอย่างสาแก่ใจ
“มันก็ไม่มีกฎหมายห้ามหรอก แต่คนอย่างเธอคงไม่เหมาะจะมาเป็นสะใภ้ของอมรภิรมย์”
“คุณอาใช้ไม้บรรทัดที่ไหนมาวัดว่าหนูไม่เหมาะเหรอคะ” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวสวนกลับ หากจะดูถูกว่าเธอจนอันนี้พอยอมได้ แต่มาดูถูกอาชีพบิดามารดาเธอไม่มีทางยอมเด็ดขาด “หนูรู้ค่ะว่าหนูมันจน หนูเป็นลูกชาวไร่ชาวนา แต่หนูก็ภูมิใจกับอาชีพของพ่อกับแม่และหนูก็ไม่เคยดูถูกใคร ถ้าไม่มีชาวนาคุณอาจะมีข้าวกินไหมคะหรือว่าคุณอาไม่ได้ทานข้าว”
“ปากคอเราะราย เถียงคำไม่ตกฟาก แบบนี้คุณแม่จะรับมาเป็นหลานสะใภ้จริง ๆ เหรอคะ” ภัสสรขบกรามแน่น อยู่ ๆ ก็ถูกเด็กถอนหงอกจนเสียหน้า เธอไม่มีวันยอมเด็ดขาด
“หนูไม่ได้เถียงค่ะ หนูแค่ยอมไม่ได้ที่คุณอามาดูถูกอาชีพพ่อกับแม่ ถ้าทำให้คุณอาไม่พอใจ หนูต้องขอโทษด้วยนะคะ” ญารินหันไปกระพุ่มมือไหว้ภัสสร คิดเอาไว้ว่าตำแหน่งที่เธอได้รับมอบหมายคงจะไม่ลุล่วงเป็นแน่ หญิงสาวจึงต้องหันไปกระพุ่มมือไหว้ณฤดีด้วยอีกคน “หนูต้องขอโทษด้วยนะคะที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ดีเสียอีกที่เรากล้าปกป้องศักดิ์ศรีขอตัวเอง”
“คุณแม่ นี่คุณแม่เห็นดีเห็นงามด้วยเหรอคะ”
คำตอบของประมุขใหญ่ทำให้ปุณณภัทรและปณิตาคลี่ยิ้มอย่างพอใจ แต่ภัสสรกลับไม่เห็นด้วย
“ฉันว่าหนูขิมเขาพูดถูกนะยัยสร เราไปดูถูกอาชีพชาวไร่ชาวนาแบบนั้นก็เท่ากับว่ากำลังดูถูกฉันด้วย เพราะฉันเองก็ทำไร่ ตาปุณก็ทำ ยัยนิดก็ทำ เธอเองก็ทำไม่ใช่เหรอ” ประโยคนั้นทำให้ภัสสรถึงกับจุกจนพูดไม่ออก เธอลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองก็อยู่ในไร่อมรภิรมย์ ไร่องุ่น ไร่ชาและไร่สตรอเบอร์รี่ขนาดใหญ่
เมื่อเห็นว่าไร้ซึ่งข้ออ้างที่จะกำจัดญารินออก ท้ายที่สุดเธอจึงแต่กระแทกเท้าเดินออกจากห้องไปก่อนจะปิดประตูลงเสียงดังสนั่น ถึงตอนนั้น ณฤดีจึงหันไปพูดกับญารินอีกครั้ง
“ฉันต้องขอโทษแทนอาสรเขาด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายกราบขอโทษคุณหญิง ที่ทำให้เสียบรรยากาศ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับปรายตามองไปที่ปุณณภัทรที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดอะไร ปล่อยให้เธอต้องหาทางเอาตัวรอดอยู่คนเดียว
“ทำไมเรียกแบบนั้นล่ะ เรียกคุณย่าสิ อีกหน่อยเราก็จะมาเป็นหลานสะใภ้ฉันอยู่แล้วนี่”
“นี่หมายความว่าคุณแม่ยอมรับหนูขิมแล้วเหรอคะ” ปณิตาคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจเช่นเดียวกับปุณณภัทร
“ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่จะมองใครที่ฐานะหรอกนะ ดูจากกิริยาท่าทางแล้ว ว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็ดูซื่อดี รู้สึกยังไงก็พูดออกมา ไม่ปิดบังซ่อนเงื่อนเสแสร้ง ดูจริงใจแบบนี้แหละ ฉันชอบ ส่วนเรื่องนิสัยใจคอ ฉันเชื่อมือแม่นิดอยู่แล้ว ถ้าเธอสแกนมาว่าผ่านฉันก็ไม่ค้านอะไรหรอก”
“กราบพระคุณคุณหญิง...เอ่อ...คุณย่ามากนะคะที่เมตตาหนู” ญารินกระพุ่มมือไหว้คนสูงวัยอีกครั้ง ณฤดีคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะหันไปหยิบบางอย่างในกล่องกำมะหยี่เพื่อจะลองใจหญิงสาวดู
“นี่จ่ะ ถือว่าเป็นของรับขวัญหลานสะใภ้คนแรกของฉัน”
“อะไรเหรอคะ” หญิงสาวรับมาอย่างงง ๆ เมื่อลองเปิดกล่องดูเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเครื่องเพชรน้ำงามที่ส่องแสงระยิบระยับ ดูสวยงามและราคาของมันก็คงจะสูงลิ่วเช่นกัน
“รับไปสิ ฉันให้”
“หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” ญารินปฏิเสธด้วยความสัตย์จริงซึ่งอีกฝ่ายก็พอจะมองออกเธอจึงลองเอ่ยถามเหตุผลดู
“ทำไมล่ะ”
“หนูเป็นแค่คนธรรมดา เป็นลูกชาวไร่ชาวนา วัน ๆ หนูก็ทำแต่งาน ไม่รู้จะใส่ของพวกนี้ไปไหน คุณย่าเก็บไว้เถอะค่ะ หนูไม่มีความรู้เรื่องนี้ หนูไม่รู้แม้วิธีรักษาดูแลด้วยซ้ำ” เหตุผลของญารินทำให้ณฤดีคลี่ยิ้มอย่างพอใจ สายตาที่แสดงออกมามันทำให้เธอรู้ดีว่าหญิงสาวไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งพูดเพื่อให้เธอเมตตา
“อีกหน่อย พอเรามาเป็นสะใภ้ที่นี่ก็ต้องใส่อยู่แล้ว”
“ถ้ามีงานที่ต้องใส่จริง ๆ หนูค่อยมายืมคุณย่าใส่ก็ได้ค่ะ” เธอตอบอย่างเจียมตัว ณฤดีจึงเก็บเครื่องเพชรชุดใหญ่ไว้แล้วหยิบสร้อยคอเส้นเล็กขึ้นมาแทน
“ถ้างั้นก็รับเส้นนี้ไว้ละกัน”
“เอ่อ...” หญิงสาวทำท่าอึกอักลำบากใจก่อนจะหันไปขอความคิดเห็นจากปุณณภัทร
“รับไปเถอะ เมื่อกี้คุณย่าแค่จะลองใจ แต่ครั้งนี้คุณย่าน่าจะให้จริง ๆ ”
“เรานี่ รู้ทันย่าทุกเรื่องเลยนะ” คนสูงวัยยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีดำขลับของชายหนุ่มอย่างรักใคร่ ญารินจึงโน้มตัวลงเพื่อให้อีกฝ่ายสวมมันให้กับเธอ
“ขอบคุณคุณย่ามากนะคะ”
“งั้นก็เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ละกันนะ เดี๋ยวแม่นิดก็ไปหาฤกษ์หายามได้เลย เอาที่มันเร็วและด่วนที่สุด ฉันใจร้อน” ณฤดีกำชับอีกครั้ง ทำให้ญารินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดภารกิจแรกเธอก็ผ่านไปได้ด้วยดี ที่เหลือต่อจากนี้คือเธอต้องหาวิธีมัดใจปุณณภัทรให้ได้