หลังจากทานข้าวเสร็จกชกรจึงหลับไปอีกครั้งในตอนค่ำด้วยความอ่อนเพลียและผลข้างเคียงของยา ก่อนที่ขจรจะอาสามาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อที่จะให้เกศรินทร์ออกไปทำงานที่ผับหลังจากที่ลามาหลายคืนแล้ว
คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ที่ผับจึงมีคนเยอะมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่เป็นผู้หญิง
เกศรินทร์มาถึงในเวลาเกือบสี่ทุ่มก่อนจะพบกับรถหรูคู่ใจแสนคุ้นตาถูกจอดไว้ตรงตำแหน่งเดิมหน้าร้าน สองเท้าชะงักกึกครู่หนึ่งไม่คิดว่าแก้วเจ้าจอมจะมาที่นี่อีก เมื่อขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีจึงพยายามกวาดสายตามองไปที่โต๊ะวีไอพีซึ่งเป็นโต๊ะประจำของหญิงสาวทว่ากลับพบเพียงณัชชาและขวัญข้าวเท่านั้น
เสียงเพลงท่อนสุดท้ายจบลงตามมาด้วยเสียงปรบมือ เกศรินทร์จึงรีบลงจากเวทีไปด้วยความร้อนใจแต่ก็ต้องหยุดถ่ายรูปกับบรรดาลูกค้าประจำเสียก่อน จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะของณัชชาทันที
“แก้วล่ะ”
“ไม่ได้มา” ขวัญข้าวตอบแบบขอไปที ทั้งที่สายตายังจับจ้องไปบนเวทีไม่แม้แต่จะหันมามองคู่สนทนาเลยด้วยซ้ำ
“แต่เราเห็นรถแก้วจอดอยู่” เกศรินทร์ตะโกนถามกับเสียงเพลงที่ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
“แกจะเอาอะไรอีก แกเป็นคนบอกให้มันเลิกยุ่งกับแกแล้วไม่ใช่เหรอแล้วนี่แกจะมาหา มันถามถึงมันอีกทำไม” คำตอบของณัชชาทำให้หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะเข้าใจดีว่าแก้วเจ้าจอมคงจะมาระบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิททั้งสองคนแล้ว
“ในเมื่อแกไม่สนใจมัน ก็ปล่อยให้มันไปหาคนอื่นซะสิ จะหวงก้างทำไม” ขวัญข้าวเสริมพลางขยับกายโยกไปตามจังหวะเพลง ไม่ได้หันมาสนใจหญิงสาวอีกเลย
เกศรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่อยากจะสนทนาด้วยเท่าไหร่จึงตัดสินใจเดินกลับไปหลังเวทีหยิบกระเป๋าคู่ใจขึ้นมาสะพายเพื่อจะกลับไปอยู่เฝ้ากชกรที่โรงพยาบาลต่อ
บรื้น!
เอี๊ยด!
