........................................
ในตอนเช้าเขาโทรบอกเลขาสาวตามที่คิดไว้ ทำให้มีรถกระบะสี่ประตูสีดำ ขับเข้ามาจอดหน้าบ้านเขาในทันที โทรปุ๊บก็มาปั๊บแต่ไม่รู้ว่ามาทำไม?
กริ่งๆ กริ่งๆ
เสียงกดออดหน้าบ้านรัวๆ ดูจะร้อนใจ ไม่ร้อนใจได้ยังไงเพื่อนเธอกับหลานกำลังจะไม่มีที่อยู่
"คุณคะ คุณ ดิฉันขอคุยด้วยหน่อยค่ะ" ญาณิศายืนเกาะรั้วประตูหน้าบ้านด้วยใจร้อนรน เธอดูสุภาพหรือเปล่าวะ หรือต้องพูดยังไง สงสัยเมื่อวานเธอจะเสียมารยาท เขาเลยพาลโกรธจะขายบ้านทั้งหมดเหลือไว้เพียงหลังเดียวที่เขาอยู่...
ซวยจริงๆ มารยาทเธอยิ่งมีน้อย
"ประทานโทษค่ะ ดิฉันอยากคุยกับคุณ" พูดจนเจ็บคอเขาก็ยังไม่ออกมา
??
"มีอะไรครับ" ปรเมศวร์เดินออกมา ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด
"ขอประทานโทษที่มารบกวนค่ะ ดิฉันมีธุระอยากจะคุยกับคุณ" ญาณิศายืนตัวลีบต่างจากเมื่อวาน
"ธุระอะไร?" ผู้หญิงคนนี้ดูพิลึกต่างจากเมื่อวาน ทำตัวลุกลี้ลุกลนเหมือนทำความผิดอะไรมา
" ฉันอยากคุยเรื่องที่คุณจะขายบ้านค่ะ ฉันมีข้อเสนอดีๆ มายื่นให้คุณ รบกวนช่วยฟังดิฉันหน่อยนะคะ"
"คุยนานไหม" ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้าน ถ้านานคงดูแปลกๆ
" ไม่นานค่ะแค่แป๊บเดียว" ญาณิศาดีใจเนื้อเต้นที่เขายอมรับฟังเธอ
"ข้อเสนอของฉันก็คือฉันจะขอหาลูกค้ามาเช่าบ้านให้คุณแล้วคุณก็จะได้เงินจากค่าเช่า รายได้ดีไม่น้อยเลยนะคะ แถมบ้านทุกหลังก็ยังเป็นของคุณเหมือนเดิม มีรายได้พาสซีฟอินคัม คุ้มแน่นอนค่ะ" เธอไม่เคยทำอะไรเพื่อใครขนาดนี้เลยนะที่ลงทุนทำขนาดนี้ก็เพื่อเพื่อนกับหลาน
"ผมไม่สนใจ คุณเป็นเอเจ้นที่จะต้องขายบ้านให้ผมใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ" ญาณิศาทำหน้าเศร้าเห็นทีจะหมดหวังเพราะคนที่ยอมให้เพื่อนเธอเช่ารอบนั้นคือคุณพริ้งไม่ใช่คนนี้
" ถ้าคุณไม่เต็มใจขาย ผมจะจ้างเอเจนซี่คนอื่น" บ้านก็บ้านเขา เขาจะขายมันก็เรื่องของเขา เธอคนนี้แปลกจริงๆ
"ไม่ได้นะคะ จ้างฉันเถอะ คือฉันมีข้อเสนอสุดท้าย สุดท้ายแล้วจริงๆ ค่ะ รบกวนฟังหน่อยนะคะ" ละครดราม่าต้องมาแล้ว ทำไงดีวะไอ้เอมจะช่วยเพื่อนยังไงดี ถ้าจะให้เพื่อนย้ายออกตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาบ้านดีๆ ราคาไม่แพงแบบนี้ได้ที่ไหน...ถึงเธอจะรู้จักบ้านเยอะแต่มันแพงมากถ้าถูกๆ ต้องไปอยู่นอกเมือง
"ผมขี้เกียจฟัง"
"ฟังหน่อยนะคะได้โปรด คุณจำเมื่อสี่ปีก่อนได้ไหมคะ ฉันเคยโทรขอเช่าบ้านกับคุณพริ้ง ในตอนนั้นเพื่อนฉันลำบากมากตั้งท้องไม่มีที่อยู่ เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูกคนเดียว ชีวิตของเธอกับลูกน่าสงสารมากเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ได้โปรดเห็นใจและช่วยเธอกับลูกด้วยนะคะ" ญาณิศาเล่าต่อยาวเป็นฉากๆ เอาที่ดราม่าที่สุด เผื่อเขาจะเห็นใจไม่ขายบ้านหลังนั้น จะขึ้นราคาค่าเช่าก็ได้เธอไม่ว่า ขอแค่อย่าเพิ่งให้เพื่อนเธอย้ายออก อย่างน้อยก็ให้เธอหาบ้านแถวนี้ให้ได้ก่อนจะย้ายไปไกลก็ไม่ได้ ภูริกำลังเรียนอยู่เตรียมอนุบาลยังไม่สะดวกย้าย
งือ...เธอสงสารหลาน ตอนนี้กำลังสนิทกับเพื่อนๆ ญาณิศาเล่าไปน้ำตาไหลไป เธอสงสารเพื่อนกับหลานมากจริงๆ ถ้ารู้ว่ากำลังจะไม่มีที่อยู่จะรู้สึกยังไง เด็กก็ย่อมผูกพันกับบ้านหลังแรกนึกแล้วก็สงสารจับใจ....
