ตอนที่ 1
1
“จะไปไหนมุกลดา”
เสียงดุเข้มเรียกคนตัวเล็กรูปร่างเพรียวบางในชุดสีงาช้าง ขับผิวออกสีน้ำผึ้งให้ดูเด่นใสขึ้น จนแขกเหรื่อที่ได้เห็นต่างก็ชื่นชมและยินดีที่เขาได้ภรรยาที่แสนจะน่ารักน่าใคร่ ตอนนี้เธอชะเง้อคอยาวจนแทบจะเป็นยีราฟ เหลียวซ้ายแลขวาท่าทางหลุกหลิกลุกลี้ลุกลนอย่างกับเด็กแอบไปทำอะไรผิดมา แล้วกลัวจะมีคนจับได้ ค่อยๆ สืบเท้าเลี่ยงหนีแขกที่มาอวยพรในงานออกมาทางประตูด้านข้างห้องจัดเลี้ยงอย่างไม่ทำตัวให้เป็นที่สังเกตของคนในครอบครัว ซึ่งก็มีเพียงแค่บิดาเท่านั้น ที่มาอวยพรโดยไม่ได้มีสีหน้าแช่มชื่นยินดีกับงานมงคลเลยสักนิด
ส่วนคนอื่นๆ มารดาเลี้ยงก็อยู่โยงเฝ้าไข้น้องชายคนละแม่ที่โรงพยาบาล ในขณะที่มารดาตัวจริงนั้นไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้คงกำลังสนุกอยู่กับงานและเขาคนสำคัญอย่างเขาที่ยืนเคียงข้าง
คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกจนแทบจะกระโดดไปมุดใต้โต๊ะ หัวใจเต้นตึกตักรัวเร็วราวกับจะร่วงหล่นลงมาจากที่สูง ดวงหน้ารูปหัวใจซึ่งตกแต่งไว้อย่างดี งดงามและประณีตเหมาะสมกับงานสำคัญเหลียวมองตามที่มาของเสียงอย่างหวาดหวั่น พร้อมรอยยิ้มแหยๆ ที่มาพร้อมใบหน้าซีดเผือดลงพอๆ กับปลายมือปลายเท้าชื้นเหงื่อ เย็นยะเยือกขึ้นมาราวกับว่าเธอยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง
ดวงตากลมโตล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนเบิกกว้างคล้ายคนถูกผีหลอกจนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกในตอนนี้คืออ่อนล้าสลับไหววูบด้วยความกังวล หัวใจร่ำๆ จะหยุดทำงานเสียแล้วหลายครั้งหล่นตุ้บไปกองอยู่ปลายเท้ากับเสียงห้าวทรงอำนาจและดุกร้าวที่ดังไม่ไกลจากตัวสักเท่าไหร่
อยากบอกว่าไม่ได้ไปไหนสักหน่อย แต่...กลีบปากอิ่มนุ่มเป็นสีชมพูระเรื่ออยู่แล้วถูกเสริมทับด้วยลิปสติกสีชมพูเข้มสวยสดและมันวาว ขบเม้มเข้าหากันด้วยหาเสียงพูดไม่เจอ ในทรวงอึดอัดคล้ายถูกบีบคั้นจากมือซึ่งมองไม่เห็น จนคิดว่าถ้าหากยืนอยู่ตรงนี้อีกเพียงแค่นิด เธออาจจะเป็นลม เพราะหายใจไม่ออกก็เป็นไปได้ ห้องโถงกว้างใหญ่แต่เธอรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ในกล่องแคบ ๆ ราวกับโลงศพ
ปกติไม่ใช่คนขี้กลัวนะ แต่ตอนนี้...ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างติดขัดกับรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่กระจายมา ดวงตาหลุบลงมองเพียงแค่อกกว้างของร่างหนาล่ำบึกบึนราวกับหมียักษ์จากขั้วโลกเหนือ ในชุดสูทสากลสีดำสนิท ยืนจังก้าราวกับจะข่มร่างเพรียวบางด้วยความสูงเพียงแค่ร้อยหกสิบนิดๆ ให้เล็กเท่ามดดำ
