“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะเกด อึก...ฉันบอกให้ปล่อย!” แก้วเจ้าจอมตวาดเสียงดังลั่นในขณะที่เกศรินทร์พยายามประคองร่างของเธอไว้เพื่อรอให้คนในบ้านออกมาเปิดประตู หลังจากที่โบกแท็กซี่ให้มาส่งแล้วมายืนกดออดรออยู่ครู่หนึ่ง
“จะให้เราปล่อยได้ไง แค่แก้วยืนก็แทบจะล้มแล้วเนี่ย”
“เกดจะมายุ่งกับเราอีกทำไม อึก...ก็เกดเป็นคนไล่เราออกไปจากชีวิตเอง อึก...จำไม่ได้รึไง” คนตัวเล็กกว่าตัดพ้อ เกศรินทร์จึงไม่ได้อธิบายอะไรต่อเพราะประตูรั้วบ้านถูกเปิดออกพอดี
เมื่อเห็นว่าเป็นสาวใช้รูปร่างผอมบางเดินออกมาแต่เพียงลำพัง หญิงสาวจึงตัดสินใจหิ้วปีกแก้วเจ้าจอมเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ประหนึ่งคฤหาสน์นั้นเสียเอง แม้ว่าเธอจะพยายามดิ้นหนีแค่ไหนก็ตาม
“แก้วบอกให้ปล่อยไงเกด”
“แก้วอย่าดื้อสิ เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”
“ก็บอกว่าไม่ต้องมายุ่ง อึก...เกดไม่ได้รักเราแล้วเกดจะมาวุ่นวายกับเราอีกทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้ อึก...แก้วจะไปหาคุณศิวา” แก้วเจ้าจอมพยายามดิ้นจนสาวรับใช้ต้องเข้ามาช่วยประคองไว้อีกแรง
“แก้วจะไปหามันอีกทำไม มันกำลังจะทำร้ายแก้วรู้ตัวหรือเปล่า” เกศรินทร์น้ำตาไหลรื้นออกมาอีกครั้ง รู้สึกจุกอยู่ในคอราวกับว่าน้ำลายมันเหนียวฝืดไปหมดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
แก้วเจ้าจอมจะรู้บ้างไหมหนอว่าเธอต้องเสียสละตัวเองแค่ไหน เพียงเพราะอยากจะช่วยให้เธอหลุดพ้นมาจากเงื้อมมือของศิวา
“ตายแล้ว แก้ว!” คุณหญิงชนิกา ผู้เป็นมารดาส่งเสียงดังลั่นบ้านทันทีที่ลงมาเห็นสภาพของลูกสาวคนเดียวก่อนที่เอกภพผู้เป็นสามีจะตามลงมาด้วย
“นี่มันอะไรกัน ทำไมแก้วถึงเมาหมดสภาพแบบนี้ได้” ประมุขของบ้านหันไปถามเกศรินทร์ในขณะที่ชนิกาเข้าไปประคองร่างของแก้วเจ้าจอมมาวางไว้บนโซฟา
“เอ่อ...แก้วเขา...”
“เป็นเพราะแกใช่ไหม แกพาลูกสาวฉันไปเที่ยวเถลไถลมาใช่ไหม ยัยแก้วถึงกลับมาถึงบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ด้วยสภาพแบบนี้” ชนิกาสวนขึ้นทั้งที่เกศรินทร์ยังไม่ทันได้อ้าปากอธิบาย ดวงตาคมกริบปรายตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยท่าทีรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ใช่นะคะ หนูกับแก้วเราเป็นเพื่อนกัน”
“เพื่อนเหรอ เท่าที่รู้นี่ยัยแก้วมักจะออกไปขวัญข้าวหรือไม่ก็ณัชชาเท่านั้น ยัยแก้วไม่มีทางจะคบกับคนอย่างเธอหรอก” คำดูถูกมากมายดังออกมาผ่านริมฝีปากบางของคุณหญิงประจำบ้าน “เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ”
“หนูไม่ใช่มิจฉาชีพนะคะ หนูเป็นเพื่อนกับแก้วจริง ๆ”
“ใครจะไปรู้ นี่ถ้าพวกเราไม่ลงมามันคงจะหยิบข้าวของในบ้านไปแล้ว”
“ไปกันใหญ่แล้วคุณ” เอกภพรีบปรามเมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังบานปลาย
“พอได้แล้วน่ะแม่ น่าเบื่อ!” แก้วเจ้าจอมตะคอกเสียงดังก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายคู่ใจเดินหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน
“ยัยแก้วรอแม่ด้วย แม่ยังไม่ได้ตรวจดูกระเป๋าของหนูเลยนะว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า แล้วรถหนูล่ะทำไมไม่ขับกลับมาด้วย...”
