รถหรูคู่ใจพุ่งทะยานไปบนถนนใหญ่ก่อนจะเลี้ยวเข้าบริษัทในตอนเช้าตรู่ แม้ว่าจะเที่ยวหนักและบ่อยแค่ไหนแต่เขาก็ต้องทำงานควบคู่กันไปด้วยเพื่อประคองธุรกิจที่ครอบครัวมอบหมายให้ดูแลเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ท่านรองคะ ท่านประธานและคุณหญิงรอพบอยู่ในห้องค่ะ” จิตตราเลขาส่วนตัววัยสี่สิบปลาย ๆ ที่มารดาเป็นคนจัดหามาให้เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นรองประธานของบริษัทปรากฏตัว
“ขอบคุณครับ” ศิวาตอบแต่เพียงสั้น ๆ แล้วเปิดประตูห้องเข้าไปพบกับศรุตและคุณหญิงรุจิรานั่งรออยู่ที่รับรองแขกอยู่ก่อนแล้ว
“มาแล้วเหรอ พ่อตัวดี”
“คุณพ่อคุณแม่สวัสดีครับ” ชายหนุ่มกระพุ่มมือไหว้ทั้งสองพลางทรุดกายนั่งลงเคียงข้างมารดา แกล้งทำตาใสเอ่ยถามถึงธุระที่ทั้งสองจะมาคุยด้วยแม้จะรู้อยู่เต็มอกแล้วก็ตาม “มาหาผมแต่เช้า มีธุระอะไรหรือเปล่าครับเนี่ย”
“ยังมีหน้ามาพูดอีก แม่ล่ะไม่เข้าใจแกจริง ๆ เลย” รุจิราค้อนขวับ เสมองไปทางอื่นแทน
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ คุณแม่โกรธผมทำไม”
“ก็แม่แกเขางอนเรื่องที่แกไม่กลับไปนอนที่บ้านบ้างตั้งแต่กลับจากอเมริกาไงล่ะ” ครั้งนี้ศรุตเป็นคนตอบแทน
“โถ่ คุณแม่คิดว่าเรื่องอะไร ผมก็แค่...”
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นนะ อย่าคิดว่าแกไม่อยู่บ้านแล้วแม่ไม่รู้ว่าแกเอาแต่เที่ยวเตร่ เมากลับคอนโดแทบทุกคืน” ผู้เป็นแม่ตัดบททั้งที่เขายังพูดไม่จบ นิ้วเรียวยกขึ้นจิ้มลงบนอกกว้างของศิวาด้วยความหมั่นไส้
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างคนยอมรับผิดไม่คิดจะหาข้อแก้ตัว เพราะคุณหญิงมักมีหูตากว้างไกลอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่เขาแอบไปเมากลับคอนโดบ่อย ๆ ก็คงจะเป็นพนักงานประจำเคาเตอร์คนใดคนหนึ่งที่คอยเป็นสายให้กับคุณหญิงอีกนั่นแหละ
“มันก็เป็นธรรมดาของผู้ชายน่ะแม่ ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน”
“มันก็ไม่เสียหายหรอกถ้าแกไม่หิ้วผู้หญิงกลับมาด้วย แล้วแต่ละครั้งก็แทบไม่ซ้ำหน้ากัน นี่ขนาดกลับมาไม่ถึงเดือนแกยังขนาดนี้แล้วอีกหน่อยมันจะขนาดไหน” รุจิราร่ายยาว หลังจากที่ส่งลูกชายคนเดียวไปเรียนต่อปริญญาโทถึงต่างประเทศเพื่อจะได้กลับมาดูแลกิจการและสานต่อธุรกิจที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนกระทั่งได้เข้ามารับตำแหน่งรองประธานได้สมใจ แต่ศิวาก็ยังไม่ทิ้งลายเรื่องความเจ้าชู้ได้ลงเสียที
“เบา ๆ หน่อยสิคุณ เดี๋ยวพนักงานก็ได้ยินหรอก” ศรุตผู้เป็นบิดาและเจ้าของตำแหน่งประธานผู้บริหารเอ่ยปรามศรีภรรยา “ถึงตาศิมันจะเอาแต่เที่ยว แต่งานก็ไม่ได้เสียนะคุณ”