ตาสีนิลเข้มดุกร้าวกราดเกรี้ยวเต็มไปด้วยเพลิงไฟเจิดจรัส เสริมด้วยวงหน้าคมเข้มสีน้ำตาลไหม้อย่างคนทำงานกลางแดดจัดๆ ตลอดเวลา สำทับด้วยไรหนวดไรเคราซึ่งขึ้นรกครึ้มไล่จากใต้หูลงมาถึงปลายคางจรดใบหูอีกฝั่ง ยิ่งเป็นการเน้นใบหน้าถมึงทึงให้ดูน่ากลัวขึ้นอีกเป็นหลายเท่า
คนถูกเรียกอยากยืดอกแฟบๆ อย่างกับอกไข่ดาวมองสบสายตาคนเรียกด้วยท่าทางองอาจกล้าหาญ และพูดจาโต้ตอบไปอย่างฉะฉานด้วยน้ำเสียงอันดังไม่แพ้กันอย่างไม่เกรงกลัว
‘ฉันจะไปให้พ้นๆ หน้าคุณไงไอ้คุณหมียักษ์’ แต่ก็ไม่อาจหาญสู้ประกายนัยน์ตาสีนิลคมกริบราวกับพญาเหยี่ยวบนเวหา และรัศมีแห่งอำนาจบาตรใหญ่ซึ่งแผ่กระจายมาได้ จำใจก้มหน้างุดมองหัวรองเท้าที่สะกิดพื้นพรมนุ่ม ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ หูทวนลม ไม่ตอบคำถามไปเสียเฉยๆ
‘อยากถามก็ถามไป จะไม่ตอบซะอย่าง มีอะไรไหม’
“ว่าไง จะไปไหน”
เสียงแข็งดุกร้าวดังแทรกเสียงเพลงรักหวานๆ ตามมาอีกระลอก แต่สาวน้อยร่างแบบบางกลับทำเหมือนว่าคำพูดนั้นเป็นเพียงแค่เสียงสายลมพัดผ่านไป
‘ก็ไม่อยากตอบนี่นา ใครจะทำไมล่ะ’
จมูกเล็กโด่งย่นตวัดใส่คนถาม เมื่อกี้เห็นคุยอยู่กับใครก็ไม่รู้ อยู่ไกลกับเธอตั้งหลายเมตร จนคิดว่าเขาไม่สังเกตเห็นแล้วนะ แต่พอขยับใกล้ถึงประตูเท่านั้นแหละ ดันตามมาเสียได้ แล้วอย่างนี้เธอจะทำไงล่ะทีนี้ เวลาก็งวดมาแล้ว ขืนยังออกจากงานไม่ได้ มีหวังคืนนี้ตายแหงๆ แค่อยู่ใกล้แค่นี้ ขนตามเรือนกายยังลุกชันเลย
นับแต่วินาทีแรกที่ได้สบตากับอีกฝ่าย ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ หน้าตาของพายุไม่ได้หล่อเหลาอย่างชายอีกคนซึ่งเธอแอบชอบอยู่ ทว่าหน้าตาออกคมสันและแกร่ง รัศมีแห่งอำนาจแผ่กระจายมาทำให้หัวใจเธอทำงานผิดจังหวะได้ไม่น้อยเหมือนกัน
หน้าตาเลยขยันแดงบ่อยมากถึงมากที่สุด อยู่ใกล้ๆ แล้วทำอะไรไม่ค่อยจะถูก แม้กระทั่งมือก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ตรงไหนดี มันเกะกะไปเสียหมด ยามยืนเทียบกัน ความสูงใหญ่ข่มให้เธอกลายเป็นมดตัวเล็กๆ ได้ในพริบตา ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะแพ้ตั้งแต่ไม่ทันออกสนามรบเลยด้วยซ้ำ รับไม่ได้ค่ะ...รับไม่ได้อย่างแรงเลยทีเดียวละ
เมื่อคำถามที่เอ่ยออกไปแล้วไม่ได้รับคำตอบกลับมา ก็ทำให้คนถามหงุดหงิดจนผิวหน้าสีน้ำตาลเข้มขึ้นพอๆ กับประกายในดวงตาดุกร้าว ทอดสายตามองแม่สาวตัวเล็กอย่างจะห้ามปรามอยู่ในที หากคิดทำอะไรก็ให้ระลึกให้ดีว่าตัวเองอยู่ตกอยู่ในสภาพใด
นับตั้งแต่ได้ข่าวไม่สู้ดีก่อนวันงานเพียงแค่วันเดียว มีคนเห็นมุกลดาเดินทางขึ้นรถโดยสารไปกรุงเทพฯ ตอนแรกเขาคิดว่าอาจต้องหน้าแตก อายคนทั้งเมืองสายหมอกแห่งนี้แล้ว เพราะไม่มีเจ้าสาวในวันจัดงานพิธี ทว่าพอเช้ามาก็มีแม่สาวน้อยร่างเพรียวบางในชุดไทยประยุกต์สีงาช้าง ชุดน่ะสวยเข้ารูปเหมาะกับเจ้าสาว ขับผิวสีน้ำผึ้งให้นวลเนียนผ่องพรรณมากยิ่งขึ้น แต่ใบหน้าของเจ้าสาวนะซิ บูดบึ้งหงิกงอราวกับว่าเธอไปสับเปลี่ยนหน้ากับสุนัขพันธุ์ปั๊กมาอย่างนั้นแหละ