เสียงแหลมเล็กค่อย ๆ เงียบหายไป เอกภพประมุขของบ้านจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงหันไปส่งยิ้มแสนอบอุ่นให้กับเกศรินทร์
“ขอบใจหนูมากนะ ที่มาส่งยัยแก้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่...” หญิงสาวก้มหน้าหลุบตาต่ำ ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างออกไปจนคนตรงหน้าหัวเราะร่าออกมา “...คุณจะไม่จับหนูส่งตำรวจใช่ไหมคะ หนูไม่ใช่มิจฉาชีพ”
“อย่าไปถือสาคุณหญิงเขาเลย กลับบ้านได้แล้วล่ะนี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปส่ง ผู้หญิงคนเดียวไปไหนมาไหนดึก ๆ แบบนี้มันอันตราย” น้ำเสียงอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความเมตตาเอ่ยขึ้น จนเกศรินทร์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด แต่ก็รีบปฏิเสธออกไปด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับเองได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับดี ๆ ก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ” เกศรินทร์กระพุ่มมือไหว้คนสูงวัยกว่าก่อนจะเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่โดยมีสาวรับใช้คนเดิมเป็นคนเดินมาส่ง
ประตูรั้วบ้านถูกปิดลง เกศรินทร์จึงหันกลับไปมองคฤหาสน์หลังใหญ่นั้นอีกครั้ง เพียงแค่ตัดสินใจเข้ามาในบ้านของแก้วเจ้าจอมในวันแรกก็รับรู้ได้เลยว่าคุณหญิงชนิกาผู้เป็นแม่ดูจะไม่ค่อยชอบใจนักที่ลูกสาวมาคบค้าสมาคมกับเพื่อนจน ๆ อย่างเธอ ซึ่งนั่นก็พอจะเดาออกได้ไม่ยากว่าถ้าเกิดเธอตัดสินใจคบหากับแก้วเจ้าจอมมากว่าเพื่อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ยิ่งคิดหญิงสาวก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าการตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตของแก้วเจ้าจอมนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้น ทำให้คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จรีบเดินออกไปเปิดประตูหลังจากที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดพบว่าตัวเองกำลังนอนหลับอยู่ข้างรถริมถนนหน้าคอนโดในสภาพที่ดูไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมีลิปสติกสีแดงถูกละเลงไปทั่วใบหน้าและร่างกายจนต้องรีบกลับเข้ามาอาบน้ำเพื่อล้างออกอยู่นานโข
“แม่...” ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเมื่อเห็นคุณหญิงรุจิรากับศรุตผู้เป็นพ่อเดินทางมาหาถึงคอนโด ซึ่งมันต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ไงล่ะ ล้างออกแล้วเหรอ! ไอ้รอยบ้านั่นน่ะ” นิ้วเรียวจรดลงบนอกเปลือยเปล่าของศิวาอย่างแรงด้วยความโมโห
ชายหนุ่มชะงักกึกส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับมารดาก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที
“คุณพ่อคุณแม่มาเหนื่อย ๆ ดื่มน้ำเย็น ๆ ให้ชื่นใจก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้”
