หรือเป็นลูกของปิ่นปัทมากลับชาติมาเกิดกันแน่ พอรู้ข่าวว่าปิ่นปัทมาต้องไปทำงานใช้หนี้ที่บ้านคุณนวลแข ก็ต่อว่าเธอเสียยกใหญ่
“นรกจะกินกบาลแก นังปลาย ฉันเป็นแม่แกนะ”
“แม่ทำแบบนี้ได้ยังไง ใช้งานพี่ปัทเหมือนทาส แล้วนี่ให้ไปใช้หนี้แทนแม่อีก แม่เป็นหนี้เองทำไมไม่ไปหัดทำงานใช้หนี้รับผิดชอบตัวเองบ้างห๊ะ”
“นังลูกเวรนี่” รัตนาปวดหัวจี๊ดๆ เพราะเธอเพิ่งแพ้พนันมา แล้วยังมาโดนบุตรสาวบ่นไม่หยุดหย่อน
“นี่แม่ไปเข้าไปเข้าบ่อนมาอีกแล้วใช่ไหม หนี้เก่าก็ให้คนอื่นใช้ แล้วหนี้ใหม่ล่ะ แม่จะเอาที่ไหนจ่าย”
“นังปลายนี่ แกหุบปากได้ไหม ฉันรำคาญ”
“ทีแบบนี้แม่รำคาญ ไม่รู้ล่ะ ปลายจะไปพาพี่ปัทกลับบ้าน”
“แกขืนไปพามันมาสิ คุณนายได้ยึดบ้านหลังนี้ไป ไม่มีที่ซุกหัวนอน ได้ไปนอนข้างถนน”
“งั้นปลายจะไปช่วยพี่ปัททำงานใช้หนี้” ปลายรุ้งไม่ยอมให้พี่สาวต้องรับภาระคนเดียวแน่นอน
“นังลูกบ้าเอ๊ย แกรู้ไหมว่านังปัทมันไปใช้หนี้ยังไง อุ๊บ!” รัตนายกมือขึ้นปิดปากไม่ทัน นางเผลออีกแล้ว ถ้าปลายรุ้งรู้เข้าบ้านแตกแน่ๆ
“ใช้หนี้ยังไง นี่แม่มีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่ไหม”
“ไม่มีอะไร”
“ต้องมีแน่นอน ฉันไม่เชื่อคนอย่างแม่หรอก”
“คนอย่างฉันมันเป็นยังไง”
“ก็คนอย่างแม่เชื่อไม่ได้น่ะสิ คำพูดคำนึง หารล้านยังไม่น่าเชื่อเลย”
“นังนี่” รัตนารู้สึกว่าเถียงกับปลายรุ้งทีไรหน้ามืดความดันขึ้น แต่อีกฝ่ายไวเหมือนลูกลิง วิ่งหนีฝ่ามือพิฆาตได้อย่างรวดเร็ว
“แม่บอกมา ไม่งั้นฉันจะไปอาละวาดบ้านคุณนายหน้าเลือดนั่น”
“อย่าเชียวนะ แกอยากไปนอนข้างถนนหรือไงห๊ะ”
“แม่ก็บอกมาสิ”
“โอ๊ย! คุณนายขอพี่สาวแกไปเป็นเมียหลานเขา” รัตนาโพล่งออกมาสุดเสียง แต่เธอกั๊กเอาไว้พูดไม่หมด ไม่ได้บอกว่าไปเป็นเมียชั่วคราว พอท้องแล้วคลอดลูกเขาก็เฉดหัวทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมา
“แม่จะบ้าเหรอไง!”
