ตอนที่ 3 อดีตที่อยากจะลืม 2
SOFUS: TALK
สายฝนที่ต่างโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอันแสนกว้างใหญ่ที่ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางไหนก็เห็นแต่ความมืดครึ้มสีเทาปนดำทั่วไปหมด
มันเป็นสีแห่งความเศร้าหมองดูไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลยแต่ทำไมคนอย่างผมถึงชอบมันนะหรือเพราะว่ามันเป็นสีที่สามารถปกปิดความรู้สึกของตัวเองไม่ให้แสดงออกไปได้
ผมยืนมองออกไปภายนอกจากกระจกบานใหญ่และหนาภายในห้องทำงานของตัวเองที่อยู่ชั้นบนสุดของห้าง MISCREANT เป็นห้างของพวกผมกลุ่ม 5 MISCREANT ได้ร่วมหุ้นกันสร้างขึ้นมาเพียงเพราะแค่อยากทำธุรกิจแค่นั้นไม่เคยคิดเลยว่ามันจะได้ผลตอบรับที่มากล้นจนผลกำไรของแต่ละปีสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง
เพราะเหตุนี้ละมั้งไอ้เพื่อนเวรพวกนั้นมันถึงทิ้งให้ผมบริหารอยู่แค่คนเดียวส่วนพวกมันกลับสุขสำราญกับธุรกิจของตัวเองแล้วคอยแต่อ้างว่าเบื่อกับพวกตัวเลขบ้าง เบื่อพวกพนักงานสาวๆ บ้าง ที่เอาแต่มองและสิ่งที่พวกมันใช้อ้างโดยไม่มีเหตุผลเลยนั่นก็คือว่าเพราะผมเป็นคนที่เย็นชาทำอะไรต้องเนี๊ยบพูดคำไหนคำนั้น
พนักงานจึงเกรงใจผมมากเหมาะที่เป็นผู้บริหาร
ดูข้ออ้างร้อยแปดของพวกมันสิครับไอ้พวกเพื่อนเวรของผม ส่วนพวกมันจะมาหาผมก็เป็นบ้างครั้งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าคนอย่างผมไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเองนะ
ผมก็มีเหมือนกัน
ผมไม่ชอบเลยที่จะอยู่นิ่งๆ เหมือนคนไม่มีอะไรจะทำแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ชอบทำให้จิตใจของผมฟุ้งซ่าน ชอบคิดถึงแต่พวกเรื่องเดิมๆ อยู่เสมอ
มีคนเคยบอกว่าสิ่งที่ตัวเราพยายามที่จะลืมมันให้ได้แต่ทำไมเรากลับจำมันได้จนขึ้นใจส่วนสิ่งที่พยายามจำมันกลับลืมได้ มันคงจะถูกสำหรับความคิดของผม ทำไมผมถึงจำสิ่งนั้นได้ขึ้นใจตัวเองเลยนะ
จำได้ไม่มีวันลืม
“ทำไมยังไม่ลืม...”
ผมมองออกไปดูบรรยากาศภายนอกก่อนที่จะพูดเปรยออกมาเบาๆ กับเรื่องนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ทำไมผมยังคิดถึงมันอยู่เสมอ ในหัวของผมคิดถึงแต่เรื่องของผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงที่เคยทำให้ผมรู้ว่าความรักเป็นยังไง เธอเป็นคนแรกที่เป็นคนสอนผมให้ได้รู้จักกับเรื่องแบบนี้ เธอเป็นกำลังใจให้ผมในทุกๆ เรื่อง รอยยิ้มที่แสนสดใสที่เธอยิ้มให้กับผมมันเป็นกำลังใจอย่างดีเลย
เมื่อผมเหนื่อยจากเรื่องต่างๆ นั้นเธอก็จะคอยปลอบใจอยู่เสมอแต่เรื่องมันก็ไม่เป็นแบบนั้น ความสุขมันอยู่กับผมได้ไม่นาน ไม่ยั้งยืนเหมือนกับคนอื่นๆ
เธอจากผมไปเมื่อสามปีก่อน...