“แกไม่ต้องมาทำเฉไฉ บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น” รุจิราตะคอกเสียงดังจนคนที่กำลังเอาตัวรอดด้วยการชิ่งหนีเข้าไปในห้องนอนสะดุ้งโหยง
“เกิดอะไรขึ้นครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ไม่รู้เรื่องเหรอ ได้...งั้นดูนี่”
สมาร์ตโฟนของมารดาถูกหยิบขึ้นมาเพื่อให้เขาเปิดอ่านข่าวที่กำลังโชว์หราอยู่บนนั้น
“ทายาทนักธุรกิจดังเมาหมดสภาพถึงกับต้องนอนข้างถนน” ชายหนุ่มอ่านข้อความที่อยู่บนนั้นช้า ๆ ก่อนจะเลื่อนดูรูปที่มีมือดีแอบถ่ายไว้ซึ่งเป็นภาพของเขากำลังนอนเปลือยอกเคียงข้างกับซุปเปอร์คาร์คู่ใจ เสื้อเชิ้ตสีดำถูกปลดกระดุมออกจนเห็นข้อความที่จารึกอยู่บนอกกว้างอย่างชัดเจน “ไอ้หน้าตัวเมีย”
“ทีนี้แกจะเอายังไง” ศรุตเอ่ยถามเมื่อเห็นศิวานิ่งเงียบไปนาน
“นี่ยังดีนะ ที่หน้าถูกปิดเอาไว้ แต่ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร เพราะชื่อเสียงด้านนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าแกนำมาเป็นที่หนึ่ง”
“โถ่ คุณแม่ แม่ช่วยปิดข่าวให้ผมหน่อยสิครับ ถือซะว่าสงสารลูกชายคนเดียวที่น่าสงสารคนนี้” ร่างสูงโปร่งย่อตัวลงกอดมารดาไว้แน่น “นะครับ...นะแม่นะ”
“เรื่องปิดข่าว ฉันทำอยู่แล้วเพราะฉันเกรงว่าจะส่งผลมาถึงวงศ์ตระกูลและธุรกิจของฉัน”
“ขอบคุณคุณแม่มากนะครับ ผมรักแม่ที่สุดเลย” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีที่ได้ยินคุณหญิงพูดจบ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“เสร็จจากเรื่องนี้เห็นทีว่าจะต้องคุยเรื่องแต่งงานให้มันจริงจังเสียที จะได้กลบข่าวคาวของแกด้วย”
“แม่...ก็ผมบอกแล้วว่าผมยังไม่อยาก...”
“ได้ ไม่อยากแต่งก็ไม่เป็นไร แล้วแม่ก็จะไม่บังคับแกให้กลับไปนอนบ้านแล้วด้วย” รุจิราผละออกจากอ้อมกอดของศิวาแล้วเดินไปทรุดกายนั่งลงบนโซฟาอย่างใจเย็น
“คุณแม่นี่น่ารักตลอดเลยนะครับ”
“แกอย่าเพิ่งดีใจไปตาศิ ที่แม่แกไม่บังคับให้แกกลับไปนอนที่บ้านเพราะว่าแกจะไม่ได้สิทธิ์นั้นตลอดไปไง” ครั้งนี้ศรุตเป็นคนอธิบายบ้างในขณะที่มองไป รอบ ๆ ห้องอย่าพิจารณา “ผมว่าคอนโดนี่น่าจะขายได้หลายล้านเลยล่ะ คุณว่าไหม”
“นี่มันอะไรกันครับ คุณพ่อหมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าฉันจะตัดแกออกจากกองมรดกไง แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้ไปแม้แต่บาทเดียว แกจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปที่บ้าน ส่วนคอนโดนี่ฉันก็จะขายทอดตลาดเหมือนกัน”
“แม่...แต่นี่มันเป็นของผมนะครับ ถ้าแม่ขายแล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ” ศิวาโอดครวญก่อนจะเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงเคียงข้างมารดาทำตาหวานใส่อีกครั้งเผื่อว่าผู้เป็นแม่จะยอมใจอ่อน แต่ก็ไร้ผล
“นั่นมันเรื่องของแก แกจะระเห็ดไปนอนข้างถนนก็ตามใจ”
“แล้วตำแหน่งรองประธานล่ะครับ ถ้าแม่ไล่ผมออกใครจะเป็นคนทำล่ะ” ศิวาหาข้ออ้างเพราะเข้าใจดีว่าทั้งสองคาดหวังให้เขาทำงานในตำแหน่งนี้มากแค่ไหน
