เมื่อมาถึงที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย ทั้งสองคนก็เดินไปซื้อด้วยกัน นนท์ไปสั่งกาแฟไว้สองแก้วแล้วรอรับมา ส่วนน้ำมนต์เธอเดินไปดูขนมเค้กให้ชายหนุ่ม
“เค้กส้มชั้นหนึ่งค่ะ มะพร้าวอีกชิ้นหนึ่ง”
“เป็นสองชิ้นนะคะ”
“ค่ะ”
เธอตอบรับก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังเดินมาหาเธอ
“ไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง ได้แล้วนั่งรอนะ”
“ได้ค่ะ”
เธอยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปนั่งรอที่โต๊ะ จู่ๆก็มีผู้ชายหน้าตาดีเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ น้ำมนต์เงยหน้ามองเขาก่อนจะนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจ
“น้ำมนต์ใช่มั้ย”
เธอพยักหน้าเล็กน้อยมองเขาอย่างระแวง ทำไมถึงรู้จักชื่อของเธอล่ะแล้วเขามาหาเธอมีอะไรรึเปล่า
“ค่ะ ว่าแต่มีอะไรรึเปล่าคะ”
“พี่ชื่อภูมิเป็นพี่ชายคนละแม่กับเราไง”
น้ำมนต์อ้าปากค้างอย่างตกใจ นี่เขาเล่นตลกอะไรถึงได้มาพูดจาไร้สาระอะไรแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาทั้งชีวิตเธอยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยซักครั้ง แล้วจะมีพี่ชายต่างแม่ได้ยังไงคงมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ
“คงมีอะไรเข้าใจผิดค่ะ คือหนูไม่มีพ่อ”
“มีสิ ไม่เชื่อไปถามน้าน้ำผิงดู คุณน้าเจอพ่อตลอดแต่คงไม่ได้บอกเราเฉยๆ”
“ไม่จริงค่ะ คุณเอาอะไรมาพูด”
น้ำมนต์ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อคำพูดของเขา ถ้าแม่ได้เจอพ่อท่านจะต้องบอกเธอแล้ว อีกอย่างผู้ชายตรงหน้าแต่งตัวดูดีแบรนเนมทั้งตัว ถ้าเราสองคนมีพ่อคนเดียวกันจริงๆคงไม่ปล่อยให้เธอกับแม่ลำบาก
“มันคือเรื่องจริง น้องอยากเจอรึเปล่าพี่พาไปได้นะ”
“ไม่ค่ะ น้ำมนต์ว่าคงมีอะไรเข้าใจผิด ถ้าเรามีพ่อคนเดียวกันจริงทำไมถึงปล่อยให้เราสองคนลำบากมาทั้งชีวิต”
“ก็คุณน้าไม่ยอมรับความช่วยเหลือ ลองถามแม่เราดูสิว่าเราสองคนมีพ่อคนเดียวกันจริงรึเปล่า”
น้ำมนต์มองเขาด้วยแววตาสั่นไหว มันสับสนไปหมดไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ ตลอดชีวิตเธอไม่เคยถามแม่เรื่องพ่อเพราะกลัวว่าท่านจะเสียใจ และตอนนี้เธอมีความสุขดีกับชีวิตที่เป็นอยู่
“มีอะไรเหรอน้ำมนต์”
นนท์ที่ไปห้องน้ำเดินกลับมาเจอหญิงสาวกำลังคุยกับชายแปลกหน้าอยู่ เขาดึงตัวเธอมาใกล้ก่อนจะเอ่ยถามเสียงห้วน
“ปะ..เปล่าค่ะ”
“นี่นามบัตรพี่ อยากรู้อะไรโทรมาแล้วกัน”
เขาส่งนามบัตรของตัวเองมาให้เธอ น้ำมนต์ยื่นมือไปรับมาก่อนจะหันไปมองหน้าเขาด้วยความสงสัยในสิ่งที่เขาบอก เขาดูไม่โกหกเลยซักนิดเดียวนั่นทำให้เธออยากรู้สิ่งที่มันเกิดขึ้นในอดีต นนท์ที่เห็นน้ำมนต์รับนามบัตรของชายแปลกหน้ามาก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ไปได้ละเดี๋ยวเรียนไม่ทันหรอก”
เขาดึงมือน้ำมนต์ให้เดินตามมา เธอหันไปมองหน้าภูมิอีกครั้งก่อนจะหันกลับไปเก็บความสงสัยไว้ภายในใจ เรื่องนี้แม่คงตอบเธอได้ นนท์เดินไปเอากาแฟที่สั่งไว้ก่อนจะพาเธอไปขึ้นรถทันที ผู้ชายคนนั้นยังอยู่ในร้านมองตามทั้งสองคนมาด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ออก
“รู้จักหรือไง”
“คะ.. คนเมื่อกี้เหรอคะ”
เขาจ้องหน้าเธอไม่พูดอะไร มองอย่างกดดันให้เธอตอบในสิ่งที่เขาถาม
“ใคร…”
“ไม่รู้สิคะ เขาคงทักคนผิด”
เธอเอ่ยออกมาตัดบท ไม่อยากจะบอกเขาเรื่องนี้เพราะเธอก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรดีพอ คงต้องถามแม่ก่อนซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้คำตอบรึเปล่าเพราะท่านก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยซักครั้งเดียว
“เธอกำลังโกหกฉันอยู่นะ”
“ไม่รู้จักจริงๆค่ะ สาบานได้เลย”