สามปีก่อน
ตอนนั้นผมอายุเพียงแค่ยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้นวันหนึ่งผมได้จัดเจอเพื่อนตัวเองในกลุ่มทั้งห้าคนไปนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งคลับ ร้านอาหารแถวนี้เป็นที่นิยมของวัยรุ่นและไอ้พวกเสี่ยๆ ทั้งหลาย
“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ”
มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นสาวเสิร์ฟเข้ามาเสิร์ฟอาหารที่พวกผมสั่ง เมื่อผมมองการแต่งตัวของเธอมันต่างจากสาวเสิร์ฟคนอื่นๆ มาก
เธอสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนขายาวเท่านั้น หน้าตาก็ไม่แต่งจัดจ้านเหมือนกับคนอื่นๆ
“เจนิสเธอไปเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะห้าแทนฉันหน่อยสิ ฉันปวดท้องน่ะขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
เจนิส?
ผมรู้ชื่อของเธอแล้ว
ในขณะที่ผมได้แต่มองเธออยู่ก็มีเพื่อนของเธอเข้ามาพูดกับเธอเพื่อขอให้เธอไปเสิร์ฟโต๊ะห้าซึ่งโต๊ะนั่นเป็นไอ้เสี่ยเ*******ูตัณหากลับอยู่ ดูก็รู้ว่าเธอถูกเพื่อนตัวเองหลอกเข้าแล้ว อยากดูต่อจริงๆ ว่าเธอจะเชื่อหรือป่าว?
“ได้สิจ๋า เดี๋ยวฉันไปเสิร์ฟแทนให้นะ ขอจัดการโต๊ะนี้ก่อน”
นั้นไง?
เธอเชื่อจริงๆ ด้วย
ทำไมถึงได้เป็นคนที่ซื่อบื้อได้ขนาดนี้วะ ดูแค่นี้ก็รู้ทำไมยังดูไม่ออกอีกหรือไงเมื่อเธอเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะผมเสร็จก็เดินออกไป
“มองอยู่ได้วะ สนใจหรือไงไอ้เชี่ยโซฟัส”
เสียงของไอ้แวนเดอร์พูดขึ้นมาพร้อมกับมองมายังผม ผมเพียงแค่ยิ้มให้กับมันไม่ได้สนใจอะไรนัก ก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต่อ
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากโต๊ะด้านหลังของผม
“เพล้ง!”
อ๊าก!
“นังนี่กล้าดียังไงถึงมาทำคนอย่างข้า!”
เสียงของไอ้เสี่ยเฒ่าคนหนึ่งโวยวายขึ้นมาเสียงดังกู่ก้องร้านทำให้คนแถวๆ นั้นต่างพากันหลบหลีกหนีเพราะความกลัว เว้นเพียงแต่กลุ่มของผมเท่านั้นที่ยังนั่งทานข้าวต่อด้วยความไม่สะทกสะท้าน
ผมเดาได้โดนไม่ต้องหันกลับไปมองให้เสียเวลาไอ้เสี่ยคนนั้นคงโดนผู้หญิงที่ชื่อเจนิสเอาอะไรอย่างหนึ่งทุ่มลงบนหัวแน่
“ปล่อยฉันนะไอ้เฒ่าหัวงู ปล่อย! ช่วยด้วยค่ะ ช่วยที ใครก็ได้ช่วยด้วย ผู้ชายคนนี้เขาลวนลามฉัน เมื่อกี้เขาจับก้นฉันด้วย”
เจนิสพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ที่มองอยู่รอบนอกตัวเธอ ในขณะที่มีชายคนหนึ่งพยายามเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ ไอ้เสี่ยคนนั้นก็พูดขึ้นมา
“อย่ามายุ่งนังนี่มันเด็กของข้าดื้อจริงนะแอบหนีมาเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นใช่ไหม?”
คำพูดของเจนิสมันไม่ได้ผลเมื่อไอ้เสี่ยเ*******ูคนนั้นกับกระชากแขนของเธอก่อนที่จะเดินออกจากร้าน
“ไม่จริงนะคะ ฉันไม่ได้เป็นเด็กเขาไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำแล้วฉันทำงานอยู่ที่ร้านนี้ไม่ได้หนีออกมาเที่ยวอย่างที่เขาพูด ช่วยฉันด้วยนะคะ ช่วยด้วย!”