“พ่อจะให้ชาวีเขาเข้ามาบริหารแทนแกเอง เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง” บิดายกยิ้มให้ ทว่าศิวากลับไม่เห็นด้วยเลยสักนิดเมื่อพูดถึงชาวี ชายหนุ่มที่กำพร้าพ่อแม่แต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหญ่ร่วมกับเขาในนามลูกบุญธรรมของคุณหญิงรุจิราซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากกลับไปนอนค้างที่บ้าน
“แต่ผมเป็นลูกแท้ ๆ นะพ่อ ทำไมต้องไปให้ไอ้วีมันด้วย”
“ในเมื่อลูกแท้ ๆ มันไม่เอาไหน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเลี้ยงให้อับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่ ไม่ต้องห่วงนะตาศิ เห็นแก่ที่แกเป็นลูก แม่จะช่วยหาวัดให้แกไปบวชตลอดชีวิตไปเลย”
“แม่ครับ!” ศิวาโอดครวญ หน้าบอกบุญไม่รับ
“ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวต้องไปเจอลูกค้าอีก” รุจิราตัดบท หยิบกระเป๋าสะพายราคาแพงเดินออกไปที่ประตู ทว่าศิวากลับรีบวิ่งไปดักหน้าไว้ก่อน จนผ้าขนหนูผืนเดียวที่พันเอวสอบไว้แทบจะหลุดลงไปกองกับพื้น
“ก็ได้ครับแม่...ผมจะแต่งงานครับ”
“มันต้องอย่างนี้สิลูกแม่” ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้างต่างจากอีกคนอย่างลิบลับ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่จะลองทาบทามลูกคุณหญิงคุณนายที่สมาคมให้ ดีไหม”
“ผมขอตัดสินใจเองดีกว่าครับ” ชายหนุ่มต่อรองอย่างคนหมดหนทาง
“ได้ แม่จะลองให้โอกาสแกอีกสักครั้งก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ” ศิวาพนมมือไหว้ทั้งสองก่อนจะหันกลับเข้าไปทรุดกายนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง
เขาจำเป็นจะต้องรับปากมารดาออกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ชาวี ลูกที่พ่อแม่เก็บมาเลี้ยงต้องมาได้ทุกอย่างที่เป็นของเขาไป แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาทางออกจากปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะสำหรับเขาการแต่งงานกับการตายทั้งเป็นนั้นมันแทบไม่ต่างกันเลยสักนิด
เสียงเพลงในผับถูกเปิดขึ้นเบา ๆ ในขณะที่แก้วเจ้าจอมกำลังนั่งจิบเครื่องดื่มสีสวยอยู่ตรงโต๊ะเดิม ดวงตากลมโตยังจับจ้องไปที่เวทีซึ่งมีเกศรินทร์ยืนร้องเพลงอยู่บนนั้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย หลังจากที่หญิงสาวไปส่งเธอที่บ้านวันก่อนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยเพราะแก้วเจ้าจอมเอาแต่ขลุกตัวอยู่ที่บ้านจนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอตัดสินใจกลับมาที่นี่อีกครั้ง
“ฉันไม่เข้าใจแกจริง ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่เกดมันก็บอกเลิกแกไปแบบไม่เหลือเยื่อใยแล้ว แกจะมาหามันที่นี่อีกทำไม” ณัชชาเอ่ยถามแข่งกับเสียงเพลงภายในผับ
“ใครบอกว่าไม่เหลือเยื่อใยล่ะ วันก่อนเกดยังไปหาฉันอยู่เลย”
“วันไหน อย่าบอกนะว่าวันที่แกออกไปกับคุณศิ” ขวัญข้าวตาโตขึ้นทันที
“ใช่...คุณศิเขาพาฉันกลับไปที่คอนโด แต่เกดไปหาฉันแล้วก็พอฉันกลับบ้านเสียก่อน”
“งั้นก็หมายความว่าแกยังไม่โดนคุณศิเขา...”