“งานไม่เสียหรอกแต่ฉันนี่สิที่เสียหน้า ใคร ๆ ก็พูดกันว่าทายาทคนเดียวของอักษราเวช เที่ยวผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า”
“แม่ครับ ผมก็แค่ไปเที่ยวระบายความเครียดหลังเลิกงานก็แค่นั้นเอง”
“งานมันเครียดจนแกต้องไปหาที่ระบายเรื่องอย่างว่าได้ทุกวันเลยรึไง” คุณหญิงสวนกลับทันควันจนศรุตต้องยกมือนวดขมับตัวเองเพื่อคลายปวด
“มันก็ไม่น่าเครียดหรอกครับแม่ ถ้าแม่ไม่เอาป้าอายุสี่สิบมาเป็นเลขาผมอ่ะ ถ้าลองเอาสาว ๆ สวย ๆ มา รับรองผมทำงานได้ทั้งวันไม่เหนื่อยแน่นอน” ศิวาคลี่ยิ้ม ดีดนิ้วเปาะเมื่อนึกถึงหน้าเลขาสวย ๆ อกตูม ๆ แทนที่จะเป็นจิตตราคุณแม่ลูกสองใส่แว่นหนาเตอะเหมือนเช่นตอนนี้
“ก็เพราะว่าแม่รู้ไง ว่าถ้าเอาคนสวย ๆ มาเป็นเลขา มันจะไม่ใช่ทำงานแค่บนโต๊ะอย่างเดียว” ผู้เป็นแม่รู้ทันจนศิวาหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด รุจิราจึงปรับน้ำเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย “แกโตแล้วนะตาศิ อายุอานามก็ปาเข้าเลขสามแล้ว อย่าทำให้แม่เป็นห่วงได้ไหม แม่ปล่อยให้แกไปใช้ชีวิตอิสระที่อเมริกามานานเกินพอแล้วนะ”
“เสือมันก็ยังเป็นเสือ มันไม่มีทางจะถอดเล็บได้ง่าย ๆ หรอกคุณ” ศรุตยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินไปตบไหล่กว้างของศิวาเบา ๆ
“คุณก็ชอบเข้าข้างลูกตลอด แล้วเมื่อไหร่จะศิจะโตล่ะคะ”
“ผมไม่ได้เข้าข้าง ผมเข้าใจลูกต่างหาก”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าจะปล่อยไว้แบบนี้ก็คงจะได้ใจเปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่นอีกเหมือนเดิม” น้ำเสียงเคร่งขรึมของคุณหญิงทำให้ศิวาถึงกับตัวชาวาบ เริ่มได้กลิ่นหายนะลอยมาจากที่ไกล ๆ
“แล้วแม่จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ”
“แต่งงาน แกต้องหาสะใภ้ให้แม่...แค่คนเดียว” รุจิราเน้นย้ำสามคำสุดท้ายเป็นพิเศษก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็นออกมาอีกครั้ง
“ไม่เอาอ่ะแม่ ผมยังไม่อยากแต่งงานแม่ก็รู้” ชายหนุ่มโอดครวญเมื่อมารดายังนิ่งเฉยจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากศรุตแทน “พ่อครับ ไม่เอานะครับ ผมยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย”
“เรื่องนี้เห็นทีพ่อคงช่วยอะไรไม่ได้ แกเอาตัวรอดเองละกันนะ” ศรุตยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะเลื่อนตำแหน่งไปยืนเคียงข้างคุณหญิงแทน ศิวาจึงเหลือแค่หัวเดียวกระเทียมลีบ
“แม่ครับ...”