"หลังที่เพื่อนคุณอยู่ก็เช่าอยู่ไปก่อน ถ้าหาบ้านได้ก็ค่อยย้ายออกไป ส่วนหลังอื่นๆ ถ้าขายได้คุณก็ขายไปเลย ส่วนแบ่งรายได้จากการขายคุณก็เอาไป" เผื่อเธอจะได้เอาเงินจากการขายบ้านของเขาไปช่วยเพื่อนซื้อบ้าน เล่ามาซะยาวดราม่าล้วนๆปกติเขาไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้แต่เรื่องที่เธอเล่าก็ทำให้เขาฉุกคิดอะไรได้มากมาย เพื่อนของเธอเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งมาก เป็นผู้หญิงทำงานเลี้ยงลูกคนเดียวมันไม่ง่ายเลย สงสารน่ะสงสารแต่เขาคงช่วยอะไรไม่ได้มาก...
นักธุรกิจก็คือนักธุรกิจผ่อนปรนได้แต่ไม่ใช่ตลอด จะให้มาเช่าอยู่ตลอดชีวิต ในราคาถูกๆ เขาไม่ใช่นักบุญ......
ตัดภาพมาอีกฝั่ง
อีกคนก็แสนดี้แสนดี
ไม่ใช่ใครที่ไหนอาเหลียงนั่นเอง อาแสนดีของญาณิศา ในวัย41ปีผ่านไปแป๊บเดียวเขาก็เข้าสู่เลขสี่แต่สถานะก็ยังโสดตามจีบสาวมาสี่ปีไม่มีท่าทีว่าเธอจะยอมเปิดใจ แต่ไม่เป็นไรแค่นี้เขาก็รู้สึกดี มีความสุขแล้ว...
คนอย่างเขาเหมาะที่จะอยู่โสดเป็นหนุ่มชาวไร่ชาวสวนต่อไป
"คุณลุง นี่ตัวอะไรครับ" เด็กน้อยชี้ไปที่ใบไม้มีแมลงตัวใหญ่สีดำเกาะอยู่
"มันคือด้วงกว่างครับ เป็นด้วงปีกแข็ง ตอนเด็กลุงเคยเอาตัวที่มีเขายาวๆ มาชนกัน" เขาหยิบตัวด้วงที่เด็กน้อยถามขึ้นมา "ลองจับดูสิครับ"
"อะ ฮ๊าๆ จั๊กจี้คครับ มันกัดไหมครับ" เด็กน้อยจับอย่างกล้าๆ กลัว หัวเราะคิกคักพอใจที่ได้จับ
ในวันหยุดเกือบทุกอาทิตย์อาเหลียงจะขับรถไปรับพ่อหนุ่มน้อยภูริกับแม่เอยมาเที่ยวชมสวนผลไม้ เป็นสถานที่ที่ภูริชอบมากๆ ดีใจทุกครั้งที่ได้มา ดีใจที่ได้มาเจอสัตว์แปลกๆ ที่ไม่รู้จักได้มาสัมผัสกับธรรมชาติกินผลไม้สดๆ จากสวนอร่อยๆ และที่สำคัญคุณลุงใจดีมาก
ภูริรักคุณลุงครับ