ก็รู้อยู่หรอกนะ ไม่ได้อยากแต่งงานด้วย เขาก็แค่คนหวังดีที่เดินผ่านเข้ามา เสนอทางให้เลือกโดยไม่มีการบังคับ ฉันเสนอไปแล้ว เธอต้องทำตามนะ การตัดสินใจทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวมุกลดานั่นแหละ
แต่ก็ต้องยอมรับนิดหนึ่ง เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านเข้ามาบังคับอยู่ในที ทำให้มุกลดาเลือกเส้นทางนี้ แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ควรจะทำใจ ไม่ใช่จะมาโยนความผิดให้และมาทำท่าทางไม่พอใจใส่เขาอยู่อย่างนี้
นับตั้งแต่เห็นเจ้าสาวร่างเพรียวบางร่างอ้อนแอ้นราวกับนางอัปสร เพียงแค่แวบแรกที่ได้ประสบพบหน้า สบกับสายตากลมโตราวกับตากวางตื่นภัยที่มองราวกับเขาเป็นสัตว์ร้ายอันน่าเกลียดน่าขยะแขยง ล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนที่ทำให้หัวใจกระตุกไหวโดยไร้สาเหตุ
เป็นอะไรที่แปลกมาก ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอกับมุกลดา เคยเจอหลายครั้งตอนหญิงสาวไปเยี่ยมน้องชายที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกแค่เฉยๆ น่ะ ต่างกับคราวนี้ที่เขารู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป บางอย่างสะกิดใจอยู่มิใช่น้อย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทว่าสิ่งหนึ่งที่รู้ก็คือ...
ดวงตากลมโตทอประกายแข็งกร้าวและเกรี้ยวกราด ทุกครั้งยามสบสายตาด้วย ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ความตื่นกลัวแซมรังเกียจ แต่มีความเจ้าเล่ห์ที่แอบซุกซ่อนเอาไว้โดยปิดไม่มิด ทำให้เขาไม่ไว้วางใจ รู้สึกเธอจะฤทธิ์มากและมีลับลมคมใน จนต้องคอยจับตามองไม่ให้คลาดคลา
ท่าทางลุกลี้ลุกลนและเหลียวมองไปที่ประตูห้องอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเพิ่มความสงสัย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ทำไมเธอถึงมองแต่ประตู คิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่า?
มือใหญ่สอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สาวเท้าเดินเรื่อย ๆ เอื่อยเฉื่อยเหมือนจะไม่สนใจอะไร แต่กลับแฝงไว้ด้วยความมั่นคงและอาจหาญ ร่างหนาแกร่งหยุดยืนตรงหน้าเจ้าสาว ซึ่งคนในงานต่างก็เอ่ยชมทุกคนว่าสวยน่ารัก ศีรษะทุยโน้มลงไปเล็กน้อย ลมหายใจเป่ารดกกหู ริมฝีปากแนบชิดใบหู
“ไปคุยกันแบบส่วนตัวหน่อยดีไหมมุกลดา” ไม่รอให้คนถูกเรียกได้ตั้งตัว มือหนาสอดเข้าจับแขนกลมกลึง ไม่ดึงแต่บังคับด้วยแรงบีบที่กดกระชับลงไป ทำให้แม่ตัวเล็กต้องเดินตามไปยังประตูฝั่งหนึ่ง ซึ่งด้านหลังเป็นห้องซึ่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวใช้แต่งตัวอย่างไม่พอใจและไม่เต็มใจ