“ถ้าแกยังหาคนที่ถูกใจไม่ได้ แม่ก็จะเป็นคนหาให้เอง” เสียงทรงอำนาจเน้นย้ำอีกครั้งก่อนจะควงแขนบิดาเดินหายออกจากห้องไป
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทอดกายลงบนโซฟาหนานุ่มอย่างคนหมดเรี่ยวแรง ต่อให้พยายามคัดค้านมารดามากแค่ไหนสุดท้ายเขาก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้อยู่ดี
เสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ตโฟนเครื่องสีดำในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งคอตกอยู่หยิบขึ้นมาเปิดอ่าน เมื่อเห็นว่าชญานนเป็นคนส่งมา เขาจึงรีบกดดูทันทีก่อนจะพบกับภาพหญิงสาวที่น่าจะเดาออกว่าเป็นเกศรินทร์ที่พูดถึงกันเมื่อวันก่อน
เจ้าของใบหน้าหวานในรูปภาพกำลังยืนมอบเสียงเพลงให้กับคนที่มาเที่ยวในผับอยู่บนเวทีพร้อมด้วยกีตาร์ตัวโปรดที่สะพายติดกายขึ้นไปด้วย หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ สวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่โคร่งอีกชั้น ใบหน้าขาวละมุนไร้ซึ่งเครื่องสำอางค์ใด ๆ แต่งแต้ม ผมที่ดำขลับถูกเซ็ตเป็นทรงยุ่งเหยิงแต่มันกลับดูดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมา เนิ่นนานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ที่เขาเผลอจ้องมองภาพตรงหน้าอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเสียงข้อความดังขึ้นมาอีกครั้ง
“นี่ไงเกศรินทร์ ศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งของแก หล่ออย่างที่เขาว่าจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ”
ศิวายกยิ้มมุมปากเมื่ออ่านข้อความนั้นจบ ก่อนจะปัดเลื่อนขึ้นไปดูรูปของเกศรินทร์อีกครั้ง
“หล่อตรงไหน...นี่มันสวยมากต่างหาก” ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่รูปถ่ายนั้นอีกครั้งโดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้คนที่อยู่ในรูปกำลังเผชิญกับเคราะห์กรรมที่สุดแสนจะลำบากที่สุดในชีวิตมากแค่ไหน
เกศรินทร์กำลังนั่งคอตกอยู่หน้าห้องของมารดา หลังจากที่ตระเวนหางานทำจนเกือบจะทั่วกรุงเทพแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีที่ไหนรับ หญิงสาวจึงต้องหันหน้าไปรับจ้างล้างจานที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้กับโรงพยาบาลแทน
มือที่เหี่ยวย่นเพราะแช่อยู่ในน้ำนานนับชั่วโมงหยิบธนาบัตรยับยู่ยี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นนับดูซึ่งมีแค่ใบร้อยไม่กี่ใบ ใบยี่สิบอีกสามกับเหรียญจำนวนหนึ่งเท่านั้น หากจะลองเทียบดูแล้วมันแทบไม่ได้ครึ่งหนึ่งของค่ารักษากชกรเลยด้วยซ้ำ
“เกด แม่เป็นยังไงบ้าง” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากหน้าประตูลิฟต์ทำให้ เกศรินทร์รีบเอาบิลค่ารักษาและเงินของตัวเก็บเข้ากระเป๋าไปทันที
“แก้วมาได้ยังไง...“
“แก้วไปหาเกดที่อู่น่ะ ลุงจรก็เลยบอกว่าเกดพาแม่มารักษาที่นี่” แก้วเจ้าจอมตอบด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเช่นทุกครั้ง “แม่อยู่ที่ไหนเหรอ แก้วซื้อของกินมาฝากเยอะแยะเลย”
“แก้วกลับไปเถอะ แม่เราไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” คนตัวสูงกว่าตอบพลางเสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าเห็นน้ำตาที่ไหลรื้นออกมา ที่เธอหายไปจากชีวิตของแก้วเจ้าจอมไม่ใช่เพราะเธอกำลังหลบหน้า แต่เป็นเพราะว่าไม่อยากให้หญิงสาวมาเห็นสภาพที่น่าสมเพชของตัวเองต่างหาก
“ทำไมเกดพูดแบบนั้นล่ะ” แก้วเจ้าจอมตัวชาวูบไม่นึกเลยว่าเกศรินทร์จะเฉยชากับเธอได้ถึงขนาดนี้
“ไม่มีอะไร เราแค่ไม่อยากให้แก้วต้องลำบากน่ะ”
“ลำบากอะไรกัน แม่เกดก็เหมือนแม่แก้วนะ เรื่องค่ารักษาเดี๋ยวแก้วจะช่วยเอง...”
“ไม่จำเป็นหรอก เราหาเองได้” เกศรินทร์ตอบกลับไปทันควันจนคนที่ยังพูดไม่จบชะงักกึก “แก้วกลับไปเถอะ”
“ทำไมล่ะเกด เราก็แค่อยากช่วย เกดรังเกียจเรามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เราต่างหากล่ะที่เหมาะกับคำว่าน่ารังเกียจมากกว่า แก้วจะให้คนอื่นมองเราเป็นปลิงเกาะแก้วอยู่รึไง”
“ใครจะมองยังไงก็ช่างเขาสิ แก้วไม่สนใจหรอก เกดก็รู้ว่าแก้วรู้สึกดีกับเกดมากแค่ไหน” แก้วเจ้าจอมวางผลไม้ที่ซื้อติดมือมาลงบนเก้าอี้ก่อนจะเลื่อนมาจับมือของเกศรินทร์เอาไว้แน่นทว่าอีกคนกลับสะบัดมันออกอย่างไม่ใยดี
“เลิกยุ่งกับเราสักทีเถอะ!”