เขามองเธออย่างจับผิดแต่แววตาก็ไม่ได้โกหกเลยซักนิด เขาคงคิดมากไปเองแหละมั่ง
“แล้วไป ว่าแต่เขาให้นามบัตรมาทำไม เอาไปทิ้งเลยนะไม่ต้องไปติดต่อ ไม่รู้จักก็ไม่ต้องติดต่อเข้าใจมั้ย”
“ค่ะ”
น้ำมนต์ยิ้มแห้งก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม เธอกำนามบัตรไว้แน่นก่อนจะค่อยๆเอาใส่ไว้ในกระเป๋า ยังทิ้งตอนนี้ไม่ได้เธอจะต้องรู้ความจริงทุกอย่างก่อน นนท์วนรถเข้ามาจอดหน้าคณะเพื่อส่งหญิงสาวไปเรียน
“ตั้งใจเรียนล่ะ แล้วก็อย่าลืมขอหนังสือฝึกงานแล้วไปยื่นที่ฝ่ายบุคคลด้วย”
“รับทราบค่ะเฮีย”
“ก็แค่นี้ กวนประสาทให้วุ่นวายทำไมก็ไม่รู้”
เขาทำมือเป็นเชิงไล่ให้หญิงสาวลงไป เธอเดินลงไปก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ชายหนุ่ม เขาส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะขับรถออกไปทันที ใช้เวลาถึงที่ทำงานไม่เกินสิบนาทีเขาจอดรถแล้วเดินขึ้นลิฟต์ผู้บริหารเข้าห้องทำงานไป
“สวัสดีค่ะเฮียนนท์”
“สวัสดีครับคุณเลขา มีงานไรบ้างวันนี้”
“มีเอกสารที่ต้องเซ็นค่ะแต่ว่าไม่ได้มากอะไร แล้วก็จะให้เฮียนนท์ตรวจเอกสารสัญญาที่ต้องเซ็นสัญญากับทางค่ายเกาหลีอีกครั้ง พอดีว่าคุณเจมส์ให้แก้คำผิดนิดหน่อยค่ะ”
“อ่าๆ”
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน เลขาถือแฟ้มเอกสารหลายแฟ้มวางให้เจ้านายบนโต๊ะทำงาน
“นี่สัญญานะคะ ส่วนนี่เอกสารเบิกจ่ายออกกองถ่ายของพวกผู้กำกับค่ะ”
“โอเค วันนี้คงไม่มีอะไรชิวๆไปแล้วกันเนาะ”
“ค่ะ”
เลขายิ้มกว้างออกมาก่อนจะเดินไปเตรียมน้ำเย็นใส่แก้วประจำตัวของเฮียนนท์แล้วเอาไปทิ้งไว้ให้เขาที่โต๊ะ ชายหนุ่มนั่งอ่านเอกสารไปพลางๆก่อนจะชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้ำมนต์เอาอะไรบางอย่างใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูท
“เครื่องรางแห่งความโชคดีอย่างนั้นเหรอ”
เขาหยิบขึ้นมาดูก่อนจะเพ่งมองว่ามันคืออะไร ยัยเด็กนี่คลั่งของพวกนี้มากเลยนะ แถมยังชอบดูดวงให้เขาทักนั่นนี่ไม่หยุด
“ของแค่เนี่ยจะทำให้ฉันโชคดี ถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริงๆป่านนี้คนบนโลกนี้คงพกติดตัวไว้เต็มไปหมดแล้ว ไร้สาระ”
เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับยัยเด็กจอมยุ่ง เขากำลังจะเก็บไว้ตามเดิมก็มีเสียงเคาะประตูจากข้างนอกดังเข้ามาเสียก่อน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
เจมส์เปิดประตูเข้ามาเดินถือโทรศัพท์ด้วยท่าทีเร่งรีบ สีหน้าดูดีแปลกๆจนเขาสงสัย
“เป็นอะไรยิ้มแก้มปริมาเชียว”
เขาเอ่ยถามผู้ช่วยอย่างแปลกใจ เจมส์ลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามกับเขาก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วเงยหน้ามาคุยกับเขาด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ทางผู้ช่วยของประธานค่ายGDของเกาหลีติดต่อมาครับบอกว่าตอนนี้ถึงที่ไทยแล้ว พรุ่งนี้จะเข้ามาเซ็นสัญญาพร้อมกับคุยเรื่องโปรเจคใหม่ เห็นว่าจะจัดรายการค้นหาบอยแบรนด์หน้าใหม่ไปเดบิวที่นั่นครับ เขาอยากได้คนไทยและจะให้ทางเราเป็นคนจัดการ”
นนท์ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้น นี่คือข่าวดีที่สุดในรอบหลายปีเลยนะ ได้เซ็นสัญญาไม่พอยังได้งานเพิ่มมาอีก โชคดีสุดๆ
“ข่าวดีมากในรอบปีเลย”
“นั่นสิครับ แล้วเฮียจะให้ผมเตรียมอะไรบ้างครับ”
“เตรียมทุกอย่างให้พร้อมตามที่เคยสั่ง อาหารก็ที่เดิมแต่เพิ่มเครื่องดื่มเข้าไปอีกสองสามอย่าง รีบไปจัดการได้แล้วเดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จจะไปช่วย”
“ได้ครับเฮีย”
เขายิ้มออกมาอย่างดีใจสุดขีด รีบหันไปเซ็นเอกสารต่อให้แล้วเสร็จจะได้ไปเตรียมการเซ็นสัญญาต่อ วันนี้วันที่โชคดีที่สุดของเขาเลยให้ตายสิ ถ้าพรุ่งนี้เซ็นสัญญาเรียบร้อยคงต้องพาทีมงานไปฉลองซักหน่อย