เสียงครางกระหึ่มของซุปเปอร์คาร์ดังขึ้นก่อนที่มันจะพุ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่ ทว่ากลับต้องเหยียบเบรกจนมันบดกับพื้นถนนเป็นทางยาวทำให้คนที่สติกำลังเลื่อนลอยต้องชะงักกึก เมื่อหันไปตามต้นเสียงจึงพบว่าต้นตอของเสียงที่ได้เมื่อครู่อยู่ห่างจากตัวเธอออกไปแค่ไม่ถึงเมตร
“อยากตายรึไงฮะ! ถึงได้ทะเล่อทะล่าเดินออกมาแบบนั้น” เจ้าของร่างสูงโปร่งก้าวลงจากรถอย่างหัวเสีย แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นนักร้องตัวท็อปประจำผับและเป็นคนคนเดียวกับที่เขาบันทึกรูปไว้ในโทรศัพท์หลังจากที่ชญานนส่งมาให้
“...” เกศรินทร์ไม่ตอบเพราะสายตามัวแต่จับจ้องไปที่นั่งข้างคนขับภายในรถ เธอจะไม่รู้สึกตกใจเลยสักนิดหากคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่แก้วเจ้าจอม “...แก้ว”
ศิวาเบิกตาโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงรีบเข้าไปขวางประตูรถเอาไว้เพราะเกศรินทร์กำลังเดินไปเปิดประตู
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย ฉันพูดด้วยไม่ได้ยินหรือไง”
“หลีกไป ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก้ว” เจ้าของดวงตากลมโตเงยหน้าขึ้นจ้องมองร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่นึกเกรง
“เป็นบ้าอะไรของเธอฮะ! เดินตัดหน้ารถคนอื่น คำขอโทษก็ไม่มีแล้วนี่จะทำอะไรอีก”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าคุณเป็นบ้าอะไร คุณกำลังจะพาเพื่อนฉันไปไหน” ความอดทนขาดสะบั้นลง มือเรียวยกขึ้นกระชากคอเสื้อคนตัวสูงกว่าให้โน้มลงมาอย่างแรง
“ฉันไม่ได้พา เธออาสาจะไปเองต่างหาก” ศิวายิ้มกริ่มจ้องมองเครื่องหน้าของหญิงสาวอย่างนึกหลงไหล แม้จะไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแต่มันก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ยิ่งได้มองใกล้ ๆ แบบนี้มันกลับยิ่งทำให้เขาสติเตลิดเปิดเปิง
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง เกศรินทร์จึงรีบผลักอกเขาออกไปก่อนจะกระชากประตูรถออกเพื่อจะคุยกับแก้วเจ้าจอมให้รู้เรื่อง
“แก้ว! ลงมาเดี๋ยวนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“อือ...” คนที่หลับไหลไปก่อนหน้าเพราะฤทธิ์น้ำเมาส่งเสียงครางในลำคอเหมือนกับว่ากำลังถูกรบกวนการนอนหลับฝันดี
“แก้ว! ตื่นสิแก้ว ลงมาคุยกันให้รู้เรื่อง”
“เธอกลับไปซะเถอะ ก็เห็นอยู่ว่าแก้วเขาไม่อยากคุยด้วย” ศิวาเริ่มมีน้ำโหเพราะกำลังเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง พลางกระชากแขนที่กำลังพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยให้แก้วเจ้าจอมออกมาจากรถ จนร่างนั้นเซถลาล้มลงไปบนพื้นไม่เป็นท่า เขาจึงรีบปิดประตูรถทันที
“คุณทำอะไรแก้ว ทำไมแก้วถึงเมาไม่ได้สติถึงขนาดนั้น”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เขาตอบหน้าตาเฉย เหยียดตามองคนที่กำลังลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“โกหก แก้วไม่เคยดื่มจนเมาได้มากถึงขนาดนี้ คุณต้องทำอะไรเธอแน่ ๆ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำ เห็นแก้วเขาบ่นว่าเพิ่งอกหักมาฉันก็เลยดื่มเป็นเพื่อนก็เท่านั้น”