เสียงอันสั่นเครือของเธอลั่นวาจาออกมาอีกครั้ง รู้ได้ทันทีว่าเธอจะต้องร้องไห้อยู่แน่ในขณะนี้เพราะดูท่าทางจะไม่มีใครฟังที่พูดเลย
“จะเอาเมียกูไปไหน!”
จนกระทั่งในขนาดนี้ความอดทนของผมได้หมดลงแล้ว ผมจึงตะคอกขึ้นไปแบบนั้น
ความจริงผมไม่ชอบเสือกเรื่องของคนอื่นหรอกแต่กับเธอแล้วผมยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมประทับใจไม่น้อย ไม่แต่งตัวโป๊เปลือยทำตัวติดดิน ผมลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเองก่อนจะเดินไปประจันหน้ากับไอ้เสี่ยคนนั้นอย่างเปิดเผยแต่ยังไม่วายได้ยินไอ้เพื่อนเวรของผมพูดขึ้น
“คราวนี่ไอ้โซฟัสเอาจริงวะ” ไอ้เทลพูด
“รักแรกพบของมันป่าววะ” ไอ้แวนเดอร์พูด
“มันแอบซุกเมียไว้หรือวะ” ไอ้คิวพีพูด
“คนอย่างมันจะเป็นพลเมืองดีโดยไม่หวังผลยากวะ” ปิดท้ายด้วยไอ้รูธพูด
พอเจนิสเห็นผมก็สะบัดแขนออกจากการจับกุมของไอ้เสี่ยนั้นหลุดก็วิ่งมากระชากแขนของผมทันที
“ช่วยฉันด้วย ฉันไม่ได้เป็นเด็กเขานะ”
เธอรีบพูดก่อนจะกระชากแขนผมด้วยความขอร้อง
“ยุ่งอะไรด้วยวะไอ้หนู!” เสียงไอ้เสี่ยตัณหากลับที่อยู่ตรงหน้าผมถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“แล้วยุ่งอะไรกับเมียกูวะ!”
เสียงของผมตอบกลับบ้างแล้วก็ส่งสายตาไปให้มันด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่ผมพูดไปแล้วนะว่าเธอคนนั้นเป็นเมียของผมแต่พวกมันก็ไม่ถอย แถมยังพูดขึ้นมาอีกครั้งในเชิงคำสั่ง
“ถ้าไม่อยากมีเรื่องส่งนังนั้นมาให้ข้า!”
ไอ้เสี่ยตัณหากลับคนเดิมพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่กูอยากมีถ้าไม่อยากเข้าโลงตอนนี้ก็รีบไสหัวไปซะ”
ผมตอบพวกมันไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนกว่าเก่าด้วยแรงโทสะที่เริ่มจะมากขึ้นแล้วผมยังไม่รู้ว่าจะควบคุมมันได้ขนาดไหน
“งั้นมึงก็ได้มีสมใจแน่แน่ไม่ใช่กับข้าแต่เป็นลูกน้องข้าต่างหาก เฮ้ย! มานี่หน่อย”
ไอ้เสี่ยตัณหากลับคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดอย่างเหนือกว่าส่งมาให้กับผมก่อนที่มันจะเรียกลูกน้องทั้งสามคนให้วิ่งเข้ามาหา บอกได้เลยว่ามันกระจอกสำหรับคนอย่างผม
พวกมันคงยังไม่รู้สินะว่าผมเป็นใคร ร้ายกว่า เลวกว่า พวกมันขนาดไหน ทำไมต้องกลัวเพียงแค่ลูกน้องกระจอกสามคน!