“เกด...เป็นอะไร เกดไม่สบายใจเรื่องแม่เรารู้ แต่เกดไม่สมควรมาพาลใส่กันแบบนี้นะ”
“เราไม่ได้พาล เราแค่อยากให้แก้วเปิดใจมองความเป็นจริงเสียบ้าง เรื่องของเรายังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ เราเหมือนกันแค่เรื่องเดียวแต่เรื่องอื่นเราต่างกันหมด เลิกเพ้อเจ้อสักทีเถอะ”
“เกด...” แก้วเจ้าจอมหน้าชา รู้สึกเหมือนร่างกายไม่รับรู้อะไร ประกายตาคู่งามเริ่มมีน้ำสีใสไหลออกมา
เกศรินทร์เหลือบมองคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าวูบหนึ่งแล้วจึงหันกลับเข้าไปในห้อง ทรุดกายนั่งลงบนพื้นเย็นเฉียบแผ่นหลังพิงประตูห้อง ยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เสียงร้องไห้ของตัวเองปลุกให้มารดาตื่นขึ้นมาหลังจากทำการฟอกเลือดไปแล้วหลายครั้ง
“เราขอโทษนะแก้ว...”
คำขอโทษดังออกมาแผ่วเบาแม้จะรู้ดีว่าอีกคนคงไม่มีทางได้ยิน เกศรินทร์ก้มหน้าลงมองร่างกายตัวเองอีกครั้งอย่างเจียมตัว ทั้งที่เธอเองก็รู้สึกดีกับแก้วเจ้าจอมอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยสถานะที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวมันทำให้หญิงสาวไม่อาจจะคิดเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนได้จริง ๆ
ยิ่งตอนนี้ชีวิตกำลังเดินทางจุดที่ต่ำที่สุดเพราะมารดาเกิดมาล้มป่วยลง งานประจำก็ยังหาไม่ได้จึงต้องอาศัยเงินที่ได้มาจากการร้องเพลงที่ผับแต่ดูเหมือนว่ามันก็ยังไม่พออยู่ดี
“เกด...เป็นอะไรลูก” เสียงมารดาเอ่ยเรียกทำให้เกศรินทร์รีบลุกขึ้นเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ เข้าไปหากชกรทันที
“แม่ตื่นแล้วเหรอคะ หิวไหมเดี๋ยวหนูจะลงไปหาอะไรมาให้กิน” หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับเปลี่ยนเรื่องแทน
“พาแม่กลับบ้านเถอะ แม่ไม่อยากรักษาแล้ว”
“ไม่ได้นะคะแม่ แม่ต้องหาย หนูทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” เกศรินทร์จับมือมารดาขึ้นมาแนบกับใบหน้า “ถ้าแม่เป็นอะไรไปแล้วหนูจะอยู่กับใครล่ะคะ”
“แล้วเกดจะไปหาเงินมากมายมารักษาแม่ได้ยังไง ไหนจะค่าห้อง ค่ากินค่าอื่น ๆ อีก พาแม่กลับบ้านเถอะ”
“ไม่เอาน่ะแม่ แม่อย่าคิดแบบนั้นสิ เงินน่ะหาเมื่อไหร่ก็หาได้ แต่แม่มีแค่คนเดียว ถ้าไม่มีแม่เกดก็หาใครมาแทนแม่ไม่ได้อีกแล้วนะคะ” น้ำเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นตอบกลับไปพลางโน้มกายซบลงบนอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นอย่างเต็มรัก
“แม่กลัวเกดเหนื่อย...”
“เกดไม่เหนื่อยเลยแม่ ถ้ามันแลกกับชีวิตแม่เกดก็พร้อมจะทำ อย่าลืมสิคะ เรามีกันแค่สองคนแม่ลูก ไม่ให้เกดดูแลแม่ได้ยังไงล่ะคะ”
“โถ่...ลูกแม่” แขนเล็ก ๆ ผอมบางยกขึ้นกอดลูกสาวคนเดียวไว้แนบกายด้วยความรักไม่ต่างกัน จริงอย่างที่เกศรินทร์ว่า ทั้งชีวิตเธอมีกันแค่สองคนแม่ลูกเท่านั้น มันจึงเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้สู้เพื่อจะใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปเพื่อคนที่เรารัก