“แล้วผู้ชายที่มีภาพหลุดออกมาว่าเมาเอ๋อยู่หน้าคอนโดนั่นล่ะ ใช่เขาหรือเปล่า” ณัชชาสวนขึ้นทันควันทั้งที่ขวัญข้าวยังพูดไม่จบ
“ไม่รู้สิ ฉันเมามากจนจำอะไรแทบไม่ได้เลย รู้แค่ว่าเกดเป็นคนพาฉันกลับบ้านแค่นั้นแหละ” แก้วเจ้าจอมตอบก่อนที่ดวงตากลมโตจะมองไปรอบ ๆ จนไปปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งแสนคุ้นตาเดินหายเข้าไปในโซนวีไอพีที่ประจำ แผนการบางอย่างจึงผุดขึ้นมาทันที
เธอจะต้องรู้ให้ได้ ว่าแท้จริงแล้วเกศรินทร์ยังมีใจให้เธออยู่อีกหรือเปล่า
“ซุป'ตาร์มาแล้วว่ะ” ชญานนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นศิวาเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ซึ่งเป็นการออกมาเที่ยวครั้งแรกหลังจากที่ต้องหลบหน้าสื่ออยู่หลายวันเพื่อรอให้ข่าวคาวเงียบหายไป
“แกอย่าซ้ำเติมฉันนักดิวะ คนยิ่งกลุ้มใจอยู่” ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าบึ้งตึงตอบพลางหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมากระดกเข้าปากครั้งเดียวจนหมด
“คนอย่างคุณศินี่ มีเรื่องอะไรให้กลุ้มใจด้วยเหรอวะ”
“แม่ฉันบังคับให้ฉันแต่งงานน่ะสิ ถ้าไม่แต่งพ่อก็จะมอบตำแหน่งรองประธานให้ไอ้วีมันแทน” ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัดกลุ้มใจ เครื่องดื่มสีสวยจึงถูกกระดกเข้าปากอีกครั้งจนร้อนรุ่มไปทั้งคอ
“ถ้าเป็นแบบบนั้นก็เท่ากับว่าแกถูกถอดเขี้ยวเลยนะเว้ย” คเณศเสริม “ว่าแต่...แกมีคนในใจที่จะมาเป็นเจ้าสาวแล้วหรือยังวะ”
“อย่างฉันนี่จะไปจริงจังกับใครถึงขั้นแต่งงานกัน แค่คิดก็สยองแล้วเว้ย!”
“แล้วน้องแก้วที่แกหิ้วไปเมื่อวันก่อนล่ะ ได้แอ้มหรือยัง ฉันว่าน้องเขาเหมาะที่จะมาเป็นเจ้าสาวแกอยู่น้า” ชญานนลากเสียงยาวเหยียดพร้อมกับเติมเครื่องดื่มในแก้วให้ศิวาอีกครั้ง
“แอ้มกับผีน่ะสิ ยังไม่ทันได้เข้าคอนโดเลยด้วยซ้ำ ยัยทอมบ้านั่นตามไปซะก่อน”
“หือ นี่อย่าบอกนะว่าคนที่จัดการแกซะเละแล้วถ่ายรูปประจานเป็นยัยทอมนั่นด้วย” คเณศละสายตาจากสาวสวยข้างกายจ้องมองขึ้นไปบนเวทีแทน ทว่าสายตากลับไปปะทะเข้ากับร่างบางระหงของแก้วเจ้าจอมซึ่งกำลังลุกเดินจากโต๊ะของตัวเองมาทางนี้พอดี
“ขอแก้วนั่งดื่มด้วยคนได้ไหมคะ”
“ด้วยความยินดีครับ” ชญานนเป็นคนตอบแทนพลางสละตำแหน่งที่นั่งข้างศิวาให้หญิงสาว
“แก้วต้องขอโทษคุณศิด้วยนะคะ ที่วันก่อนแก้วกลับบ้านซะก่อน” แก้วเจ้าจอมเอ่ยเสียงอ่อน ปรายตามองไปที่เวทีเป็นระยะเพื่อจะดูท่าทีของอีกคน
"ไม่เป็นไรหรอกครับ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้นี่" ศิวายิ้มกริ่ม
ในขณะที่เกศรินทร์เองก็เห็นภาพนั้นอย่างชัดเจนเพราะมุมที่สูงกว่าบนเวที แม้อยากจะเข้าไปขวางไว้แค่ไหนก็ไปไม่ได้เนื่องจากต้องร้องเพลงต่อให้จบ หญิงสาวจึงทำได้แค่ยืนมองแก้วเจ้าจอมกำลังจับไม้จับมือจนถึงขั้นกอดกันกับศิวาอยู่บนเวทีด้วยความร้อนใจเท่านั้น
กระทั่งเพลงจบลงเกศรินทร์จึงรีบลงจากเวทีปรี่เข้าไปหาแก้วเจ้าจอมที่โต๊ะของศิวาทันที