“บ้าอะไรของแก พี่สาวแกได้ดิบได้ดี ได้เป็นเมียของคนร่ำรวยไม่ดีใจหรือไง”
“แล้วพี่ปัทยอมเหรอแม่” ปลายรุ้งถามอย่างแปลกใจ มองมารดาอย่างไม่ไว้วางใจ
“ถ้าไม่ยอมจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่บ้านเขารึนังลูกบ้า ได้เป็นเมียผู้ชายรวยๆ สบายไปทั้งชาติ พี่สาวแกต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำ” รัตนารีบเอาดีเข้าตัวทันที ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องจริงสักนิด ปิ่นปัทมาไปทำงานใช้หนี้ข้ามวันข้ามคืนไปแล้ว ปลายรุ้งถึงมาคาดคั้นเอากับเธอ เพราะเห็นพี่สาวไปทำธุระยังไม่กลับมาเสียที
“แม่ไม่ได้หลอกพี่ปัทแน่นะ” เธอรู้ดีว่าปิ่นปัทมาไม่ค่อยทันเล่ห์เหลี่ยมของมารดาเธอสักเท่าไหร่หรอก
“ถ้าหลอกจริง ป่านนี้พี่แกคงวิ่งโร่กลับมาฟ้องแกแล้วสิ นังลูกบ้านี่ยังไง แกเป็นลูกฉันหรือเป็นลูกนังปัทกันแน่” รัตนาพูดอย่างเจ็บใจ
“ลูกแม่นั่นแหละ ถึงได้รู้ทันแม่ ไม่ใช่ทางโน้นกักขังหน่วงเหนี่ยวพี่ปัทเอาไว้นะ” ปลายรุ้งนึกเป็นห่วงพี่สาวจับใจ พี่สาวของเธอชอบมองโลกในแง่ดีอยู่เรื่อย มองโลกในแง่ดีก็ดีอยู่หรอกนะ แต่บางทีมันก็ตกเป็นเหยื่อของคนอื่นได้ง่ายๆ
“บ๊ะ! นังลูกบ้านี่ยังไง ถ้าแกคิดว่ากักขังหน่วงเหนี่ยว แกก็ไปแจ้งตำรวจแล้วกัน” รัตนาสะบัดหน้าเดินหนี ปลายรุ้งมองตามมารดาไปอย่างไม่เชื่อใจ เธอต้องไปสืบเรื่องนี้ให้รู้เรื่องให้ได้ ถ้าปิ่นปัทมาเต็มใจจริง เธอก็จะไปดูว่าพี่สาวสบายหรือเปล่า แต่ถ้าไปเจอว่าพี่สาวโดนบังคับล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่!!!
ปิ่นปัทมาค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยอาการอ่อนเพลีย รู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง ลำคอแห้งเป็นผง ทั้งยังปวดไปหมดตามเนื้อตามตัว และรู้สึกมึนๆ จนต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง
“พี่ปัทเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ค่อยๆ ลุกนะ” พุดกรองประคองร่างอ่อนแรงขึ้นให้พิงไปกับหมอนใบโต
“หิวน้ำจังเลยจ้ะพุด” เธอบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ค่อยๆ ดื่มนะคะพี่ปัท” พุดกรองยกแก้วน้ำขึ้นให้อีกฝ่ายดื่ม ปิ่นปัทมาดูดน้ำจากหลอดด้วยความกระหาย ก่อนจะเอ่ยขอบใจคนตรงหน้า
“พี่เป็นอะไรไปคะ” เธอรู้สึกอ่อนเพลียจนแทบลุกไม่ขึ้น ลำคอก็ยังขมปร่าไปหมด
“พี่ปัทน่ะล้มป่วยค่ะ ตัวร้อนจี๋เลย” พุดกรองรีบเล่าให้คนบนเตียงฟัง น้ำเสียงและสีหน้านั้นเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“พี่ไม่สบายหลายวันเลยเหรอคะ” เธอกะพริบตาปริบๆ รู้สึกเพลียจนไม่อยากขยับไปไหน
“ก็หลายวันอยู่จ้ะพี่ หมอมาดูอาการบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว พุดเป็นห่วงพี่แทบแย่ คุณท่านยังแวะมาดูพี่ปัทเลยจ้ะ พอไข้ลดท่านเลยโล่งใจ”
“เหรอจ๊ะ ขอบใจพุดมากนะจ๊ะที่ช่วยดูแลพี่ พี่ซาบซึ้งใจมากๆ เลยจ้ะ” เธอกะพริบตาปริบๆ กำลังนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนสีหน้าจะเศร้าหมองลงกว่าเดิม
“พี่ปัทเป็นอะไรจ๊ะ ดูหน้าเครียดๆ หรือว่าปวดหัว หรือว่าไม่สบายอะไรอีก พุดจะไปตามหมอมา” พุดกรองรีบบอก นึกเป็นห่วงคนตรงหน้าเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรจ๊ะ ขอบใจนะคะที่เป็นห่วงพี่ขนาดนี้”
“จริงๆ แล้วคนที่เป็นห่วงพี่มากก็คือ...”
“จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ” เสียงขรึมตัดบทการสนทนาระหว่างทั้งคู่ ทำให้พุดกรองชะงัก พุดกรองคันปากยิบๆ อยากจะเล่าให้คนบนเตียงฟัง แต่เห็นสายตาดุๆ ของเจ้านายหนุ่ม เธอจึงต้องปิดปากเงียบเอาไว้
“พี่ปัทเพิ่งตื่น อาจจะหิวนะคะคุณเขม” พุดกรองแสดงความคิดเห็น แทบกลั้นใจไม่กล้ามองหน้าคนหน้าขรึมที่ยืนอยู่ที่กรอบประตู
“ก็ไปจัดอาหารสิ” พุดกรองได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนจะหลบสายตาคมเข้มเย็นชานั้นแทบไม่ทัน เธอคิดว่าจะโดนดุเรื่องที่เธอยุ่งวุ่นวายกล้าเสนอแนะเจ้านายเสียอีก
เขมชาติหลบสาวใช้ที่รีบออกไปกุลีกุจอไปนำอาหารมาให้คนป่วยที่เพิ่งฟื้นบนเตียง ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง ทอดสายตามองคนบนเตียงที่ตกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“หายแล้วก็ลุกขึ้นมาทำงานทำการซะบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งกินนอนกิน” เขาพูดแล้วเดินจากไป ปิ่นปัทมาได้แต่อ้าปากค้าง คนใจร้ายไม่ถามเธอสักคำหรือไงว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า ทั้งใจร้าย ทั้งเย็นชา คำพูดนั้นไม่คิดถึงจิตใจของเธอเลย ช่างเป็นผู้ชายที่ใจดำอำมหิตที่สุด ปิ่นปัทมาแทบน้ำตาไหลเมื่อคิดถึงคำพูดของเขา
“มาแล้วค่ะ ข้าวต้มร้อนๆ กินแล้วจะกินยานะคะพี่ปัท”
“เจ้านายของพุดใจร้ายจัง” เธอพูดอย่างอ่อนแรง อ่อนใจกับเขาเหลือเกิน
“คะ... คุณเขมนะเหรอคะ” พุดกรองเอ่ยถาม คันปากยิบๆ อีกตามเคย อยากจะพูดอยากจะเล่าใจจะขาด แต่ติดตรงที่เธอพูดไม่ได้เล่าไม่ได้ เลยต้องอัดอั้นตันใจอยู่แบบนี้
“จริงๆ แล้วคุณเขมไม่ได้เป็นคนเย็นชาแบบนี้นะคะ” พุดกรองลดเสียงลงเหมือนกลัวใครจะมาได้ยิน
“วันก่อนพุดกรองก็พูดแปลกๆ เกี่ยวกับคุณเขม เล่าให้พี่ฟังได้ไหมจ๊ะ”
“ก็ได้จ้ะ พี่ปัทก็กินข้าวต้มด้วยสิจ๊ะ พุดจะเล่าให้ฟัง”
“จ้ะ” ปิ่นปัทมาตักข้าวต้มทานไปก็ฟังพุดกรองเล่าไป นั่นทำให้เธอมองเขมชาติด้วยความเห็นใจ
“มิน่า เจ้านายของพุดกรองถึงได้เย็นชานัก”
“คุณเขมเกลียดผู้หญิงค่ะ แต่ก็มีผู้หญิงรอบกายมากมาย”
“เกลียดผู้หญิงแต่มีผู้หญิงรอบกายมากมายหมายความว่ายังไงจ๊ะ” ปิ่นปัทมาถามอย่างสงสัย
“จะพูดไงดีล่ะคะ” พุดกรองอึกอัก ลูบท้ายทอยไปมา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาขอร้องว่าอยากรู้มาให้ เลยจำต้องเล่า
“ถึงจะเกลียดผู้หญิง แต่คุณเขมก็มีผู้หญิงมาให้เชยชมไม่เว้นวางค่ะ”
“อืม... พี่เข้าใจแล้วจ้ะ” ปิ่นปัทมาเข้าใจเพราะเธอโตแล้ว ผู้ชายย่อมมีความต้องการเป็นธรรมดา
“พี่ปัทโกรธคุณเขมเหรอเปล่าคะ” พุดกรองถามอย่างเป็นกังวล