“แก! ไอ้คนฉวยโอกาส” เกศรินทร์ตวาดกร้าว เข้าไปประจันหน้าเขาอีกครั้งก่อนจะเงื้อมือที่กำหมัดแน่นขึ้นเพื่อจะตะบันหน้าหล่อ ๆ นั้นให้สาแก่ใจ
“ก็ลองดูสิ ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเป็นผู้หญิง ถ้าเธอต่อย...ฉันจูบ” เขาไม่พูดเปล่าแต่กลับโน้มใบหน้าลงมาใกล้ด้วย พลางแกล้งเผยอปากขึ้นเพื่อจะขู่ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น มือที่กำหมัดแน่นจึงต้องค้างอยู่กลางอากาสเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะใจกล้าบ้าบิ่นมากขนาดไหนแต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายอยู่ดี
“ไอ้...” เกศรินทร์กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถเอาชนะเขาได้
“พูดกันรู้เรื่องแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย กลับใจเมื่อไหร่บอกฉันด้วยล่ะ” เขาส่งยิ้มพิมพ์ใจให้อีกครั้งจากนั้นจึงรีบถลาเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับสตาร์ทรถมุ่งสู่ถนนใหญ่ทันที
“เห้ย! นี่หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวรีบวิ่งตามออกไปแต่แล้วก็ต้องพบแต่ความว่างเปล่าจึงรีบโบกรถแท็กซี่ให้ขับตามไป “ตามคันนั้นไปเลยลุง”
คนขับรถวัยกลางคนรับคำรีบพุ่งทะยานตามไปติด ๆ ท่ามกลางสภาพจราจรที่ดูบางตาลงในเวลาที่ดึกสงัดเช่นนี้ หญิงสาวพยายามกวาดตามองไปบนท้องถนนนเห็นรถซุปเปอร์คากำลังวิ่งอยู่ตรงหน้ากำลังเลี้ยวเข้าคอนโดหรูใจกลางกรุง
“ปาดหน้าไปเลยลุง”
“เอาอย่างนั้นเลยเหรอ”
“เอาอย่างนั้นแหละลุง” คนขับเริ่มไม่แน่ใจ แต่เมื่อเกศรินทร์ยืนยันเสียงแข็ง จึงรีบเหยียบคันเร่งขึ้นแซงไปแล้วหักพวงมาลัยขวางทางเอาไว้ จนซุปเปอร์คาร์ที่เริ่มชะลอความเร็วเหยียบเบรกจนมิด
“นี่เธออีกแล้วเหรอ” ศิวาหัวเสียก้าวลงจากรถไปประจันหน้ากับเกศรินทร์อีกครั้ง “ต้องการอะไรกันแน่ บอกมาเลยดีกว่า หรือว่าจะเปลี่ยนใจจะเอาตัวเองมาแลกแทน”
“ทุเรศ!” เกศรินทร์สวนกลับทันควันก่อนที่หมัดน้อย ๆ จะปะทะเข้ากับใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างแรงจนชายหนุ่มเซถลาล้มลงไปบนพื้น เลือดแตกซิบไหลออกมาตรงมุมปาก จนคนขับแท็กซี่รีบบึ่งออกไปเมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังมีเรื่องกัน
“มันจะมากไปแล้วนะ!”
“นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับสิ่งเลว ๆ ที่คุณกำลังทำ” เกศรินทร์ชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเดินไปกระชากประตูรถออกอีกครั้งเพื่อประคองร่างของแก้วเจ้าจอมให้ออกมา
“เกด...มาได้ยัง...อึก...ไง” คนที่เมามายไม่ได้สติเอ่ยถามขึ้นพยายามสะบัดแขนออกจากการกอบกุม
“กลับบ้านเถอะแก้ว แก้วเมามากเลยรู้ตัวหรือเปล่า”
“เรื่องของฉัน อึก ไม่ต้องมายุ่ง...”