“แก้ว! นี่แก้วยังมายุ่งกับมันอีกเหรอ” มือเรียวกระชากแขนของคนตัวเล็กกว่าให้ออกห่างพ่อเสื้อร้ายอย่างศิวาทันที
“เป็นบ้าอะไรเกด แก้วจะไปยุ่งกับใครมันก็เรื่องของแก้ว เกดมายุ่งอะไรด้วย”
“แก้วจะไปยุ่งกับใครเราไม่ว่าหรอก แต่ต้องไม่ใช่ผู้ชายคนนี้” นิ้วเรียวชี้ไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของศิวาอีกครั้ง ทำให้คนนั่งใจเย็นอยู่นานยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วย่างสามขุมเข้าไปหาเธอทันทีก่อนจะโน้มกายลงเล็กน้อยจนใบหน้าห่างกันแค่คืบ เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเกศรินทร์กลับรู้สึกขนลุกพิกล
“ผู้ชายอย่างฉัน แล้วทำไมเหรอ หืม”
“ก็เพราะว่าคุณมันหน้าตัวเมียไง คุณมันทำร้ายผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้”
“ทำร้ายยังไง แบบนี้หรือเปล่าล่ะ”
สายตาทุกคู่ที่ยั่งอยู่โต๊ะเดียวกันเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อศิวาก้มลงจุมพิตลงบนริมฝีปากบางของเกศรินทร์อย่างรวดเร็ว จนหญิงสาวตัวแข็งทื่อทั้งที่ยังจับมือแก้วเจ้าจอมไว้แน่น
“ไอ้...” เกศรินทร์ฉุนจัดยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองจนมันแดงเถือกด้วยความรังเกียจ ในขณะที่แก้วเจ้าจอมได้แต่ยืนนิ่ง ตกใจกับสิ่งที่เห็นก่อนหน้าจนรู้สึกสับสนไปหมด
คนที่เธอรักถูกผู้ชายขโมยจูบเสียซึ่ง ๆ หน้า
“ใจเย็นสิ ฉันก็แค่สาธิตให้ดูว่ารังแกยังไง เธอไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะร้อนตัวทำไม...”
เสียงหมัดน้อย ๆ แหวกว่ายไปในอากาศก่อนจะปะทะเข้ากับใบหน้าหล่อเหล่านั้นอย่างแรงจนชายหนุ่มล้มลงไปนั่งอยู่บนโซฟา ไม่รอให้เขาได้ตั้งตัว เกศรินทร์ก็เข้าไปคร่อมร่างนั้นไว้แล้วซัดหมัดลงบนใบหน้าของศิวาอีกครั้ง
“เห้ย! เข้าไปเอาตัวมาสิวะ เดี๋ยวไอ้ศิเดี้ยงพอดี” คเณศและชญานนรีบเข้าไปหิ้วปีกของหญิงสาวจนตัวลอยติดมือมาอย่างง่ายดาย แต่ก็ต้องล็อคแขนเอาไว้เพราะดูท่าว่าเกศรินทร์จะยังไม่ยอมหยุด
“ปล่อยนะเว้ย! ฉันบอกให้ปล่อย”
เสียงเพลงถูกปิดลงเมื่อเกิดความโกลาหลขึ้น ขวัญข้าวและณัชชาจึงเดินเข้ามาสมทบด้วยความเป็นห่วงว่าแก้วเจ้าจอมจะโดนลูกหลงไปด้วย
“เป็นอะไรหรือเปล่าแก เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ขวัญข้าวเอ่ยถามแต่ก็ไม่ได้คำตอบใด ๆ กลับมาเพราะตฤณเข้ามาห้ามทัพไว้พอดิบพอดี
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเกด”
“พี่บาส...” เกศรินทร์ยอมสงบลงแต่โดยดีเมื่อเห็นเจาของผับซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีพระคุณของเธอเดินเข้ามาห้ามไว้
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ก็นักร้องของแกน่ะสิ ซัดหมัดใส่ไอ้ศิจนหมดสภาพเลย” ชญานนเป็นคนตอบในขณะที่ศิวาค่อย ๆ เช็ดเลือดตรงมุมปากออกแล้วยืนขึ้นเต็มความสูงพลางจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เข้าที่
“เขามารุ่มร่ามกับเกดก่อนนะคะ” เกศรินทร์รีบแก้ต่างให้ตัวเองทันทีที่ถูกใส่ร้าย
“แต่เขาเป็นลูกค้าเรานะเกด”