“ครับเสี่ย มีอะไรให้พวกผมรับใช้ครับ”
“จัดการไอ้หน้าอ่อนนี้หน่อยมึงไม่ตายดีแน่ไอ้หนูเพราะลูกน้องข้าแต่ละคนเก่งด้านต่อสู้ทั้งนั้น ฮ่าๆ”
ผมเกือบจะตอบพวกมันไปแล้วแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีมือเล็กๆ เข้ามากระชากที่ต้นแขนใหญ่ของตัวเอง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้น
“นายแบบนี้ไม่ไหวหรอก หนีเถอะสู้ไปก็เจ็บตัวเปล่าๆ นะ ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉัน”
ผมมองลงไปที่ตาของเธออย่างอัตโนมัติ สายตาเธอมีแววความเป็นห่วงและความกลัวอยู่อย่างชัดเจน
ดวงตาระริกระรี่ตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา
“เธอกลัวหรออยู่ข้างหลังไว้ก็แล้วกัน”
นี่เป็นคำพูดของผมที่ออกมาจากปากตัวเองเป็นประโยคแรกพร้อมกับนำมือของตัวเองไปจับไว้ที่แขนของเธอเบาๆ ก่อนจะกระชากให้เธอมาหลบอยู่ข้างหลังผมเอาไว้เพื่อที่ว่าจะได้ปลอดภัย
“ได้ครับเสี่ย เฮ้ย! พวกเราลุย!”
ทันใดทันผมก็ได้ยินเสียงไอ้พวกลูกน้องของไอ้เสี่ยตัณหากลับคนนั้นพูดขึ้นก่อนที่จะตรงเข้ามายังผม
ผมอยากจะจบปัญหานี้เร็วๆ ไม่อยากให้ร้านของคนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วยเรื่องแบบนี้และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือผมไม่อยากให้คนข้างหลังของผมต้องกลัวจนตัวสั่นจึงตัดสินใจเอามือไปคว้าวัตถุสีดำข้างหลังออกมาสับไกก่อนที่จะเล็งไปยังไอ้พวกนั้นทันที
กรื๊ก!
“พวกมึงเข้ามาตาย!”
เสียงเย็นชาของผมพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาที่แน่วแน่ไปยังพวกมันให้รับรู้ความถ้าเข้ามาผมยิงจริง
“เฮ้ยไอ้โซฟัส เอาจริงหรอกวะ”
เสียงของไอ้เทลพูดขึ้นมาจากด้านหลังของผมพร้อมกับเดินขึ้นมายืนแนบข้างของตัวผมเอง
“เออเอาจริงวะไอ้เทล”
ผมจึงตอบไอ้เทลกลับไปมันคงรู้ดีว่าผมอยากจบปัญหานี้เร็วๆ ไม่อยากให้มันยืดยื้อให้เสียเวลา
“งั้นกูเอาด้วยวะ” เสียงไอ้เทลตอบมา
“น่าสนุกดีวะ” ต่อด้วยเสียงไอ้คิวพี
“แบบนี่กูชอบ” เสียงไอ้แวนเดอร์
“เอาถึงขั้นตายไหมวะ”
ปิดท้ายด้วยไอ้รูธ พวกมันเดินขึ้นมายืนในระนาบเดียวกับผมเหมือนกับยืนหน้ากระดานพร้อมกับสับไกปืนเล็งไปยังไอ้พวกนั้นทันที
กริ๊ก!
“เฮ้ย! ไอ้โซฟัสพาผู้หญิงไปก่อนเถอะวะ เดี๋ยวทางนี้พวกกูเคลียเอง” เสียงของไอ้แวนเดอร์บอกกับผม มันไม่อยากให้เจนิสเห็นความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น
“เอางั้นหรอวะไอ้แวนเดอร์” ผมย้ำถามไอ้แวนเดอร์ทันที
“เออ ไปเถอะพวกกูจัดการได้สบาย”
เมื่อได้ยินสียงของไอ้แวนเดอร์ตอบกลับมาผมก็รีบคว้าแขนของเจนิสที่อยู่ข้างหลังของผมเดินออกมาจากเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทันที ผมลากเธอเดินมายืนใกล้รถของตัวเองก่อนจะถามเธอขึ้น
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“เอ่อ .. ฉะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอกว่าแต่นะ นายเก็บปืนก่อนดีไหม?”
เสียงของเธอตอบผมอย่างกับคนติดอ่างก่อนที่จะใช้นิ้วมือตัวเองชี้ไปทางปืนที่อยู่ในมือผมผมจึงรู้สาเหตุที่เธอพูดติดอ่างทันทีก็เพราะว่าเธอกลัวปืนที่อยู่ในมือของผมทันที
ผมจึงรีบเก็บปืนไปเหน็บเก็บไว้ที่เอวก่อนที่จะเห็นท่าทางของเธอมันก็เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผมได้ ผมจึงถามขึ้น
“กลัวหรอ?”