“ได้ยินชัดหรือยัง ทีนี้เธอก็กลับไปได้แล้ว” ศิวาว่าพร้อมกับกระชากแขนที่โอบร่างของแก้วเจ้าจอมออก ทว่าเกศรินทร์ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“ฉันไม่กลับ จนกว่าจะเอาตัวแก้วกลับไปด้วย”
“ก็ผู้หญิงเขาบอกแล้วก็ยังจะตื๊อเขาอยู่อีก เธอมันไม่มีน้ำยาเองนี่”
“คุณต่างหากล่ะที่ไม่มีน้ำยา จนต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้...อ๊ะ!” นิ้วเรียวจรดไปที่ใบหน้าของคนตัวสูงกว่าอย่างเอาเรื่องทำให้ศิวายิ่งฉุนจัดกระชากข้อมือเล็กจนใบหน้าหวานเข้ามาประชิดกับใบหน้าคมคร้ามนั้นแค่ไม่ถึงคืบ
“วิธีสกปรกที่ว่าน่ะ แบบนี้หรือเปล่า”
“อื้อ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อมือหนาทั้งสองข้างเลื่อนมาจับใบหน้าของเธอไว้ แล้วโน้มกายลงมาปิดปากของเธอไว้ด้วยริมฝีปากที่ร้อนฉ่าด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ด้วยความรวดเร็วจนเกศรินทร์ตั้งตัวไม่ทัน
มือที่ชี้หน้าเขาก่อนหน้าพยายามผลักอกกว้างให้ออกไปจากกายเมื่อบางอย่างกำลังรุกล้ำเข้ามาในที่หวงห้ามภายในช่องปากเล็กจนสัมผัสรสชาติของเลือดอ่อน ๆ จากปากเขาเพราะถูกต่อยไปหมัดนึงเมื่อครู่ ในขณะที่คนฉวยโอกาสตรงหน้าหลับตาพริ้มตักตวงความหอมหวานนั้นอย่างพอใจ
“อ่อยอั้นอ๊ะ ไอ้อ้า!” หญิงสาวร้องออกมาไม่เป็นภาษา น้ำตาไหลรื้นอาบแก้มด้วยความโมโหถึงขีดสุด
ศิวายังไม่ยอมละจากริมฝีปากของหญิงสาว มือหนาเลื่อนลงไปรั้งเอวบางให้เข้ามาแนบกายจนเกศรินทร์รู้สึกเหมือนจะขาดใจเพราะจูบที่แสนเนิ่นนานนั้นกระทั่งชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำตาหยดน้อยที่ไหลออกมาจนมือหนาเปียกไปด้วย เขาจึงยอมปล่อยให้คนตัวเล็กกว่าเป็นอิสระในที่สุด
“ไอ้เลว!” ทันทีที่เป็นอิสระอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลจึงถูกระบายออกไปผ่านหมัดน้อย ๆ นั่นอีกครั้งก่อนที่จะส่งมันไปปะทะเข้ากับใบหน้าของอีกคนอย่างแรง จนคนที่กำลังถูกพิษของแอลกอฮอล์ครอบงำล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน
หญิงสาวชะงักงันชั่วครู่เมื่อเห็นว่าศิวาหมดสติไป แต่เมื่อยื่นมือไปอังที่ปลายจมูกก็พบว่าเขายังหายใจ ความคิดบางอย่างจึงผุดขึ้นมาในหัว
ในเมื่อเขาเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น เธอก็จะทำให้เขาได้รู้รสชาติของการถูกรังแกข่มเหงเสียบ้าง
คิดแล้วจึงออกแรงลากร่างนั้นไปนั่งพิงกับประตูรถ ถอดเนคไทที่ถูกผูกเอาไว้หลวม ๆ มามัดมือทั้งสองข้างไพล่ไปทางด้านหลัง จากนั้นจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนเผยให้เห็นแผงอกกว้าง
เกศรินทร์เดินอ้อมไปยังตำแหน่งข้างคนขับที่ถูกเปิดประตูอ้าไว้เพื่อควานหาลิปสติกราคาแพงในกระเป๋าของแก้วเจ้าจอมแล้วเดินมาหาศิวาอีกครั้ง
รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้า ในขณะที่ทรุดกายนั่งลงเคียงข้างชายหนุ่ม ก่อนจะเขียนบางอย่างลงบนอกกว้างนั้นโดยที่ไม่ลืมแต่งเติมหน้าตาให้เขาด้วยอีกนิดหน่อย เมื่อสมใจแล้วจึงหันไปหิ้วปีกแก้วเจ้าจอมลงมาจากรถ โบกแท็กซี่พาหญิงสาวกลับไปส่งที่บ้านได้อย่างปลอดภัย