“ลูกค้าแล้วทำไมล่ะคะ เกดไม่มีสิทธิ์ปกป้องศักดิ์ศรีตัวเองรึไง” ดวงตากลมโตเหลือบมองคนที่กำลังยิ้มมุมปากราวกับผู้ชนะอีกครั้งด้วยความเจ็บใจ
ตฤณไม่ตอบ ได้แต่มองหน้าเกศรินทร์สลับกับศิวาราวกับคนคิดหนัก
“เอาเป็นว่าฉันขอโทษแทนเกดเขาด้วยละกันนะ”
“อืม ไม่เป็นไร แค่นี้ฉันไม่ถือหรอก แต่ว่าต่อไปฉันกับเพื่อนคงจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้วล่ะ ส่วนเงินที่หยิบยืมมาเปิดผับนี่พรุ่งนี้ฉันจะให้คนมาเคลียร์ละกัน”
“ไม่ได้นะเว้ย แกมาพูดปุบปับแบบนี้ฉันจะไปเอาที่ไหนมาจ่ายล่ะวะ” ตฤณหน้าเสียที่จู่ ๆ ก็มาถูกทวงเงินต่อหน้าคนนับสิบแบบนี้
“งั้นฉันจะให้แกเลือก...ระหว่างเพื่อนที่มีบุญคุณอย่างฉันกับนักร้องทอมถึกคนนี้” ศิวาเน้นย้ำทุกประโยคทำให้เกศรินทร์ยิ่งไม่พอใจเมื่อกำลังถูกถือไพ่เหนือกว่า “ถ้ายัยนี่ยังอยู่ที่นี่ ฉันก็จะไม่มาอีก”
“พี่บาส...”
“พี่ขอโทษนะเกด แต่พี่จำเป็นอ่ะ” เจ้าของผับพยายามอธิบาย เพียงเท่านั้นเกศรินทร์ก็พอจะเข้าใจ จึงสะบัดมือของคเณศที่กำลังล็อคตัวไว้ให้ออก ทำให้ศิวายิ้มกริ่มด้วยความสะใจที่สามารถเอาคืนและแก้เผ็ดเกศรินทร์ได้สำเร็จ
"แต่ว่าเขา..." เกศรินทร์พยายามอธิบาย แต่ตฤณกลับสวนขึ้นมาเสียก่อน
“เกดต้องเข้าใจพี่นะ”
"หมายความว่าพี่จะไล่เกดออกเหรอคะ"
"พี่ขอโทษ"
“ค่ะ เกดเข้าใจ...” ในที่สุดหญิงสาวก็ต้องตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างคนยอมแพ้ แล้วจึงเดินออกไปจากวงสนทนาเพื่อจะไปเอากีตาร์ตัวโปรดออกไปจากร้าน แต่แก้วเจ้าจอมกลับคว้ามือของเธอไว้เสียก่อนด้วยความรู้สึกผิด
เพราะแผนการลองใจของเธอจึงทำให้เกศรินทร์ต้องถูกไล่ออกแบบนี้
“เกด...”
“เราขอโทษนะแก้ว ที่เราเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตแก้ว เราผิดเองที่ลืมคิดไปว่าแก้วก็มีสิทธิ์ที่จะคบกับใครก็ได้ ต่อไปนี้เราคงทำได้แค่มองแก้วอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น” คนตัวสูงกว่ายิ้มให้ทั้งน้ำตาก่อนจะเดินหายไปทางประตูหลังร้านสถานการณ์จึงกลับมาเป็นปกติเมื่อเสียงเพลงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
"เกด เดี๋ยวก่อนสิ รอแก้วก่อน"แก้วเจ้าจอมรีบเดินตามออกไปเพื่อจะอธิบายแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเกศรินทร์โบกแท็กซี่หายลับไปเสียแล้ว
ด้านศิวาเองก็พอใจอยู่ไม่น้อยที่ได้กำจัดศัตรูหมายเลขหนึ่งออกไปจนพ้นทางได้สำเร็จ เธอทำให้เขาต้องขายหน้าอับอายจนเกือบถูกตัดออกจากกองมรดก มันก็สมควรแล้วที่จะถูกไล่ออกไปแบบนี้ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามีร่างสูงของอีกคนกำลังยืนมองเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างเงียบ ๆ อยู่ทางมุมมืด ๆ ของผับ
รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าในขณะที่กดดูภาพถ่ายในมือก่อนหน้าซึ่งถูกบันทึกไว้ในสมาร์ตโฟนราคาแพงด้วยความสะใจ ที่สามารถเล่นงานศิวาได้อีกครั้งก่อนที่มันจะถูกส่งไปยังสำนักข่าวบันเทิงแห่งหนึ่งในเวลาถัดมา