“ขอผมดูหน่อย ผมเป็นคนขับรถชนพวกเขา” ชายหนุ่มแทรกกลางฝูงชนเข้าไปจนถึงตัวสองแม่ลูก ท่ามกลางสายฝน เขาเห็นผู้เป็นแม่กอดร่างเล็กๆ เอาไว้แล้วร้องไห้เหมือนใจจะขาด ทั้งที่ตัวเองก็เปื้อนไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากศีรษะเจ้าตัวเล็ก
“หนูมิ้น...หนูมิ้นตื่นสิลูก” เธอร้องเรียกลูกน้อยที่นอนนิ่งเปียกปอน
“เภตรา...” ชายหนุ่มครางชื่อนั้นแต่กลับไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาหยุดเต้นกะทันหัน ความหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ ทั้งที่ไม่ได้เปียกฝน ทั้งที่...มือยังกำร่มเอาไว้แน่น
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณ” ใครคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย ทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง
เป็นภรรยาของเขานั่นเอง...
“หนูมิ้น ตื่นสิลูก ช่วยด้วย ช่วยลูกสาวฉันด้วย ช่วยด้วย” ร่างนั้นยังคงคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากลูกรัก ที่เป็นเหมือนชีวิตและลมหายใจเดียวของเธอ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือหวีดสะอื้น ก่อนจะฟุบหมดสติลงไปทั้งที่ยังกอดเจ้าตัวเล็กอยู่อย่างนั้น
“รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ...ผมจะพาไปเอง อย่ามัวรอรถพยาบาลเลย” ชายหนุ่มทิ้งร่มโดยไม่แยแส แล้วเข้าไปช้อนร่างของทั้งคู่ขึ้นมาอุ้ม
“รอเคทด้วย”
“เคทไปเปิดประตูรถให้ผมหน่อย” เขาหันไปทางภรรยาที่กำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนก เธอก็พยักหน้าแล้ววิ่งไปเปิดประตูด้านหลังคนขับ
“เราต้องรีบไปโรงพยาบาล เคทช่วยดูแลด้วยนะ” เขาบอกขณะวางสองแม่ลูกไว้ตรงเบาะหลัง แล้วสุคนธรสก็เข้าไปประคองเอาไว้ พร้อมทั้งจับชีพจรเพื่อตรวจอาการเบื้องต้น
“หัวใจยังเต้นแรงทั้งคู่ค่ะ เด็กมีแผลหัวแตก...ดูจากแผลแล้ว คงไม่ร้ายแรงเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่หมดสติไปเพราะช็อกมากกว่า คุณเองก็ไม่ได้ขับรถเร็วเสียหน่อย” เพราะฝนตก และรถราก็สัญจรกันขวักไขว่ ทั้งไม่ชินเส้นทางทำให้พวกเขาระมัดระวังการขับรถเป็นนิจอยู่แล้ว
แต่...อุบัติเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้
“อืม” พลขับเอ่ยรับทราบเมื่อประจำที่เรียบร้อยแล้ว เขาออกรถทันทีโดยไม่รีรอ
ไม่ว่าครั้งนี้จะเป็นโชคชะตากำหนด หรือตลกร้าย แต่ในที่สุดโลกก็เหวี่ยงให้เธอกับเขามาพบเจอกันอีกจนได้ รวมถึงเรื่องที่เขาควรรู้แต่ไม่เคยรู้ วันนี้ก็ถึงคราวได้เห็นแจ้งแก่ใจ...